เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 49-50

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 48 http://ppantip.com/topic/30536098

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl




ตอนที่ 49



                 หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่านาฬิกาของหล่อนตายสนิท  เคียงฟ้าไม่คิดว่านาฬิกาจะมาเสียเอาตอนนี้  หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว จึงนึกเป็นห่วงทางบ้านเกิดว่าหล่อนหายไปนานเกินไป  มารดาจะเป็นกังวลเอาได้ ดวงหน้าหวานมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเหลียวมามองนาคจำแลง เจ้าภูวิษะเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หล่อนคิด

                 “ที่นี่ไม่มีกาลเวลา มันเป็นเพียงนครที่ตายไปแล้วเท่านั้น”

                “งั้นพอจะทราบไหมคะว่า  เราลงมาที่นี่กันนานหรือยัง ?” เมื่อเห็นเจ้านาคราชขมวดคิ้วหล่อนจึงพูดต่อ “ถ้ากลับผิดเวลามากไป  ฟ้ากลัวคุณแม่เป็นห่วงน่ะค่ะ” หล่อนเริ่มจะแทนตนเองว่า ‘ฟ้า’ เมื่อรู้สึกวางใจเขาแล้ว

               “เราคงไม่ถ่วงให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลหรอก” ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

               “ถ้ากลับไม่เกินทุ่มหนึ่งได้ก็ดีค่ะ   จะได้ไม่ดึกไป”

               “ทุ่มหนึ่ง? ดึก?  ผู้หญิงในเวลาของเจ้ามีแต่เตร็ดเตร่กลับบ้านเมื่อเลยค่อนคืนไปแล้วด้วยซ้ำ”

               “ถ้าบอกเอาไว้ก่อนก็กลับดึกได้ค่ะ  แต่ว่านี่ไม่ได้บอกล่วงหน้า  หรือคุณอยากให้ฉันกลับช้ากว่านั้นอีกหน่อย ก็ขอโทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ”

                “โทรบอก?”  ฟังเจ้าภูวิษะย้อนถามแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่า  โทรศัพท์มือของหล่อนน่าจะอยู่กระเป๋าในศาลาท่าน้ำข้างบนนั่น

                “แย่จัง...ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย...แต่ถึงเอามาตกน้ำคงพังหมดแล้ว  ถ้าอย่างนั้น...คุณช่วยบอกคุณแม่ให้หน่อยได้ไหมคะว่าฉันจะกลับไม่เกินสามทุ่ม”

                “จะให้ไปบอกอย่างไร? เราไม่มีโทรศัพท์” นาคเจ้าส่ายหน้า ดวงหน้าคมนั้นเริ่มมีรอยยิ้มมุมปาก

                “ก็...ก็...คุณเป็นพญานาค  คุณไม่มีวิธีอื่นแนะนำบ้างหรือคะ?”

                “ขอโทษเถอะที่นี่ไม่มีโทรศัพท์  ไม่ได้ติดอินเตอร์เน็ต  และไม่ใช่โลกมนุษย์” ใบหน้าคนพูดนิ่งเฉยจนหล่อนไม่แน่ใจว่าเขาประชดหรือเปล่า

               “แล้ว...เวลาคุณติดต่อกับคนอื่น...เอ่อ อย่างอาจารย์พี่เจ้า  ทำยังไงคะ?”

               “งู”

               “งู?”

              “ใช่...ส่งงูไปเท่านั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่เรายังออกจากที่นี่ไม่ได้  ถ้ามีปัญหามากนัก อาจารย์ของเจ้าก็จะตะเกียกตะกายมาหาเราเอง”  หล่อนนิ่งอึ้งไปแม้จะไม่เข้าใจในคำอธิบายทั้งหมดก็ตาม  แต่เมื่อนึกว่าต้องเจองูแล้วก็ขยาดนัก

              “หรือต้องการให้เราส่งบริวาร ไปหามารดาเจ้า...แต่ งูพูดมิได้ดอกนะมันทำได้แค่นำพาคลื่นจิตไปเท่านั้น”

