สวัสดีครับ
ที่จริงนางสาป ถูกกำหนดให้วางแผงในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาตินี้ แต่...เสียดายที่ไม่ทัน กำหนดการยังคงอยู่ภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคนเขียนก็หวังให้มันคลอดออกมาได้สักที
นางสาป เป็นนิยายประหลาด เป็นเรื่องแรกที่ไม่ได้เขียนถึงภพภูมิของภูตผี หรือโลกของจิตวิญญาณ หรือรักข้ามภพชาติ เหมือนในเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา คนเขียนลองเปลี่ยนไปเล่นกับการปลอมปน การอยู่ร่วมกันทำนอง MIB หรือ ดิ เอ็กซ์-ไฟล์ ไปโน่นเลย สิ่งที่ยากกจึงเป็นเรื่องของการทำให้ผู้อ่านเชื่อตามสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่หลังจากผ่านสายตาใครหลายๆ คนแล้ว ก็คิดว่าคนอ่านน่าจะสนุกได้กับนิยายแปลกๆ เรื่องนี้ครับ
ตราบที่ยังไม่มีกำหนดวางแผงหรือมีภาพปกออกมาให้ชมกันชัดๆ ก็จะทยอยลงไปเรื่อยๆ ครับ รวมทั้งเพื่อนในถนนจะมีช่องทางอ่านออนไลน์จนจบเรื่องได้แน่นอน หากติดเงื่อนไขที่อาจไม่สามารถลงต่อจนจบได้
ขอบคุณมิ่งมิตร มิตรรักนักอ่านทุกท่านสำหรับทุกการติดตามอ่าน ทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะครับ ขอบคุณอ.จี คุณลิ คุณเลดี้ดาวสำหรับความคิดเห็น ขอบคุณอุรุเวลา ถูกใจ, Lady Star 919 ทึ่ง, เพ็ญพิชญา ทึ่ง, turtle_cheesecake ทึ่ง, kdunagin ถูกใจ, ลายลิขิต ทึ่ง, GTW ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, ออมอำพัน ทึ่ง สำหรับไลค์ต่างๆ ขอบคุณทุกท่านจากใจครับผม
ผมเอง เพลงเกือบพัน
*******************************************
นางสาป บทที่ 12
นางขนาฮึดฮัดขัดใจ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วแท้ๆ นางคนนั้นทำไมอยู่ๆ เกิดจะขวัญอ่อน และแม้เสียงร้องนั่นจะกรีดสั้น แต่เพื่อตัดความรำคาญ นางจึงต้องละเหยื่อโอชะตรงหน้าไว้ก่อน
นางสางในร่างของวาด ตวัดสองมือวูบเข้า ผ้านุ่งผ้าห่มของทั้งตนและภูอินก็เข้าที่ แล้วนางก็กลับหลัง ทะยานมาหน้าประตูห้องที่พลอยถูกกักขัง ใจอยากจะเปิดเข้าไปฆ่ามันเสียให้ตาย แต่ยังดีที่อีกใจยังห้ามไว้
‘ถ้ามันตาย เรื่องราวจักเอิกเกริก จักเดือดร้อนวุ่นวายมากไปกว่านี้!’
‘ก็ให้เรื่องมันจบๆ ไปยังไรเล่า! จักได้มิต้องพะวักพะวงอันไรอีก!’
‘มิได้สิ นี้คือโอกาสที่ข้าจักเข้ามาแฝงตัว จักได้ทั้งอิ่มเอมทั้งเปรมปรีดิ์ จักให้เสียเรื่องตั้งตะแรกไปไย...’
