เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 42

กระทู้สนทนา
ไซบีเรียนฮัสกี้ ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 41 http://ppantip.com/topic/30115432

ดอกไม้ ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


====================================================


ตอนที่ 42
ความตายของกุสุมาลย์




                 ในห้องนั้นมิได้มืดสนิทยังมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟดวงเล็กข้างเตียง  ส่องให้เห็นว่าเจ้าของห้องนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง  ร่างอ้อนแอ้นทอดถอนหายใจ จิตใจหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องราวที่ผ่านภพไปเมื่ออดีตชาติ  โดยไม่รู้ตัวว่าแรงคะนึงนั้นเป็นคลื่นจิตชั้นดีที่จะเรียกหาวิญญาณหญิงงาม

                 “พี่กุสุมาลย์...พี่ตายเพราะอะไร?” เสียงพึมพำรำพึงลอดริมฝีปากออกมา แต่ไม่มีคำตอบใดกระจ่างในห้วงความคิด  เคียงฟ้าพลิกตัวลงนอนแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทได้

                 “...เจ้าอยากรู้รึ?”

                 เสียงแผ่วเบาปรากฏขึ้นในห้วงสำนึก แต่ก็ปลุกให้เคียงฟ้าลุกพรวดจากที่นอน แล้วเหลียวมองไปรอบห้องด้วยอาการตื่นตระหนก  เมื่อแรกก็มองไม่เห็นสิ่งใดหล่อนจึงถอนหายใจว่าหูแว่วไปเอง แต่พอจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นก็ปรากฏขึ้นที่มุมห้อง หญิงสาวหันขวับไปตามทิศทางของเสียงทันที  

                 ห้องนอนอันคุ้นเคยมืดสนิทลงมองไม่เห็นแม้แต่แสงโคมไฟ  แต่มุมหนึ่งกลับค่อยๆ กระจ่างขึ้น ให้เห็นเขาโครงร่างสตรีอรชร  นางนั่งพับเพียบก้มหน้าร่ำไห้อยู่หน้ากระจกทองเหลือง แม้ไม่เห็นหน้าชัดเจนนักแต่ทราบได้ในทันทีว่านั่นคือผู้ใด  วิญญาณจากอดีตกาลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วผินหน้ากลับมาเคียงฟ้า ดวงหน้าซีกหนึ่งมีรอยแผลสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำพาดผ่าน ส่วนอีกซีกหน้าแม้งดงามโสภาแต่ขาวซีดไม่ต่างกับคนตาย  นัยน์ตาที่เคยงดงามมาบัดนี้แดงก่ำรวกับโลหิต แววตาทอแสงแห่งความพยาบาทจนวาวโลด

                 “เจ้าอยากรู้ใช่ไหม?  อยากรู้ใช่ไหมมมมมมมมมมมมม?!!!!!” เสียงถามกรีดร้องจนเสียดแทงเข้าไปในใจ  เคียงฟ้านั่งตัวแข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อนได้

                 “ข้าจะบอกให้..เพราะเจ้านั่นแหละ!!!”  วิญญาณภูตแสยะยิ้ม ดวงตามาดร้ายมีน้ำตาไหลออกมา ทว่ามันเป็นสีเลือดไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างน่าสะพรึงกลัว

                 “ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามาแต่น้อย...ทั้งรัก ทั้งถนอม ไม่ต่างกับน้องร่วมสายเลือด  แล้วดูสิเจ้าสินางหญิงใจทราม!!”

                 “พะ...พี่..กุ..สุ..มาลย์” เคียงฟ้าได้แต่อึกอักเสียงตอบไม่เต็มปาก

                 “จงดูให้เต็มตา วาระสุดท้ายของข้า!!” ภูตสาวตวาดก้องด้วยความเคียดแค้น  จากนั้นหันไปรำพันถึงความทุกข์ของตนเองต่อ

                 “พระเทวี...ทั้งที่ข้ารักท่านเช่นนี้  นี่คงเป็นความประสงค์ของท่านสินะ...” วิญญาณสาวพูดพึมพำเหมือนคนไร้สติ เจ้าของห้องเห็นเข้าทั้งหดหู่เวทนาและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน  เมื่อพบว่าสติของกุสุมาลย์ในวาระสุดท้ายของชีวิต นางวิปลาสไปเสียแล้ว

                 “ภูวิษะเจ้า...ขอบพระทัยที่ประทานทางเลือกให้...”

