ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 70-71
http://ppantip.com/topic/34649150
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
ตอนที่ 72
“ท่านขอให้สร้อยประพาฬเทวีทำกระไรรึ?”
“เป็นทางออกของเราที่เห็นสมควรที่สุดในเวลานั้น” นาคเจ้ายิ้มน้อยๆ ตอนเล่าให้สหายฟัง “ขอให้ทรงรับเจ้าหญิงเมืองปาลไว้ในตำหนักของพระนาง”
“ท่าน...”
“แก้วตารา เพิ่งจะอายุ13 ย่างเข้า 14 เท่านั้น ยังประวิงเวลาได้อีกหลายปีกว่านางจะเป็นสาวเต็มตัว เราใช้ข้ออ้างนี้ฝากนางไว้ที่ตำหนักสร้อยประพาฬเทวี อ้างว่าให้เสด็จป้าช่วยฝึกฝนนางให้เป็นกุลสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาคนที่สองของเราอย่างไรเล่า”
“เจ้าปัญญานัก ฮะ ฮะ” วิมุตติพลอยหัวเราะเห็นดีเห็นงามไปด้วย “แบบนี้ผู้ใดก็ยากจะคัดค้านข้ออ้างนี้เสียด้วยสิ ท่านไม่ต้องผิดวาจา มหิตาก็ไม่เสียใจ ทุกอย่างดูจะคลี่คลายด้วยดีแล้วเหตุอันใดเมืองจึงล่มอีก?”
“ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามนั้น...หากดวงชะตาเราคงมีคราสเข้าบดบัง” เจ้านาคราชทอดถอนหายใจวงพักตร์ซีดเซียวลง แววเนตรมีหน่วยน้ำคลอ แต่เพียงครู่เดียวอัสสุชนก็ถูกกลืนลงไปในอุระ
“มันคงเป็นชะตาที่ยากจะหลีกเลี่ยง”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใช่..มันน่าจะเป็นไปตามแผนที่นาคเจ้าทรงดำริไว้ วันนั้นก่อนแสงสุรีย์จะลาลับภูวิษะเจ้ารีบเร่งฝีเท้าม้าเสด็จกลับตำหนัก ดวงพักตร์มีแต่รอยยิ้มสมพระทัยใคร่จะกลับไปบอกเรื่องนี้กับมหิตาเทวี แต่เมื่อกลับมาถึงก็ต้องประหลาดพระทัยเมื่อพบว่าพระชายามิได้อยู่ในตำหนักเหมือนเช่นเคย มีเพียงนางกำนัลออกมาต้อนรับ แม้คุณท้าวจันทร์หอมก็พลอยไม่อยู่ไปด้วย
“มหิตาไปไหน?”
“ไปเข้าเฝ้าพระมาตุจฉา [1]เพคะ”
“พระมาตุจฉา?”
“กมลมาลย์เทวีเพคะ” เจ้าของพระนามเป็นพระขนิษฐาของพระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวี ซึ่งถวายงานใกล้ชิดหลายครั้งก็ทรงงานแทนตามรับสั่งครานี้ก็เช่นกัน
“ไปทำไม?”
“มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลตอบเกรงๆ ด้วยว่าระยะนี้พระอารมณ์ภูวิษะเจ้าไม่ใคร่ปกตินัก มักจะฉุนเฉียวง่าย เมื่อเห็นว่าไม่รับสั่งใดอีกนางจึงเลี่ยงไปหาน้ำมาถวาย
รอคอยอยู่หลายเพลาชายาอันเป็นที่รักก็มิได้กลับมาพบพักตร์ เจ้านาคราชได้แต่ดำเนินไปมาไม่ช้าก็เบื่อหน่ายและเผลอบรรทมไป ดังนั้นเมื่อมหิตาเทวีเสด็จกลับมาก็มิได้ทราบข่าวดีที่พระสวามีจะนำมาบอก...