นางสางร้ายคิดวุ่นวายอยู่อีกอึดใจ ก็ตัดสินใจใช้ไม้อ่อน เสกกำกับให้ภายในเรือนตึกหลังคาเก๋งจีน กลายเป็นเขาวงกต ให้คนบุกรุกมันเดินวกเวียนไปก่อน
และพอมีเวลาคิดเรียบเรียงอะไรๆ ให้ชัดเจน นางสางขนาก็เริ่มมองเห็นภาพระยะยาว การรอคอยมานับสิบปี ไม่ควรจะจบลงเพียงแค่ นางได้ชายหนุ่มมาเสพเป็นภักษาหาร เพราะอย่างไร ไม่กี่วันข้างหน้า เรื่องราวบานปลายขึ้นมา ก็จะมีแต่ความลำบากลำบน
‘สู้หาใครสักคน มาคอยเปรอปรนไปนานๆ น่าจักดีกว่า’
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบกลับมา ยังร่างที่นอนไม่ได้สติ
หมู่เมฆหนาทึบเคลื่อนพ้นไปแล้ว จันทร์นวลทอแสงแจ่มงามชวนฟุ้งฝัน ทั้งเรือนกายของภูอินนั้น นางสางในร่างของหญิงงาม ได้พินิจพิจารณา สูดดมไปแล้วทุกอณูเนื้อ เมื่อยิ่งอาศัยแสงจันทรา เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาตราตรึง ความคิดที่จะเอาเขาเป็นของเล่นชั่วคราว ก็แทบอันตรธานหาย
ยามหลับใหลเขาดูช่างไร้เดียงสา ที่ติดใจนางคือผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ปราศจากตำหนิ ไม่ว่าจะรอยแผลเป็น หรือร่องรอยการสักเลขลงยันต์ การนึกคุ้นๆ แต่แรก มาชัดเจนเมื่อเขาค่อยได้สติ... แววตาเปี่ยมเสน่ห์อย่างนี้ละ ที่จำได้ไม่มีวันลืม
“ที่แท้คือชายหนุ่มคนนั้น... ที่ศาลาวัดท้ายเมือง... ดี... ดีมาก เยี่ยงนี้ต้องเรียกบุญพาวาสนาส่งซีนะ”
นางแตะเบาๆ ตรงหน้าอกข้างซ้ายของคนยังนอนเหยียดยาว ชะลอการเต้นของหัวใจเขาให้ช้าลง หวังไม่ให้ได้คืนสติบริบูรณ์ รวดเร็วเกินไปนัก
ภูอินหายใจได้เพียงแผ่วผิว ยิ่งเมื่อถูกนางขนาคอยสูดกลืนกระแสชีวิต ก็ทำให้ยิ่งอึดอัด ในที่สุดเขาก็ถึงกับสำลักอากาศ กระอักกระไอออกมาจนฟื้นสติ
ภาพที่เห็นนั้นยังพร่าเลือน ปวดตุบที่ท้ายทอย รีบทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผงกศีรษะขึ้นมาเห็นวาดนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ต้องรีบยันกายให้ลุกขึ้น
วาดรีบเข้ามาประคอง มือหนึ่งช่วยรั้งทางหัวไหล่ ขณะอีกมือป่ายผ่านกลางกายเขาไป คล้ายไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดี
ภูอินสะดุ้ง เผลอผลักมือข้างที่เฉียดใกล้ส่วนสำคัญนั้นให้พ้นไป สติแทบกลับมาครบถ้วนในคราวเดียว
“แม่วาด... แม่วาดมาได้ยังไร...”
เพราะหัวยังหมุน พอถามไปได้แค่นั้น ก็แทบนอนแผ่ลงไปอีก แต่มือหนึ่งของวาดยังรั้ง จนเขาทันยันพื้นไว้ได้ด้วยตัวเอง
“แล้ว... ที่นี้ที่ไหน... แม่วาด... แม่วาดมาได้ยังไร”
ทำไมนางขนาจะดูไม่ออกว่า สายตาที่ส่งมานั่น คนเพิ่งคืนสติ เป็นห่วงใครเหลือเกิน นางนึกกระหยิ่มในใจ อย่างนี้ทุกอย่างก็จะง่ายเข้า
“พี่...พี่จำได้ว่า เพิ่งกลับมาถึง มืดค่ำมากแล้ว จักว่าเรือให้เขาพายไปส่ง ก็มิมีใครยอม ต้องเดินเลาะกำแพงเมืองมาเอง แล้วอยู่ๆ ก็ถูกตีสลบไป”
“เยี่ยงนั้นฤๅจ๊ะ...”
