ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 48
http://ppantip.com/topic/30536098
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 49
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่านาฬิกาของหล่อนตายสนิท เคียงฟ้าไม่คิดว่านาฬิกาจะมาเสียเอาตอนนี้ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว จึงนึกเป็นห่วงทางบ้านเกิดว่าหล่อนหายไปนานเกินไป มารดาจะเป็นกังวลเอาได้ ดวงหน้าหวานมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเหลียวมามองนาคจำแลง เจ้าภูวิษะเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หล่อนคิด
“ที่นี่ไม่มีกาลเวลา มันเป็นเพียงนครที่ตายไปแล้วเท่านั้น”
“งั้นพอจะทราบไหมคะว่า เราลงมาที่นี่กันนานหรือยัง ?” เมื่อเห็นเจ้านาคราชขมวดคิ้วหล่อนจึงพูดต่อ “ถ้ากลับผิดเวลามากไป ฟ้ากลัวคุณแม่เป็นห่วงน่ะค่ะ” หล่อนเริ่มจะแทนตนเองว่า ‘ฟ้า’ เมื่อรู้สึกวางใจเขาแล้ว
“เราคงไม่ถ่วงให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลหรอก” ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ถ้ากลับไม่เกินทุ่มหนึ่งได้ก็ดีค่ะ จะได้ไม่ดึกไป”
“ทุ่มหนึ่ง? ดึก? ผู้หญิงในเวลาของเจ้ามีแต่เตร็ดเตร่กลับบ้านเมื่อเลยค่อนคืนไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ถ้าบอกเอาไว้ก่อนก็กลับดึกได้ค่ะ แต่ว่านี่ไม่ได้บอกล่วงหน้า หรือคุณอยากให้ฉันกลับช้ากว่านั้นอีกหน่อย ก็ขอโทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ”
“โทรบอก?” ฟังเจ้าภูวิษะย้อนถามแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มือของหล่อนน่าจะอยู่กระเป๋าในศาลาท่าน้ำข้างบนนั่น
“แย่จัง...ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย...แต่ถึงเอามาตกน้ำคงพังหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น...คุณช่วยบอกคุณแม่ให้หน่อยได้ไหมคะว่าฉันจะกลับไม่เกินสามทุ่ม”
“จะให้ไปบอกอย่างไร? เราไม่มีโทรศัพท์” นาคเจ้าส่ายหน้า ดวงหน้าคมนั้นเริ่มมีรอยยิ้มมุมปาก
“ก็...ก็...คุณเป็นพญานาค คุณไม่มีวิธีอื่นแนะนำบ้างหรือคะ?”
“ขอโทษเถอะที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ ไม่ได้ติดอินเตอร์เน็ต และไม่ใช่โลกมนุษย์” ใบหน้าคนพูดนิ่งเฉยจนหล่อนไม่แน่ใจว่าเขาประชดหรือเปล่า
“แล้ว...เวลาคุณติดต่อกับคนอื่น...เอ่อ อย่างอาจารย์พี่เจ้า ทำยังไงคะ?”
“งู”
“งู?”
“ใช่...ส่งงูไปเท่านั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่เรายังออกจากที่นี่ไม่ได้ ถ้ามีปัญหามากนัก อาจารย์ของเจ้าก็จะตะเกียกตะกายมาหาเราเอง” หล่อนนิ่งอึ้งไปแม้จะไม่เข้าใจในคำอธิบายทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อนึกว่าต้องเจองูแล้วก็ขยาดนัก
“หรือต้องการให้เราส่งบริวาร ไปหามารดาเจ้า...แต่ งูพูดมิได้ดอกนะมันทำได้แค่นำพาคลื่นจิตไปเท่านั้น”
“มะ...ไม่ต้องค่ะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่ตกใจยิ่งกว่าเดิม” งูไม่ใช่สัตว์น่ารักในสายตาหล่อนหรือมารดาแน่ๆ
“นั่นสิ ถ้าส่งไปมารดาเจ้าจะคงตื่นตระหนก” เจ้าภูวิษะตอบมาราวเป็นเรื่องขบขัน แต่ในสายตาเคียงฟ้ามันช่างน่าขนลุกนัก
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หากช้าเกินเวลา วิมุตติคงส่งข่าวไปให้มารดาเจ้าเอง”
“อาจารย์จะไปบอกให้เหรอคะ?” เจ้านาคราชพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายิ้มอย่างสมหวังบางประการ