              “มะ...ไม่ต้องค่ะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่ตกใจยิ่งกว่าเดิม” งูไม่ใช่สัตว์น่ารักในสายตาหล่อนหรือมารดาแน่ๆ

              “นั่นสิ  ถ้าส่งไปมารดาเจ้าจะคงตื่นตระหนก”  เจ้าภูวิษะตอบมาราวเป็นเรื่องขบขัน แต่ในสายตาเคียงฟ้ามันช่างน่าขนลุกนัก

              “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  หากช้าเกินเวลา วิมุตติคงส่งข่าวไปให้มารดาเจ้าเอง”

              “อาจารย์จะไปบอกให้เหรอคะ?”  เจ้านาคราชพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายิ้มอย่างสมหวังบางประการ

              “ใช่สิ...นักศึกษาสาวนั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับเขา  หากดึกดื่นมืดค่ำแล้วแม่สาวนั่นยังไม่คืนเรือน  ใครเล่าจะถูกครหา  ใครเล่าจะถูกมองอย่างหมิ่นเหม่ในวิชาชีพ  หึ หึ  อย่างวิมุตติน่ะไม่มีทางยอมให้ตนเองเสียหายดอก ดังนั้นเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา  อยากวุ่นวายส่งเจ้าลงมาที่นี่เองนี่นะ” เคียงฟ้าแน่ใจว่าเจ้าภูวิษะกำลังสะใจอกสะใจเหมือนได้แก้แค้นคืนเล็กๆ  

              “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น  ฉันก็สบายใจค่ะ”

              “เคียงฟ้า...เราสัญญาจะไปส่งเจ้าจนถึงเรือนมิให้ดึกดื่น  ใบหน้าของเจ้าสำคัญไม่แพ้วิมุตติดอก”  คำสัญญาประโยคนั้นทำให้หล่อนอดตื้นตันใจไม่ได้  เขานึกหน้าหล่อนไม่อยากให้ถูกใครนินทา ว่าแล้วเคียงฟ้าก็ไม่อาจซ่อนรอบยิ้มเอาไว้ได้  

              “ค่ะ  ฉันเชื่อคุณ”

              “มาเถิดเคียงฟ้า  ไปหาที่นั่งสนทนากัน”

              “ที่ไหนคะ?”  สิ้นคำถามเบื้องหน้าพลันมีเรือนไม้ยกพื้นสูงไร้ฝาฝนังกั้นโปร่งโล่งไปตลอดทุกด้าน  มีเพียงสี่เสาค้ำหลังซ้อนเหลี่ยมนั้นไว้ ทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบทิศ  ปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจนิรมิต  หญิงสาวยืนตะลึงไปด้วยความทึ่ง หล่อนนิ่งค้างเสียจนนาคเจ้าต้องถามขึ้นมา

              “ทำไม?  หรืออยากนั่งกลางกองหินอย่างเดิม?”

              “มะ..ไม่ค่ะ  ตรงนี้ดีแล้วค่ะ” เคียงฟ้ารีบส่ายหน้า  แล้วก้าวขึ้นไปบนเรือน โดยไม่ลืมถอดรองเท้าเสียก่อน  

              ในใจหล่อนอดสงสัยไม่ได้  ในเมื่อเจ้าภูวิษะยังมีอำนาจที่จะเนรมิตความสะดวกสบาย หรือแม้แต่จะสร้างราชวังอันยิ่งใหญ่ตระการตาให้กลับขึ้นมาอีกครั้งในมิตินี้ก็น่าจะได้  แล้วทำไมเขาถึงกักขังตนเองอยู่ในวันเวลาแห่งความเสื่อมโทรมแบบนี้หนอ...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




              หลังความตายมาเยือนนางกำนัลคนงาม  กุสุมาลย์จากไปแล้วแต่ในพระทัยของมหิตาเทวีหาความสงบได้ไม่  เรื่องราวระหว่างพระนางกับพินทุมณีเทวีนับวันจะยิ่งทวีรอยร้าวมากขึ้น   สองเทวีแทบมิได้ตรัสต่อกันเหมือนเช่นอดีต  มิหนำซ้ำเมื่อมีเสาวนีย์พาดพิงถึงกันและกัน  ก็หาเป็นเรื่องดีงามไม่   ความสัมพันธ์ของสองเทวี มิได้เหมือนภคินีและขนิษฐาร่วมอุทรมาแต่พระมารดาเดียวกัน  