คำถามของวาด เขาฟังคล้ายว่าหล่อน มิค่อยจะเชื่อถือ
“แล้ว... ที่นี้คือที่ไหนกันเล่า”
“ที่นี่เป็นเรือนท้ายเขตบ้านพระยารัตนภักดียังไรจ๊ะ พอดีบ่าวมันเห็นคุณพี่สลบอยู่ก็พามาพักไว้ที่นี้”
“บังเอิญ... บังเอิญจริงๆ เลยนะแม่วาด”
ภูอินยังงุนๆ งงๆ เลยไม่รู้จะตอบอะไรให้เหมาะสมกว่านั้น
วาดเอื้อมกุมมือเขา ส่งสีหน้าและแววตาจริงจังมาให้ การส่ายหน้าช้าๆ นั้น เหมือนว่าเขาเพิ่งพูดอะไรผิด
“มิใช่เยี่ยงนั้นสิจ๊ะ มิใช่ความบังเอิญ อย่างนี้ต้องเรียกว่า พรหมลิขิต...”
แววตาของคนพูด ที่ประสานสายตามานั่น นอกจากไม่เกรงกลัวแล้ว ยังปราศจากวี่แววของความเก้อเขิน ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่านั้นคือแววตาแห่งความลุ่มหลง และหล่อนกำลังทอดสะพาน พร้อมยอมให้ทุกอย่าง หากเขาต้องการ
ภูอินคิดได้ว่า ที่เป็นอยู่นี้ไม่น่าเหมาะสม จึงพยายามลุกขึ้นแล้วจะลากลับ อาการซวนเซเล็กน้อย ทำให้วาดต้องช่วยประคอง แต่แม้ตั้งหลักได้มั่นคงแล้ว หล่อนยังเกาะแขน กุมมือเขาแน่นไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเป็นเช่นนั้น ความรักความปฏิพัทธ์ต่อกัน ก็ทำให้เขาไม่จำเป็น ต้องถอยตัวออกห่างกว่านี้
“ราวกับฉันฝันไป ได้มาอยู่ใกล้ๆ กับแม่วาด ในเวลาเยี่ยงนี้ ในบรรยากาศเยี่ยงนี้”
“คุณพี่เจ้าขา นี้หากเป็นฝันไป ก็เป็นฝันที่วาดมิอยากตื่นอีกเลย...”
แล้วก็เหมือนชายหนุ่มเพิ่งตั้งสติได้จริงๆ หลังพิจารณาดวงหน้าเปล่งปลั่ง ของหญิงสาวตรงหน้าอีกครู่หนึ่ง
“แม่วาด... ก่อนหน้านี้แม่วาดยังป่วยหนักแทบมิมีสติ แทบเอาชีวิตมิรอด แล้วไยเพลานี้... กลับดูเหมือนคนมิเคยประสบโรคภัยอันไรเลย อาการของแม่วาดกระไรหายเร็วขนาดนี้เล่า...”
นี้คือพิรุธ ที่นางขนาเกือบลืมไปแล้ว ดีว่าชายหนุ่มทักขึ้นเสียก่อน นางจึงต้องบีบกำลังปราณให้อ่อนลง ทำทีเป็นคนแทบจะสิ้นไร้เรี่ยวแรง ให้เห็นกันเดี๋ยวนั้น
“ก็... ก็มิทราบเหมือนกันซีจ๊ะ ฤๅบางทีก็ยังมิหายดี บางทีก็... ก็... รู้สึกว่าหายใจมิทั่วท้อง มันติดๆ ขัดๆ อยู่ตรงหน้าอกนี้น่ะจ้ะ”
พร้อมกับคำท้าย นางขนาคว้ามือชายหนุ่ม หวังจะให้เขาทาบมือบนเรือนอก เพื่อตรวจดูอาการ และฉวยโอกาสลูบคลำสัดส่วนสำคัญ ที่เขาอาจเผลอใจกระทำล่วงเกิน
แต่ภูอินยั้งมือเอาไว้ เปลี่ยนมากุมมือหล่อนแทน พร้อมบอกว่า
“เยี่ยงนั้นแสดงว่า อาการยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาอย่างนี้ แม่วาดหายใจลึกๆ แล้วฉันจักตรวจชีพจร ดูทางเดินของเลือดของลม ว่าติดขัดตรงที่ใดอีกบ้าง”
และเพียงแค่นั้น... เพียงแค่ชายหนุ่มตั้งใจเป็นฝ่ายแตะสัมผัส แค่เพียงปลายนิ้วแตะกับข้อมือนวลเนียน นางสางขนาก็กลับรู้สึกคล้ายมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม กลายเป็นสาวแรกรุ่นดรุณี ไม่เคยสัมผัสกับกามกรีฑา หัวจิตหัวใจเต้นระริกระรัว ปากคอแห้งผาก อยากจะดื่มด่ำความชุ่มชื่น จากริมฝีปากของอีกฝ่าย
‘ไม่เคย... มิเคยเลยนะอีขนา เอ็งมิเคยเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมามีภพมีชาติ เอ็งมิเคยรู้สึกกับใครขนาดนี้’
นางสางในร่างของหญิงสาว พร่ำรำพันกับตัวเอง ขณะแววตาเยิ้มฉ่ำก็วิงวอน ได้โปรด... ได้โปรด... ให้กับชายหนุ่มที่ยังก้มหน้าก้มตา ตรวจอาการอย่างตั้งใจ
นึกอยากจะเป็นฝ่ายรุก บุกบั่นกอดก่ายแสดงออกให้สาใจ
แต่อีกใจยังยับยั้ง... หากเป็นเช่นนั้น ร่างนี้จะเหลือคุณค่าอะไรให้เขารัก!