“เจ้าภู....” เสียงที่ผ่านริมฝีปากอิ่มของมหิตาเทวีออกมาเป็นเสียงของเคียงฟ้า
หล่อนนั่งลงข้างเตียงเมื่อเห็นร่างสูงของภูวิษะเจ้าบรรทมอยู่ หญิงสาวพินิจไปที่ใบหน้าที่ยังหลับตาสนิทนั้น นัยน์ตาของหล่อนก็รื้นไปด้วยน้ำตา ความรักมากมายมันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาอยู่ตรงหน้าแล้วหล่อนอยากสวมกอดเขาให้หายคิดถึง อยากถามเขาว่าทำไมถึงหลบหน้าหล่อน ทำไมถึงขังตัวเองอยู่ในความมืด แต่คนตรงหน้าไม่ใช่เจ้าภูวิษะคนที่หล่อนพบในแดนไสยาสน์ เป็นเพียงเงาในอดีตเท่านั้น
“ฟ้าคิดถึงคุณเหลือเกิน” หล่อนพูดได้แค่นั้นแล้วสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าเสียงร้องไห้จะไปทำให้เขาตื่น
แค่ไม่ได้พูดคุยกันไม่กี่วันแต่สำหรับเคียงฟ้ามันช่างยาวนานเหลือเกิน หล่อนมีอะไรอยากบอกเขามากมาย แต่จะให้ปลุกขึ้นมาก็ใช่ที่ จึงได้แต่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วนั่งมองดูชายคนรักมองหลับ
‘เขาเป็นของมหิตา’ เคียงฟ้าบอกตัวเอง แล้วคำถามอีกมากมายก็ประเดประดังเข้ามา อดีตผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การนิ่งเฉยยอมรับทุกสิ่งอย่างจนตรอก มันคงไม่ใช่เหตุผลที่นำกาลเวลานำหล่อนกลับมาที่นี่ บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวบอกกับตนเองมาถึงขั้นนี้แล้ว หล่อนยอมแลก..แม้จะไม่ได้กลับในกาลเวลาของตนเองอีกเลยก็ตาม!
[1]พระมาตุจฉา – ญาติข้างแม่ น้า,ป้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ก่อนแสงแรกของวันจะเริ่มขึ้นภูวิษะเจ้าลืมเนตรขึ้นมาก็พบว่าพระชายามิได้นอนอยู่ข้างเคียง แต่กำลังทรงอักษรอยู่บนตั่งเตี้ยภายในห้อง ท่าทางของนางเทวีดูหงุดหงิดงุ่นง่านคล้ายไม่ได้ดั่งใจ รอบวรกายมีกองผ้าที่นำมาเขียนมีรอยดำกระด่างบ่งบอกว่าเขียนผิดพลาดอยู่หลายชิ้น
“เจ้าทำกระไร?”
“เจ้าภู! ตื่นแล้วเหรอคะ” หล่อนหันไปยิ้มให้ เจ้านาคราชกะพริบตาด้วยความไม่แน่พระทัย ในห้องบรรทมมีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงเท่านั้น กลับมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวอีกคนซ้อนทับพระพักตร์ของมหิตาเทวี จึงชะงักไปชั่วขณะ
“เจ้าภู...เสด็จพี่” เคียงฟ้ารีบเปลี่ยนสรรพนามเมื่อนึกขึ้นมาได้
ภูวิษะเจ้ามิได้ตอบ แต่กลับลุกขึ้นแล้วเคลื่อนองค์ไปเบื้องหน้าหญิงสาว ก่อนจะรวบไหล่เธอไว้ดึงให้หันกลับมาประชันหน้าทั้งตัว พระหัตถ์อุ่นนั้นเชยคางหล่อนขึ้นมาอย่างเพ่งพินิจ
“...สะ..เสด็จพี่มีกระไรหรือเพคะ?”
“เราคงจะตาฝาดไปเอง” นาคเจ้าตรัสตอบเมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
“ทำสิ่งใดอยู่” ใต้ดวงเนตรนั้นมีแววหมองคล้ำจนเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อคืนมหิตาเทวีมิได้บรรทม
“ว่างคุยกับหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ” หล่อนคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่คู่สวาทรู้สึกว่ามีบางสิ่งในตัวนางอันเป็นที่รักแปลกไป
“เจ้ามีเรื่องกระไร ถึงได้ทำหน้าระรื่นนัก” เคียงฟ้าไม่ได้ตอบในทันที แต่หล่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ได้คุยกันเสียที
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 72-73
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
“ท่านขอให้สร้อยประพาฬเทวีทำกระไรรึ?”