             เมื่อต่างฝ่ายต่างเฝ้าระแวงซึ่งกันและกัน  มหิตาเทวีมิได้ทอดพระเนตรเห็นพินทุมณีเทวีเป็นพระภคินีอีกต่อไป  ในขณะที่พินทุมณีเทวีไม่ได้ละเลิกความไม่พอพระทัยที่มีต่อองค์ขนิษฐาเช่นกัน  ในพระทัยของพระนางสุมไว้ด้วยเพลิงโทสะกองใหญ่   และทรงทอดพระเนตรหาโอกาสที่จะตอบแทนอยู่เนืองนิตย์   แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยแต่หากโอกาสอำนวยพระนางไม่รั้งรอที่จะกระทำ  


             “เพลานั้นขึ้น 12 ค่ำ ปีระกา  ถัดจากวันทำบุญส่งวิญญาณกุสุมาลย์ครบ 7 วัน  เราได้เชิญพระครูมาทำพิธีปัดรังควานเสนียดยิ้มในตำหนัก” เสียงห้าวของเจ้าภูวิษะเล่าย้อนรำลึกถึงวันเวลาในกาลเก่า  

             มายาภาพถูกนิรมิตขึ้นมาไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์   ตัวละครต่างๆ  ค่อยๆ ปรากฏออกมาตามคำบอกเล่า  เคียงฟ้านั่งนิ่งพยายามทำใจให้ชินกับอิทธิฤทธิ์ของนาคเจ้า  แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้  

                 ภาพพิธีการทางศาสนาดำเนินไปตั้งแต่การตั้งโต๊ะบูชาบวงสรวงแถนฟ้า  [1] ทำพิธีเบิกทางเข้าเรือน [2] แล้ว ขบวนพราหมณ์หลวงจุดเทียนเดินนำขบวนเข้าสู่ตำหนัก โดยมีพราหมณ์ผู้น้อยเดินตามหลังแต่ละคนจับสายสิญจน์สีขาวหม่นจากหัวขบวนเอาไว้แล้วเรียงแถวกันเข้าไป ปากก็ปริกรรมคาถาร่ายสังวัธยายมนตราไปเรื่อยๆ จนเสียงสวดดังกังวานไปทั่วตำหนักสร้างบรรยากาศขรึมขลังยิ่งนัก เมื่อหยุดแวะพักตรงจุดไหนก็จะแป้งดินสอพองเขียนอักขระเจิมไว้ที่บริเวณนั้น  พิธีกรรมดำเนินไปต่อจวบจนกระทั่งขบวนพราหมณ์กลับมายังกลางตำหนักอันเป็นจุดเริ่มต้น  

                 จึงพบว่ามีผู้มานั่งรอร่วมพิธีอยู่แล้วทั้งเจ้าของตำหนักและแขกที่มิคาดว่าจะมาเยือน  นั่นคือขบวนของพินทุมณีเทวี  เสด็จมาร่วมพิธีเช่นกัน  เคียงฟ้าเห็นเข้าถึงกับอุทานออกมา

                 “ตายล่ะ!! เดี๋ยวก็มีเรื่องกันหรอก”

                “ไม่มีหรอก นี่เป็นงานพิธีกรรม ผู้ใดจะไร้มารยาท แม้แต่มหิตาที่อยากออกปากไล่นาง  ก็จำต้องสงวนถ้อยคำเอาไว้  ในพิธีเรียกมงคลเช่นนี้ห้ามผู้ใดกล่าวคำหยาบ หรือด่าทอกัน  ไม่งั้นเป็นอันเสียพิธีต้องหาฤกษ์ทำใหม่ทั้งหมด”

                 “เคร่งกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”




===================================================================
[1] แถนฟ้า – เทวดา
[2] เบิกทางเข้าเรือน – พิธีขอเข้าบ้านเข้าเรือน
===================================================================

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่