เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 48

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 47 http://ppantip.com/topic/30509507

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


ตอนที่ 48




                 สายฝนที่โปรยปรายลงมาเมื่อครู่ใหญ่ค่อยๆ ซาลง จนเกือบสนิท ม่านเมฆหนาทึบที่บดบังฟากฟ้ามาพักใหญ่ คลายตัวให้แสงสว่างลอดผ่านลงเบื้องล่าง ธรรมชาติในห้วงมิติไม่อึดอัดเหมือนเมื่อครู่  หากสภาพอากาศเปลี่ยนไปตามอารมณ์เจ้าของสถานที่  ถ้าอย่างนั้นใจของเจ้าภูวิษะคงทุเลาลงเช่นกัน  เคียงฟ้าจึงรีบหันไปมองชายหนุ่มข้างตัว ไม่มีหยาดน้ำตาบนใบหน้าของเขาแล้ว สีหน้าของเจ้าภูวิษะกลับสู่อารมณ์นิ่งขรึมดังเช่นปกติ  หล่อนเองก็เช่นกันหลังจากได้ร้องไห้ความทุกข์ในอกดูจะเบาบางลงไปบ้าง

                “เคียงฟ้า...มาเถิด เราจะส่งเจ้ากลับไปหาวิมุตติ” ร่างสูงลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาให้หล่อน

                “เจ้าภู...ถ้าฉันกลับไปแล้วจะได้พบคุณอีกไหมคะ?”

                “...อาจจะไม่” เจ้านาคราชตอบเสียงแผ่วเบา

                “ทำไม...คุณไปหาฉันไม่ได้หรือคะ?”

                “เราอยู่กันคนละโลก”

                “แต่โลกนั้นเชื่อมต่อกันในความฝัน”

                “ความฝันหาใช่ความจริงไม่!”

                “แล้วกรรมจากอดีต เป็นแค่ความฝันอย่างนั้นหรือคะ?”

                “...” เจ้าภูวิษะนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำถามหล่อนในทันที

                “ถ้ากลับไปแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลงจริงๆ อย่างนั้นหรือคะ? คุณรับประกันได้อย่างนั้นหรือ?” ความเงียบคือคำตอบ หญิงสาวรู้ว่าเจ้าภูวิษะก็คิดเช่นเดียวกับหล่อน  กรรมใดที่ก่อแล้วย่อมตามติดเฉกเช่นเงามตามตัว จะลบทิ้งหรือตัดหายก็มิได้

                “ฉันคิดว่า อ.วิมุตติ อยากให้ฉันเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต...เพื่อที่ว่าฉันจะได้แก้ไข”

                “กรรมเกิดขึ้นแล้วแก้ไขไม่ได้  ไม่มีอำนาจใดล้างมันได้”

                “ฉันไม่ได้คิดว่าฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว มันจะเป็นการตัดกรรมนะคะ  เพียงแต่...ถ้าฉันได้รู้อย่างน้อยๆ ก็ให้ฉันได้มีโอกาสตัดสินใจ ว่าฉันควรจะก้มหน้ารับมันหรือจะหาทางทำอะไรเพื่อคุณ เพื่อพี่กุสุมาลย์ได้บ้าง”

                “น่าขำ...เป็นแค่มนุษย์จะทำอะไรเพื่อเราอย่างนั้นรึ? แค่คำขมาสักคำก็ยังมิเคยเอ่ยด้วยซ้ำ” คำถากถางนั้นทำให้หล่อนอารมณ์ขึ้นไม่แพ้ผู้พูดเลยทีเดียว  ทำไมกันนะกี่ครั้งกี่หนพอเริ่มจะคุยกันดีๆ สักพักก็ทะเลาะกันอีกแล้ว

                “เจ้าภู! ถ้าฉันผิดจริง ฉันขอโทษคุณแน่ๆ”

                 “ถึงขอโทษไปก็ไม่มีประโยชน์  สิ่งที่เจ้าควรทำคือไปขมาต่อชาวเมืองต่างหาก” เสียงนั้นห้วนห้าวนัก บ่งบอกอารมณ์อันครุครุ่นได้เป็นอย่างดี

                 “ก็บอกมาสิคะ ว่ามหิตาทำอะไร?”  หล่อนกำมือแน่นพยายามสะกดอารมณ์ ไม่อยากให้เรื่องเสียก่อนจะทันได้รับรู้สาเหตุ

                  เจ้านาคราชยิ้มเหยียด ใบหน้าหล่อเหลานั้นบัดนี้มีรอยเยาะปรากฏอยู่  จากนั้นจึงเดินนำหล่อนไปยังปลายเนิน แล้วหันมาจ้องมาเป็นเชิงเรียก  เคียงฟ้าลุกเดินตามไปทันที  เมื่อแรกหญิงสาวคิดว่าเนินที่นั่งอยู่นั้นเป็นเนินเล็กๆ แต่ในความจริงแล้วมันหล่อนยืนอยู่บนเนินสูง..ที่น่าจะเรียกว่าชะง่อนผาด้วยซ้ำ  ไกลออกไปยังเบื้องล่างมีเพียงเวิ้งน้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา บางแห่งมีซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างโบราณโผล่พ้นน้ำขึ้นมา

                 “ที่นี่ตรงที่เรายืนอยู่อยู่ระหว่างนาคาลัยกับเมือง  ข้างล่างนั่นเคยเป็นเวียงแก้ว ลดหลั่นลงไปเป็นบ้านเรือนของราษฏร์  ระหว่างกลางเคยมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน...แต่บัดนี้...”

                  “ไม่...ไม่เห็นมีอะไรเลย  หรือว่า..” หล่อนหันมาสบตาเขา “จมน้ำหายไปหมดแล้วเหรอคะ?” เจ้าภูวิษะพยักหน้ารับ

                 “ไม่จริง...นี่เมืองทั้งเมืองหายไปหมดเลยเหรอนี่!!!”

                 “เหลืออยู่แค่นาคาลัยแห่งเราเท่านั้น  นอกจากนั้นแล้วทั้งหมดทั้งมวล...ไปกับสายน้ำ” เคียงฟ้ายกมือขึ้นปิดปาก หล่อนอยากร้องออกมาดังๆ แต่ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกจากลำคอ

                 “เพราะ...เพราะมหิตา...เหรอคะ?” เจ้านาคราชไม่ได้ตอบ มีเพียงเสียงทอดถอนหายใจเท่านั้น

                 “ลำพังเธอคนเดียว...ทำให้เมืองหายไปทั้งเมืองได้ยังไงคะ?”

                 “มิใช่แค่มหิตา...แต่เป็นเราทั้งสองต่างหากเล่า!”
ดวงแก้วสีทองที่เคยมีไฟลุกวาววามอยู่เสมอ บัดนี้อ่อนแสงลงจนแทบไม่เหลือสิ่งใดในดวงตาคู่นั้น  แม้ไม่มีน้ำตาแต่หญิงสาวรู้ว่าเจ้าภูวิษะเจ็บปวดเพียงใด  แต่หล่อนไม่อาจปลอบประโลมเขาได้เมื่อตนเองยังอยู่ในสภาวะช็อค  เคียงฟ้ายืนนิ่งอยู่นานกว่าหล่อนจะปรับลมหายใจได้เป็นปกติ  แต่ยามที่พูดออกไปเสียงยังสั่งเทาอยู่มิใช่น้อย

                  “เจ้าภู...เล่ามาเถอะค่ะ”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่