                  สีหน้านางยามกล่าวถึงชายที่เทิดทูน  ความน่าสะพรึงเมื่อครู่จางหายไปคงเหลือแต่ความเศร้าสร้อย  จากนั้นนางก็ควานเอาปิ่นจากลิ้นชักของตั่งวางเครื่องประทินโฉมขึ้นมากำไว้  ในความมืดปิ่นเงินในมือกุสุมาลย์กลับเรืองรอง คล้ายต้องการให้เห็นชัดเจนว่าเป็นปิ่นที่นาคเจ้าเคยประทานให้เมื่อครั้งก่อน  กุสุมาลย์ชูปิ่นขึ้นสูงแล้วหันปลายแหลมของปิ่นเข้าสู่ตนเอง  เคียงฟ้าเข้าใจแล้วนางจะทำอะไร หญิงสาวคล้ายจากหลุดจากอาการสะกด เมื่อขยับตัวได้หล่อนลุกขึ้นวิ่งมาหากุสุมาลย์ทันที...

                  ...แต่อนิจจา...ปิ่นในมือหญิงงามแทงลงมาสุดกำลัง มันรวดเร็วเกินกว่าเคียงฟ้าจะห้ามทัน ปลายแหลมของมันแม้มิใช่ของมีคมแต่ด้วยแรงของผู้เป็นเจ้าของ  จึงทิ่มทะลุคอนางทันที

                  “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!  พี่กุสุมาลลลลลลลลลล...ย์" หล่อนกรีดร้องลั่น พยายามเข้าไปประคองร่างกุสุมาลย์ที่ล้มตะแคงไป  แต่ยังไม่ทันถึงตัวร่างนั้นกลับขยับตัวเงยหน้าที่นองไปด้วยเลือดจากทั้งนัยน์ตาสองข้างและบาดแผลที่คอขึ้นมองแล้วแสยะยิ้มให้เคียงฟ้าอย่างน่าสยดสยอง

                   “เจ้าอยากได้ปิ่นเงินนี่คืนสินะ...เป็นปิ่นที่ภูวิษะเจ้าประทานให้ข้า...เจ้าหึงหวงสินะ”

                    กล่าวจบนางก็ยันตัวขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง เลือดจากลำคอระหงไหลเจิ่งนองมาเป็นสาย  กุสุมาลย์จัดท่านั่งได้เรียบร้อย นางก็คลี่ยิ้มงดงามทว่าน่าสะพรึงกลัว นัยน์ตาสองข้างแดงก่ำจนน่ากลัว  มือเรียวค่อยดึงด้ามปิ่นออกจากลำคอตัวเองอย่างยากเย็นคล้ายติดขัด จนนางต้องเงยหน้าขึ้น

                    “ข้าแทงลึกไปหน่อย...เจ้าคงต้องรอสักครู่”  สีหน้านางบ่งบอกได้เพียงนางวิกลจริตไปเสียแล้ว

                     ไม่นานนักกุสุมาลย์ก็ดึงปิ่นให้พ้นจากลำคอได้สำเร็จ ทว่ามีโลหิตแดงฉานพุ่งตามออกมาเป็นสาย วิญญาณหญิงงามยื่นปิ่นในมือไปให้เคียงฟ้า

                    “นี่เพคะพระเทวี  รับไปสิเพคะ” เคียงฟ้าร้องไม่ออกได้แต่ยกสองมือขึ้นปิดปาก

                    “บอกให้เอาไปไงเล่า!!!”

                     เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองนางก็เกรี้ยวกราด ปาปิ่นลงแทบเท้าอีกฝ่าย  ภาพตรงหน้าสยดสยองจนเคียงฟ้าไม่อาจคุมสติได้อีกต่อไป  หล่อนกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวแล้วสิ้นสติไปในที่สุด...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  “พระเทวี! พระเทวี! เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

                   ดวงเนตรงามค่อยปรือขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกผู้ในห้องนั้น  เรียกเสียงถอนหายใจจากเหล่าบรรดานางกำนัล  ดวงหน้าแต่ละนางดูจะขวัญเสียไม่แพ้กัน ต่างพากันร่ำไห้สะอึกสะอื้นกันทั่วทั้งตำหนัก

                  “ทำพระทัยดีๆ ไว้เพคะ  ไม่อย่างนั้นพี่กุสุมาลย์จะจากไปอย่างเป็นกังวลนะเพคะ” ปทุมมาประคองร่างเทวีแห่งนางขึ้นมานั่ง  หญิงสาวสะบัดหน้าด้วยความงุนงง เมื่อพบว่าหล่อนเข้ามาสู่ภพอดีตโดยไม่รู้ตัว