“แม่วาด... ชีพจรแม่วาดสับสนเหลือเกิน... ตอนนี้แม่วาดรู้สึกยังไรบ้างแล้ว”
คำถามของภูอิน กระตุกนางขนา ให้พ้นจากภวังค์อันหลงเพริศ
“ก็... นี่ยังไรล่ะจ๊ะ... วาดถึงรู้สึกจุกๆ แน่นๆ ตรงหน้าอกนี้ยังไรเล่า”
แล้วนางสางก็คว้ามือคนฟังอีกครั้ง หมายจะให้ทาบลงมาให้เต็มทรวง แต่เขาก็ยั้งมือไว้อีก พอไม่ได้ดั่งใจ นางก็จำต้องใช้มารยาต่อไป ทำเป็นวิงเวียน แล้วซวนซบลงกับอกกว้างของชายหนุ่มเสียเอง
“คุณพี่... วาดปวดหัว... ปวดศีรษะเหลือเกินเจ้าค่ะ...”
ไออุ่นที่ได้รับจากอกของชายหนุ่ม ทำให้นางขนายิ่งกระสันหนัก นี้หากตนอยู่ในร่างเดิม ก็ไม่ต้องห่วงใยเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว เสียดาย... เสียดายเหลือเกิน...
“ตรงขมับนี้ละ เหมือนจักปริแตกออกมา คุณพี่... คุณพี่คลำดูสิจ๊ะ”
(มีต่อคคห.ที่1)
นวนิยาย : นางสาป : บทที่ 12-13
นางสาป บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
*******************
สวัสดีครับ
ที่จริงนางสาป ถูกกำหนดให้วางแผงในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาตินี้ แต่...เสียดายที่ไม่ทัน กำหนดการยังคงอยู่ภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคนเขียนก็หวังให้มันคลอดออกมาได้สักที
นางสาป เป็นนิยายประหลาด เป็นเรื่องแรกที่ไม่ได้เขียนถึงภพภูมิของภูตผี หรือโลกของจิตวิญญาณ หรือรักข้ามภพชาติ เหมือนในเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา คนเขียนลองเปลี่ยนไปเล่นกับการปลอมปน การอยู่ร่วมกันทำนอง MIB หรือ ดิ เอ็กซ์-ไฟล์ ไปโน่นเลย สิ่งที่ยากกจึงเป็นเรื่องของการทำให้ผู้อ่านเชื่อตามสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่หลังจากผ่านสายตาใครหลายๆ คนแล้ว ก็คิดว่าคนอ่านน่าจะสนุกได้กับนิยายแปลกๆ เรื่องนี้ครับ
ตราบที่ยังไม่มีกำหนดวางแผงหรือมีภาพปกออกมาให้ชมกันชัดๆ ก็จะทยอยลงไปเรื่อยๆ ครับ รวมทั้งเพื่อนในถนนจะมีช่องทางอ่านออนไลน์จนจบเรื่องได้แน่นอน หากติดเงื่อนไขที่อาจไม่สามารถลงต่อจนจบได้
ขอบคุณมิ่งมิตร มิตรรักนักอ่านทุกท่านสำหรับทุกการติดตามอ่าน ทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะครับ ขอบคุณอ.จี คุณลิ คุณเลดี้ดาวสำหรับความคิดเห็น ขอบคุณอุรุเวลา ถูกใจ, Lady Star 919 ทึ่ง, เพ็ญพิชญา ทึ่ง, turtle_cheesecake ทึ่ง, kdunagin ถูกใจ, ลายลิขิต ทึ่ง, GTW ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, ออมอำพัน ทึ่ง สำหรับไลค์ต่างๆ ขอบคุณทุกท่านจากใจครับผม