“ใช่สิ...นักศึกษาสาวนั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับเขา หากดึกดื่นมืดค่ำแล้วแม่สาวนั่นยังไม่คืนเรือน ใครเล่าจะถูกครหา ใครเล่าจะถูกมองอย่างหมิ่นเหม่ในวิชาชีพ หึ หึ อย่างวิมุตติน่ะไม่มีทางยอมให้ตนเองเสียหายดอก ดังนั้นเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา อยากวุ่นวายส่งเจ้าลงมาที่นี่เองนี่นะ” เคียงฟ้าแน่ใจว่าเจ้าภูวิษะกำลังสะใจอกสะใจเหมือนได้แก้แค้นคืนเล็กๆ
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ฉันก็สบายใจค่ะ”
“เคียงฟ้า...เราสัญญาจะไปส่งเจ้าจนถึงเรือนมิให้ดึกดื่น ใบหน้าของเจ้าสำคัญไม่แพ้วิมุตติดอก” คำสัญญาประโยคนั้นทำให้หล่อนอดตื้นตันใจไม่ได้ เขานึกหน้าหล่อนไม่อยากให้ถูกใครนินทา ว่าแล้วเคียงฟ้าก็ไม่อาจซ่อนรอบยิ้มเอาไว้ได้
“ค่ะ ฉันเชื่อคุณ”
“มาเถิดเคียงฟ้า ไปหาที่นั่งสนทนากัน”
“ที่ไหนคะ?” สิ้นคำถามเบื้องหน้าพลันมีเรือนไม้ยกพื้นสูงไร้ฝาฝนังกั้นโปร่งโล่งไปตลอดทุกด้าน มีเพียงสี่เสาค้ำหลังซ้อนเหลี่ยมนั้นไว้ ทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบทิศ ปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจนิรมิต หญิงสาวยืนตะลึงไปด้วยความทึ่ง หล่อนนิ่งค้างเสียจนนาคเจ้าต้องถามขึ้นมา
“ทำไม? หรืออยากนั่งกลางกองหินอย่างเดิม?”
“มะ..ไม่ค่ะ ตรงนี้ดีแล้วค่ะ” เคียงฟ้ารีบส่ายหน้า แล้วก้าวขึ้นไปบนเรือน โดยไม่ลืมถอดรองเท้าเสียก่อน
ในใจหล่อนอดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าภูวิษะยังมีอำนาจที่จะเนรมิตความสะดวกสบาย หรือแม้แต่จะสร้างราชวังอันยิ่งใหญ่ตระการตาให้กลับขึ้นมาอีกครั้งในมิตินี้ก็น่าจะได้ แล้วทำไมเขาถึงกักขังตนเองอยู่ในวันเวลาแห่งความเสื่อมโทรมแบบนี้หนอ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังความตายมาเยือนนางกำนัลคนงาม กุสุมาลย์จากไปแล้วแต่ในพระทัยของมหิตาเทวีหาความสงบได้ไม่ เรื่องราวระหว่างพระนางกับพินทุมณีเทวีนับวันจะยิ่งทวีรอยร้าวมากขึ้น สองเทวีแทบมิได้ตรัสต่อกันเหมือนเช่นอดีต มิหนำซ้ำเมื่อมีเสาวนีย์พาดพิงถึงกันและกัน ก็หาเป็นเรื่องดีงามไม่ ความสัมพันธ์ของสองเทวี มิได้เหมือนภคินีและขนิษฐาร่วมอุทรมาแต่พระมารดาเดียวกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างเฝ้าระแวงซึ่งกันและกัน มหิตาเทวีมิได้ทอดพระเนตรเห็นพินทุมณีเทวีเป็นพระภคินีอีกต่อไป ในขณะที่พินทุมณีเทวีไม่ได้ละเลิกความไม่พอพระทัยที่มีต่อองค์ขนิษฐาเช่นกัน ในพระทัยของพระนางสุมไว้ด้วยเพลิงโทสะกองใหญ่ และทรงทอดพระเนตรหาโอกาสที่จะตอบแทนอยู่เนืองนิตย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยแต่หากโอกาสอำนวยพระนางไม่รั้งรอที่จะกระทำ
“เพลานั้นขึ้น 12 ค่ำ ปีระกา ถัดจากวันทำบุญส่งวิญญาณกุสุมาลย์ครบ 7 วัน เราได้เชิญพระครูมาทำพิธีปัดรังควานเสนียด
ในตำหนัก” เสียงห้าวของเจ้าภูวิษะเล่าย้อนรำลึกถึงวันเวลาในกาลเก่า
มายาภาพถูกนิรมิตขึ้นมาไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์ ตัวละครต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมาตามคำบอกเล่า เคียงฟ้านั่งนิ่งพยายามทำใจให้ชินกับอิทธิฤทธิ์ของนาคเจ้า แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