“เป็นทางออกของเราที่เห็นสมควรที่สุดในเวลานั้น” นาคเจ้ายิ้มน้อยๆ ตอนเล่าให้สหายฟัง “ขอให้ทรงรับเจ้าหญิงเมืองปาลไว้ในตำหนักของพระนาง”
“ท่าน...”
“แก้วตารา เพิ่งจะอายุ13 ย่างเข้า 14 เท่านั้น ยังประวิงเวลาได้อีกหลายปีกว่านางจะเป็นสาวเต็มตัว เราใช้ข้ออ้างนี้ฝากนางไว้ที่ตำหนักสร้อยประพาฬเทวี อ้างว่าให้เสด็จป้าช่วยฝึกฝนนางให้เป็นกุลสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาคนที่สองของเราอย่างไรเล่า”
“เจ้าปัญญานัก ฮะ ฮะ” วิมุตติพลอยหัวเราะเห็นดีเห็นงามไปด้วย “แบบนี้ผู้ใดก็ยากจะคัดค้านข้ออ้างนี้เสียด้วยสิ ท่านไม่ต้องผิดวาจา มหิตาก็ไม่เสียใจ ทุกอย่างดูจะคลี่คลายด้วยดีแล้วเหตุอันใดเมืองจึงล่มอีก?”
“ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามนั้น...หากดวงชะตาเราคงมีคราสเข้าบดบัง” เจ้านาคราชทอดถอนหายใจวงพักตร์ซีดเซียวลง แววเนตรมีหน่วยน้ำคลอ แต่เพียงครู่เดียวอัสสุชนก็ถูกกลืนลงไปในอุระ
“มันคงเป็นชะตาที่ยากจะหลีกเลี่ยง”
ใช่..มันน่าจะเป็นไปตามแผนที่นาคเจ้าทรงดำริไว้ วันนั้นก่อนแสงสุรีย์จะลาลับภูวิษะเจ้ารีบเร่งฝีเท้าม้าเสด็จกลับตำหนัก ดวงพักตร์มีแต่รอยยิ้มสมพระทัยใคร่จะกลับไปบอกเรื่องนี้กับมหิตาเทวี แต่เมื่อกลับมาถึงก็ต้องประหลาดพระทัยเมื่อพบว่าพระชายามิได้อยู่ในตำหนักเหมือนเช่นเคย มีเพียงนางกำนัลออกมาต้อนรับ แม้คุณท้าวจันทร์หอมก็พลอยไม่อยู่ไปด้วย
“มหิตาไปไหน?”
“ไปเข้าเฝ้าพระมาตุจฉา [1]เพคะ”
“พระมาตุจฉา?”
“กมลมาลย์เทวีเพคะ” เจ้าของพระนามเป็นพระขนิษฐาของพระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวี ซึ่งถวายงานใกล้ชิดหลายครั้งก็ทรงงานแทนตามรับสั่งครานี้ก็เช่นกัน
“ไปทำไม?”
“มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลตอบเกรงๆ ด้วยว่าระยะนี้พระอารมณ์ภูวิษะเจ้าไม่ใคร่ปกตินัก มักจะฉุนเฉียวง่าย เมื่อเห็นว่าไม่รับสั่งใดอีกนางจึงเลี่ยงไปหาน้ำมาถวาย
รอคอยอยู่หลายเพลาชายาอันเป็นที่รักก็มิได้กลับมาพบพักตร์ เจ้านาคราชได้แต่ดำเนินไปมาไม่ช้าก็เบื่อหน่ายและเผลอบรรทมไป ดังนั้นเมื่อมหิตาเทวีเสด็จกลับมาก็มิได้ทราบข่าวดีที่พระสวามีจะนำมาบอก...