*******************************************
นางสาป บทที่ 12
นางขนาฮึดฮัดขัดใจ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วแท้ๆ นางคนนั้นทำไมอยู่ๆ เกิดจะขวัญอ่อน และแม้เสียงร้องนั่นจะกรีดสั้น แต่เพื่อตัดความรำคาญ นางจึงต้องละเหยื่อโอชะตรงหน้าไว้ก่อน
นางสางในร่างของวาด ตวัดสองมือวูบเข้า ผ้านุ่งผ้าห่มของทั้งตนและภูอินก็เข้าที่ แล้วนางก็กลับหลัง ทะยานมาหน้าประตูห้องที่พลอยถูกกักขัง ใจอยากจะเปิดเข้าไปฆ่ามันเสียให้ตาย แต่ยังดีที่อีกใจยังห้ามไว้
‘ถ้ามันตาย เรื่องราวจักเอิกเกริก จักเดือดร้อนวุ่นวายมากไปกว่านี้!’
‘ก็ให้เรื่องมันจบๆ ไปยังไรเล่า! จักได้มิต้องพะวักพะวงอันไรอีก!’
‘มิได้สิ นี้คือโอกาสที่ข้าจักเข้ามาแฝงตัว จักได้ทั้งอิ่มเอมทั้งเปรมปรีดิ์ จักให้เสียเรื่องตั้งตะแรกไปไย...’
นางสางร้ายคิดวุ่นวายอยู่อีกอึดใจ ก็ตัดสินใจใช้ไม้อ่อน เสกกำกับให้ภายในเรือนตึกหลังคาเก๋งจีน กลายเป็นเขาวงกต ให้คนบุกรุกมันเดินวกเวียนไปก่อน
และพอมีเวลาคิดเรียบเรียงอะไรๆ ให้ชัดเจน นางสางขนาก็เริ่มมองเห็นภาพระยะยาว การรอคอยมานับสิบปี ไม่ควรจะจบลงเพียงแค่ นางได้ชายหนุ่มมาเสพเป็นภักษาหาร เพราะอย่างไร ไม่กี่วันข้างหน้า เรื่องราวบานปลายขึ้นมา ก็จะมีแต่ความลำบากลำบน
‘สู้หาใครสักคน มาคอยเปรอปรนไปนานๆ น่าจักดีกว่า’
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบกลับมา ยังร่างที่นอนไม่ได้สติ
หมู่เมฆหนาทึบเคลื่อนพ้นไปแล้ว จันทร์นวลทอแสงแจ่มงามชวนฟุ้งฝัน ทั้งเรือนกายของภูอินนั้น นางสางในร่างของหญิงงาม ได้พินิจพิจารณา สูดดมไปแล้วทุกอณูเนื้อ เมื่อยิ่งอาศัยแสงจันทรา เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาตราตรึง ความคิดที่จะเอาเขาเป็นของเล่นชั่วคราว ก็แทบอันตรธานหาย
ยามหลับใหลเขาดูช่างไร้เดียงสา ที่ติดใจนางคือผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ปราศจากตำหนิ ไม่ว่าจะรอยแผลเป็น หรือร่องรอยการสักเลขลงยันต์ การนึกคุ้นๆ แต่แรก มาชัดเจนเมื่อเขาค่อยได้สติ... แววตาเปี่ยมเสน่ห์อย่างนี้ละ ที่จำได้ไม่มีวันลืม
“ที่แท้คือชายหนุ่มคนนั้น... ที่ศาลาวัดท้ายเมือง... ดี... ดีมาก เยี่ยงนี้ต้องเรียกบุญพาวาสนาส่งซีนะ”
นางแตะเบาๆ ตรงหน้าอกข้างซ้ายของคนยังนอนเหยียดยาว ชะลอการเต้นของหัวใจเขาให้ช้าลง หวังไม่ให้ได้คืนสติบริบูรณ์ รวดเร็วเกินไปนัก
ภูอินหายใจได้เพียงแผ่วผิว ยิ่งเมื่อถูกนางขนาคอยสูดกลืนกระแสชีวิต ก็ทำให้ยิ่งอึดอัด ในที่สุดเขาก็ถึงกับสำลักอากาศ กระอักกระไอออกมาจนฟื้นสติ