ภาพพิธีการทางศาสนาดำเนินไปตั้งแต่การตั้งโต๊ะบูชาบวงสรวงแถนฟ้า [1] ทำพิธีเบิกทางเข้าเรือน [2] แล้ว ขบวนพราหมณ์หลวงจุดเทียนเดินนำขบวนเข้าสู่ตำหนัก โดยมีพราหมณ์ผู้น้อยเดินตามหลังแต่ละคนจับสายสิญจน์สีขาวหม่นจากหัวขบวนเอาไว้แล้วเรียงแถวกันเข้าไป ปากก็ปริกรรมคาถาร่ายสังวัธยายมนตราไปเรื่อยๆ จนเสียงสวดดังกังวานไปทั่วตำหนักสร้างบรรยากาศขรึมขลังยิ่งนัก เมื่อหยุดแวะพักตรงจุดไหนก็จะแป้งดินสอพองเขียนอักขระเจิมไว้ที่บริเวณนั้น พิธีกรรมดำเนินไปต่อจวบจนกระทั่งขบวนพราหมณ์กลับมายังกลางตำหนักอันเป็นจุดเริ่มต้น
จึงพบว่ามีผู้มานั่งรอร่วมพิธีอยู่แล้วทั้งเจ้าของตำหนักและแขกที่มิคาดว่าจะมาเยือน นั่นคือขบวนของพินทุมณีเทวี เสด็จมาร่วมพิธีเช่นกัน เคียงฟ้าเห็นเข้าถึงกับอุทานออกมา
“ตายล่ะ!! เดี๋ยวก็มีเรื่องกันหรอก”
“ไม่มีหรอก นี่เป็นงานพิธีกรรม ผู้ใดจะไร้มารยาท แม้แต่มหิตาที่อยากออกปากไล่นาง ก็จำต้องสงวนถ้อยคำเอาไว้ ในพิธีเรียกมงคลเช่นนี้ห้ามผู้ใดกล่าวคำหยาบ หรือด่าทอกัน ไม่งั้นเป็นอันเสียพิธีต้องหาฤกษ์ทำใหม่ทั้งหมด”
“เคร่งกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
===================================================================
[1] แถนฟ้า – เทวดา
[2] เบิกทางเข้าเรือน – พิธีขอเข้าบ้านเข้าเรือน
===================================================================
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 49-50
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 49
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่านาฬิกาของหล่อนตายสนิท เคียงฟ้าไม่คิดว่านาฬิกาจะมาเสียเอาตอนนี้ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว จึงนึกเป็นห่วงทางบ้านเกิดว่าหล่อนหายไปนานเกินไป มารดาจะเป็นกังวลเอาได้ ดวงหน้าหวานมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเหลียวมามองนาคจำแลง เจ้าภูวิษะเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หล่อนคิด
“ที่นี่ไม่มีกาลเวลา มันเป็นเพียงนครที่ตายไปแล้วเท่านั้น”
“งั้นพอจะทราบไหมคะว่า เราลงมาที่นี่กันนานหรือยัง ?” เมื่อเห็นเจ้านาคราชขมวดคิ้วหล่อนจึงพูดต่อ “ถ้ากลับผิดเวลามากไป ฟ้ากลัวคุณแม่เป็นห่วงน่ะค่ะ” หล่อนเริ่มจะแทนตนเองว่า ‘ฟ้า’ เมื่อรู้สึกวางใจเขาแล้ว
“เราคงไม่ถ่วงให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลหรอก” ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ถ้ากลับไม่เกินทุ่มหนึ่งได้ก็ดีค่ะ จะได้ไม่ดึกไป”
“ทุ่มหนึ่ง? ดึก? ผู้หญิงในเวลาของเจ้ามีแต่เตร็ดเตร่กลับบ้านเมื่อเลยค่อนคืนไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ถ้าบอกเอาไว้ก่อนก็กลับดึกได้ค่ะ แต่ว่านี่ไม่ได้บอกล่วงหน้า หรือคุณอยากให้ฉันกลับช้ากว่านั้นอีกหน่อย ก็ขอโทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ”
“โทรบอก?” ฟังเจ้าภูวิษะย้อนถามแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มือของหล่อนน่าจะอยู่กระเป๋าในศาลาท่าน้ำข้างบนนั่น
“แย่จัง...ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย...แต่ถึงเอามาตกน้ำคงพังหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น...คุณช่วยบอกคุณแม่ให้หน่อยได้ไหมคะว่าฉันจะกลับไม่เกินสามทุ่ม”
“จะให้ไปบอกอย่างไร? เราไม่มีโทรศัพท์” นาคเจ้าส่ายหน้า ดวงหน้าคมนั้นเริ่มมีรอยยิ้มมุมปาก
“ก็...ก็...คุณเป็นพญานาค คุณไม่มีวิธีอื่นแนะนำบ้างหรือคะ?”