                  “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้พี่กุสุมาลย์ยังอยู่ตรงนี้  นางหายไปไหนแล้ว” ทุกผู้ล้วนแต่ปิดปากเงียบสนิท มีเพียงมหิตาเทวีทรงยืนแล้วตรัสขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ต่างกับละเมอ

                  “มัวทำอะไรกันอยู่...เมื่อกี้ข้าเห็นพี่กุสุมาลย์ นาง...นาง เอาปิ่น...ปิ่นที่เสด็จพี่ประทานให้...” ตรัสได้แค่นั้นวรกายก็โอนเอนคล้ายทรงร่างไม่อยู่  ปทุมมาและศรีดารารีบปรี่เข้ามาประคอง

                  “พระเทวีทรงพระสุบินไป...เพคะ”

                  “สุบิน...ฝัน? แปลว่าข้าฝันไปเองอย่างนั้นรึ?” ดวงตากลมโตค่อยมีแววแห่งความหวัง “ถ้างั้นพี่กุสุมาลย์ก็ยังอยู่ นางมิได้ฆ่าตัวตายใช่ไหม?!” เมื่อดำริออกมาดังนั้นก็ดีพระทัยขึ้น

                  “งั้นไปหานางกัน อย่าปล่อยให้นางอยู่คนเดียวเป็นอันขาด!” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวียิ้มออกมาทันที บางทีการกลับมาครั้งนี้อาจจะยังทันเวลา หล่อนอาจจะช่วยชีวิตกุสุมาลย์เอาไว้ได้

                  “พระเทวี...” แต่พวกนางกำนัลอิดเอื้อน และต่างก็มีน้ำตาไหลนองหน้า

                  “ชักช้าอยู่ไย เดี๋ยวจะเสียการ”

                  “พระเทวีเพคะ...พี่กุสุมาลย์จากพวกเราไปแล้ว..ฮือ” เป็นศรีดาราที่ทูลถวายพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง พลอยให้นางกำนัลอื่นๆ สะอื้นไห้ตามกัน

                  “....พี่กุสุมาลย์” สุรเสียงที่ตรัสออกมาคล้ายจะขาดพระทัยตาม  พระนางค่อยทรุดวรกายลงนั่งอีกครั้งด้วยความเลื่อนลอย  อัสสุชลรินออกมาเป็นสายเมื่อรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับกุสุมาลย์

                   ความจริงแล้วเช้ามืดของวันนั้นกุสุมาลย์ตัดสินใจปลิดชีพตนเองลงอย่างเงียบๆ  โดยที่เพื่อนนางกำนัลยังหลับไหลไม่ทันรู้ตัว เมื่อได้ยินเสียงร่างอรชรล้มฟาดลงกับพื้นกระดานแล้วกระตุกร่างอย่างรุนแรง นางจึงค่อยตื่นขึ้นมาพบกับความตกใจสุดขีด  เสียงร้องของความช่วยเหลือดังไปทั่วทั้งตำหนัก  มหิตาเทวีรับทราบตั้งแต่ตื่นบรรทม  พระนางมิได้ตรัสสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว ราวกับดวงหทัยจะหลุดลอยตามพระพี่เลี้ยงคนงามไปด้วย ชายาแห่งนาคเจ้าสิ้นสติสมประดีไปในทันที  กว่าจะได้สติอีกครั้งก็ล่วงไปยามบ่ายเสียแล้ว

                   เคียงฟ้าจึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม สมองอื้ออึงไปด้วยความโกรธ...โกรธใคร โกรธทั้งตนเอง โกรธมหิตาเทวี...โกรธพินทุมณีเทวี

                 “เสด็จพี่พินทุมณี!!” หล่อนอุทานออกมาเหมือนนึกถึงบางสิ่งได้ เท่านั้นเองกองกูณฐ์ในใจก็ลุกลาม สีพระพักตร์ของมหิตาเทวีเคร่งเครียดดวงเนตรวาววาบอย่างกริ้วจัด พลันผลุนผลันลุกขึ้นดำเนินไป เหล่านางกำนัลพากันมองด้วยความงงงวย

                 “จะเสด็จไหนเพคะ?”

                “ไปตำหนักเสด็จพี่พินทุมณี!” มหิตาเทวีหมายมาดไปถามหาผู้รับผิดชอบความตายของกุสุมาลย์!


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่