“เจ้าภู....” เสียงที่ผ่านริมฝีปากอิ่มของมหิตาเทวีออกมาเป็นเสียงของเคียงฟ้า
หล่อนนั่งลงข้างเตียงเมื่อเห็นร่างสูงของภูวิษะเจ้าบรรทมอยู่ หญิงสาวพินิจไปที่ใบหน้าที่ยังหลับตาสนิทนั้น นัยน์ตาของหล่อนก็รื้นไปด้วยน้ำตา ความรักมากมายมันเอ่อล้นอยู่ในอก เขาอยู่ตรงหน้าแล้วหล่อนอยากสวมกอดเขาให้หายคิดถึง อยากถามเขาว่าทำไมถึงหลบหน้าหล่อน ทำไมถึงขังตัวเองอยู่ในความมืด แต่คนตรงหน้าไม่ใช่เจ้าภูวิษะคนที่หล่อนพบในแดนไสยาสน์ เป็นเพียงเงาในอดีตเท่านั้น
“ฟ้าคิดถึงคุณเหลือเกิน” หล่อนพูดได้แค่นั้นแล้วสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าเสียงร้องไห้จะไปทำให้เขาตื่น
แค่ไม่ได้พูดคุยกันไม่กี่วันแต่สำหรับเคียงฟ้ามันช่างยาวนานเหลือเกิน หล่อนมีอะไรอยากบอกเขามากมาย แต่จะให้ปลุกขึ้นมาก็ใช่ที่ จึงได้แต่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วนั่งมองดูชายคนรักมองหลับ
‘เขาเป็นของมหิตา’ เคียงฟ้าบอกตัวเอง แล้วคำถามอีกมากมายก็ประเดประดังเข้ามา อดีตผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การนิ่งเฉยยอมรับทุกสิ่งอย่างจนตรอก มันคงไม่ใช่เหตุผลที่นำกาลเวลานำหล่อนกลับมาที่นี่ บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวบอกกับตนเองมาถึงขั้นนี้แล้ว หล่อนยอมแลก..แม้จะไม่ได้กลับในกาลเวลาของตนเองอีกเลยก็ตาม!
[1]พระมาตุจฉา – ญาติข้างแม่ น้า,ป้า
ก่อนแสงแรกของวันจะเริ่มขึ้นภูวิษะเจ้าลืมเนตรขึ้นมาก็พบว่าพระชายามิได้นอนอยู่ข้างเคียง แต่กำลังทรงอักษรอยู่บนตั่งเตี้ยภายในห้อง ท่าทางของนางเทวีดูหงุดหงิดงุ่นง่านคล้ายไม่ได้ดั่งใจ รอบวรกายมีกองผ้าที่นำมาเขียนมีรอยดำกระด่างบ่งบอกว่าเขียนผิดพลาดอยู่หลายชิ้น
“เจ้าทำกระไร?”
“เจ้าภู! ตื่นแล้วเหรอคะ” หล่อนหันไปยิ้มให้ เจ้านาคราชกะพริบตาด้วยความไม่แน่พระทัย ในห้องบรรทมมีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงเท่านั้น กลับมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวอีกคนซ้อนทับพระพักตร์ของมหิตาเทวี จึงชะงักไปชั่วขณะ
“เจ้าภู...เสด็จพี่” เคียงฟ้ารีบเปลี่ยนสรรพนามเมื่อนึกขึ้นมาได้
ภูวิษะเจ้ามิได้ตอบ แต่กลับลุกขึ้นแล้วเคลื่อนองค์ไปเบื้องหน้าหญิงสาว ก่อนจะรวบไหล่เธอไว้ดึงให้หันกลับมาประชันหน้าทั้งตัว พระหัตถ์อุ่นนั้นเชยคางหล่อนขึ้นมาอย่างเพ่งพินิจ
“...สะ..เสด็จพี่มีกระไรหรือเพคะ?”
“เราคงจะตาฝาดไปเอง” นาคเจ้าตรัสตอบเมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
“ทำสิ่งใดอยู่” ใต้ดวงเนตรนั้นมีแววหมองคล้ำจนเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อคืนมหิตาเทวีมิได้บรรทม
“ว่างคุยกับหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ” หล่อนคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่คู่สวาทรู้สึกว่ามีบางสิ่งในตัวนางอันเป็นที่รักแปลกไป
“เจ้ามีเรื่องกระไร ถึงได้ทำหน้าระรื่นนัก” เคียงฟ้าไม่ได้ตอบในทันที แต่หล่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ได้คุยกันเสียที