“ขอโทษเถอะที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ ไม่ได้ติดอินเตอร์เน็ต และไม่ใช่โลกมนุษย์” ใบหน้าคนพูดนิ่งเฉยจนหล่อนไม่แน่ใจว่าเขาประชดหรือเปล่า
“แล้ว...เวลาคุณติดต่อกับคนอื่น...เอ่อ อย่างอาจารย์พี่เจ้า ทำยังไงคะ?”
“งู”
“งู?”
“ใช่...ส่งงูไปเท่านั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่เรายังออกจากที่นี่ไม่ได้ ถ้ามีปัญหามากนัก อาจารย์ของเจ้าก็จะตะเกียกตะกายมาหาเราเอง” หล่อนนิ่งอึ้งไปแม้จะไม่เข้าใจในคำอธิบายทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อนึกว่าต้องเจองูแล้วก็ขยาดนัก
“หรือต้องการให้เราส่งบริวาร ไปหามารดาเจ้า...แต่ งูพูดมิได้ดอกนะมันทำได้แค่นำพาคลื่นจิตไปเท่านั้น”
“มะ...ไม่ต้องค่ะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่ตกใจยิ่งกว่าเดิม” งูไม่ใช่สัตว์น่ารักในสายตาหล่อนหรือมารดาแน่ๆ
“นั่นสิ ถ้าส่งไปมารดาเจ้าจะคงตื่นตระหนก” เจ้าภูวิษะตอบมาราวเป็นเรื่องขบขัน แต่ในสายตาเคียงฟ้ามันช่างน่าขนลุกนัก
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หากช้าเกินเวลา วิมุตติคงส่งข่าวไปให้มารดาเจ้าเอง”
“อาจารย์จะไปบอกให้เหรอคะ?” เจ้านาคราชพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายิ้มอย่างสมหวังบางประการ
“ใช่สิ...นักศึกษาสาวนั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับเขา หากดึกดื่นมืดค่ำแล้วแม่สาวนั่นยังไม่คืนเรือน ใครเล่าจะถูกครหา ใครเล่าจะถูกมองอย่างหมิ่นเหม่ในวิชาชีพ หึ หึ อย่างวิมุตติน่ะไม่มีทางยอมให้ตนเองเสียหายดอก ดังนั้นเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา อยากวุ่นวายส่งเจ้าลงมาที่นี่เองนี่นะ” เคียงฟ้าแน่ใจว่าเจ้าภูวิษะกำลังสะใจอกสะใจเหมือนได้แก้แค้นคืนเล็กๆ
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ฉันก็สบายใจค่ะ”
“เคียงฟ้า...เราสัญญาจะไปส่งเจ้าจนถึงเรือนมิให้ดึกดื่น ใบหน้าของเจ้าสำคัญไม่แพ้วิมุตติดอก” คำสัญญาประโยคนั้นทำให้หล่อนอดตื้นตันใจไม่ได้ เขานึกหน้าหล่อนไม่อยากให้ถูกใครนินทา ว่าแล้วเคียงฟ้าก็ไม่อาจซ่อนรอบยิ้มเอาไว้ได้
“ค่ะ ฉันเชื่อคุณ”
“มาเถิดเคียงฟ้า ไปหาที่นั่งสนทนากัน”
“ที่ไหนคะ?” สิ้นคำถามเบื้องหน้าพลันมีเรือนไม้ยกพื้นสูงไร้ฝาฝนังกั้นโปร่งโล่งไปตลอดทุกด้าน มีเพียงสี่เสาค้ำหลังซ้อนเหลี่ยมนั้นไว้ ทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบทิศ ปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจนิรมิต หญิงสาวยืนตะลึงไปด้วยความทึ่ง หล่อนนิ่งค้างเสียจนนาคเจ้าต้องถามขึ้นมา
“ทำไม? หรืออยากนั่งกลางกองหินอย่างเดิม?”