ภาพที่เห็นนั้นยังพร่าเลือน ปวดตุบที่ท้ายทอย รีบทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผงกศีรษะขึ้นมาเห็นวาดนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ต้องรีบยันกายให้ลุกขึ้น
วาดรีบเข้ามาประคอง มือหนึ่งช่วยรั้งทางหัวไหล่ ขณะอีกมือป่ายผ่านกลางกายเขาไป คล้ายไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดี
ภูอินสะดุ้ง เผลอผลักมือข้างที่เฉียดใกล้ส่วนสำคัญนั้นให้พ้นไป สติแทบกลับมาครบถ้วนในคราวเดียว
“แม่วาด... แม่วาดมาได้ยังไร...”
เพราะหัวยังหมุน พอถามไปได้แค่นั้น ก็แทบนอนแผ่ลงไปอีก แต่มือหนึ่งของวาดยังรั้ง จนเขาทันยันพื้นไว้ได้ด้วยตัวเอง
“แล้ว... ที่นี้ที่ไหน... แม่วาด... แม่วาดมาได้ยังไร”
ทำไมนางขนาจะดูไม่ออกว่า สายตาที่ส่งมานั่น คนเพิ่งคืนสติ เป็นห่วงใครเหลือเกิน นางนึกกระหยิ่มในใจ อย่างนี้ทุกอย่างก็จะง่ายเข้า
“พี่...พี่จำได้ว่า เพิ่งกลับมาถึง มืดค่ำมากแล้ว จักว่าเรือให้เขาพายไปส่ง ก็มิมีใครยอม ต้องเดินเลาะกำแพงเมืองมาเอง แล้วอยู่ๆ ก็ถูกตีสลบไป”
“เยี่ยงนั้นฤๅจ๊ะ...”
คำถามของวาด เขาฟังคล้ายว่าหล่อน มิค่อยจะเชื่อถือ
“แล้ว... ที่นี้คือที่ไหนกันเล่า”
“ที่นี่เป็นเรือนท้ายเขตบ้านพระยารัตนภักดียังไรจ๊ะ พอดีบ่าวมันเห็นคุณพี่สลบอยู่ก็พามาพักไว้ที่นี้”
“บังเอิญ... บังเอิญจริงๆ เลยนะแม่วาด”
ภูอินยังงุนๆ งงๆ เลยไม่รู้จะตอบอะไรให้เหมาะสมกว่านั้น
วาดเอื้อมกุมมือเขา ส่งสีหน้าและแววตาจริงจังมาให้ การส่ายหน้าช้าๆ นั้น เหมือนว่าเขาเพิ่งพูดอะไรผิด
“มิใช่เยี่ยงนั้นสิจ๊ะ มิใช่ความบังเอิญ อย่างนี้ต้องเรียกว่า พรหมลิขิต...”
แววตาของคนพูด ที่ประสานสายตามานั่น นอกจากไม่เกรงกลัวแล้ว ยังปราศจากวี่แววของความเก้อเขิน ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่านั้นคือแววตาแห่งความลุ่มหลง และหล่อนกำลังทอดสะพาน พร้อมยอมให้ทุกอย่าง หากเขาต้องการ
ภูอินคิดได้ว่า ที่เป็นอยู่นี้ไม่น่าเหมาะสม จึงพยายามลุกขึ้นแล้วจะลากลับ อาการซวนเซเล็กน้อย ทำให้วาดต้องช่วยประคอง แต่แม้ตั้งหลักได้มั่นคงแล้ว หล่อนยังเกาะแขน กุมมือเขาแน่นไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเป็นเช่นนั้น ความรักความปฏิพัทธ์ต่อกัน ก็ทำให้เขาไม่จำเป็น ต้องถอยตัวออกห่างกว่านี้
“ราวกับฉันฝันไป ได้มาอยู่ใกล้ๆ กับแม่วาด ในเวลาเยี่ยงนี้ ในบรรยากาศเยี่ยงนี้”
“คุณพี่เจ้าขา นี้หากเป็นฝันไป ก็เป็นฝันที่วาดมิอยากตื่นอีกเลย...”