“มะ..ไม่ค่ะ ตรงนี้ดีแล้วค่ะ” เคียงฟ้ารีบส่ายหน้า แล้วก้าวขึ้นไปบนเรือน โดยไม่ลืมถอดรองเท้าเสียก่อน
ในใจหล่อนอดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าภูวิษะยังมีอำนาจที่จะเนรมิตความสะดวกสบาย หรือแม้แต่จะสร้างราชวังอันยิ่งใหญ่ตระการตาให้กลับขึ้นมาอีกครั้งในมิตินี้ก็น่าจะได้ แล้วทำไมเขาถึงกักขังตนเองอยู่ในวันเวลาแห่งความเสื่อมโทรมแบบนี้หนอ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังความตายมาเยือนนางกำนัลคนงาม กุสุมาลย์จากไปแล้วแต่ในพระทัยของมหิตาเทวีหาความสงบได้ไม่ เรื่องราวระหว่างพระนางกับพินทุมณีเทวีนับวันจะยิ่งทวีรอยร้าวมากขึ้น สองเทวีแทบมิได้ตรัสต่อกันเหมือนเช่นอดีต มิหนำซ้ำเมื่อมีเสาวนีย์พาดพิงถึงกันและกัน ก็หาเป็นเรื่องดีงามไม่ ความสัมพันธ์ของสองเทวี มิได้เหมือนภคินีและขนิษฐาร่วมอุทรมาแต่พระมารดาเดียวกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างเฝ้าระแวงซึ่งกันและกัน มหิตาเทวีมิได้ทอดพระเนตรเห็นพินทุมณีเทวีเป็นพระภคินีอีกต่อไป ในขณะที่พินทุมณีเทวีไม่ได้ละเลิกความไม่พอพระทัยที่มีต่อองค์ขนิษฐาเช่นกัน ในพระทัยของพระนางสุมไว้ด้วยเพลิงโทสะกองใหญ่ และทรงทอดพระเนตรหาโอกาสที่จะตอบแทนอยู่เนืองนิตย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยแต่หากโอกาสอำนวยพระนางไม่รั้งรอที่จะกระทำ
“เพลานั้นขึ้น 12 ค่ำ ปีระกา ถัดจากวันทำบุญส่งวิญญาณกุสุมาลย์ครบ 7 วัน เราได้เชิญพระครูมาทำพิธีปัดรังควานเสนียดในตำหนัก” เสียงห้าวของเจ้าภูวิษะเล่าย้อนรำลึกถึงวันเวลาในกาลเก่า
มายาภาพถูกนิรมิตขึ้นมาไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์ ตัวละครต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมาตามคำบอกเล่า เคียงฟ้านั่งนิ่งพยายามทำใจให้ชินกับอิทธิฤทธิ์ของนาคเจ้า แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
ภาพพิธีการทางศาสนาดำเนินไปตั้งแต่การตั้งโต๊ะบูชาบวงสรวงแถนฟ้า [1] ทำพิธีเบิกทางเข้าเรือน [2] แล้ว ขบวนพราหมณ์หลวงจุดเทียนเดินนำขบวนเข้าสู่ตำหนัก โดยมีพราหมณ์ผู้น้อยเดินตามหลังแต่ละคนจับสายสิญจน์สีขาวหม่นจากหัวขบวนเอาไว้แล้วเรียงแถวกันเข้าไป ปากก็ปริกรรมคาถาร่ายสังวัธยายมนตราไปเรื่อยๆ จนเสียงสวดดังกังวานไปทั่วตำหนักสร้างบรรยากาศขรึมขลังยิ่งนัก เมื่อหยุดแวะพักตรงจุดไหนก็จะแป้งดินสอพองเขียนอักขระเจิมไว้ที่บริเวณนั้น พิธีกรรมดำเนินไปต่อจวบจนกระทั่งขบวนพราหมณ์กลับมายังกลางตำหนักอันเป็นจุดเริ่มต้น
จึงพบว่ามีผู้มานั่งรอร่วมพิธีอยู่แล้วทั้งเจ้าของตำหนักและแขกที่มิคาดว่าจะมาเยือน นั่นคือขบวนของพินทุมณีเทวี เสด็จมาร่วมพิธีเช่นกัน เคียงฟ้าเห็นเข้าถึงกับอุทานออกมา
“ตายล่ะ!! เดี๋ยวก็มีเรื่องกันหรอก”
“ไม่มีหรอก นี่เป็นงานพิธีกรรม ผู้ใดจะไร้มารยาท แม้แต่มหิตาที่อยากออกปากไล่นาง ก็จำต้องสงวนถ้อยคำเอาไว้ ในพิธีเรียกมงคลเช่นนี้ห้ามผู้ใดกล่าวคำหยาบ หรือด่าทอกัน ไม่งั้นเป็นอันเสียพิธีต้องหาฤกษ์ทำใหม่ทั้งหมด”
“เคร่งกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
===================================================================
[1] แถนฟ้า – เทวดา
[2] เบิกทางเข้าเรือน – พิธีขอเข้าบ้านเข้าเรือน
===================================================================