แล้วก็เหมือนชายหนุ่มเพิ่งตั้งสติได้จริงๆ หลังพิจารณาดวงหน้าเปล่งปลั่ง ของหญิงสาวตรงหน้าอีกครู่หนึ่ง
“แม่วาด... ก่อนหน้านี้แม่วาดยังป่วยหนักแทบมิมีสติ แทบเอาชีวิตมิรอด แล้วไยเพลานี้... กลับดูเหมือนคนมิเคยประสบโรคภัยอันไรเลย อาการของแม่วาดกระไรหายเร็วขนาดนี้เล่า...”
นี้คือพิรุธ ที่นางขนาเกือบลืมไปแล้ว ดีว่าชายหนุ่มทักขึ้นเสียก่อน นางจึงต้องบีบกำลังปราณให้อ่อนลง ทำทีเป็นคนแทบจะสิ้นไร้เรี่ยวแรง ให้เห็นกันเดี๋ยวนั้น
“ก็... ก็มิทราบเหมือนกันซีจ๊ะ ฤๅบางทีก็ยังมิหายดี บางทีก็... ก็... รู้สึกว่าหายใจมิทั่วท้อง มันติดๆ ขัดๆ อยู่ตรงหน้าอกนี้น่ะจ้ะ”
พร้อมกับคำท้าย นางขนาคว้ามือชายหนุ่ม หวังจะให้เขาทาบมือบนเรือนอก เพื่อตรวจดูอาการ และฉวยโอกาสลูบคลำสัดส่วนสำคัญ ที่เขาอาจเผลอใจกระทำล่วงเกิน
แต่ภูอินยั้งมือเอาไว้ เปลี่ยนมากุมมือหล่อนแทน พร้อมบอกว่า
“เยี่ยงนั้นแสดงว่า อาการยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาอย่างนี้ แม่วาดหายใจลึกๆ แล้วฉันจักตรวจชีพจร ดูทางเดินของเลือดของลม ว่าติดขัดตรงที่ใดอีกบ้าง”
และเพียงแค่นั้น... เพียงแค่ชายหนุ่มตั้งใจเป็นฝ่ายแตะสัมผัส แค่เพียงปลายนิ้วแตะกับข้อมือนวลเนียน นางสางขนาก็กลับรู้สึกคล้ายมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม กลายเป็นสาวแรกรุ่นดรุณี ไม่เคยสัมผัสกับกามกรีฑา หัวจิตหัวใจเต้นระริกระรัว ปากคอแห้งผาก อยากจะดื่มด่ำความชุ่มชื่น จากริมฝีปากของอีกฝ่าย
‘ไม่เคย... มิเคยเลยนะอีขนา เอ็งมิเคยเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมามีภพมีชาติ เอ็งมิเคยรู้สึกกับใครขนาดนี้’
นางสางในร่างของหญิงสาว พร่ำรำพันกับตัวเอง ขณะแววตาเยิ้มฉ่ำก็วิงวอน ได้โปรด... ได้โปรด... ให้กับชายหนุ่มที่ยังก้มหน้าก้มตา ตรวจอาการอย่างตั้งใจ
นึกอยากจะเป็นฝ่ายรุก บุกบั่นกอดก่ายแสดงออกให้สาใจ
แต่อีกใจยังยับยั้ง... หากเป็นเช่นนั้น ร่างนี้จะเหลือคุณค่าอะไรให้เขารัก!
“แม่วาด... ชีพจรแม่วาดสับสนเหลือเกิน... ตอนนี้แม่วาดรู้สึกยังไรบ้างแล้ว”
คำถามของภูอิน กระตุกนางขนา ให้พ้นจากภวังค์อันหลงเพริศ
“ก็... นี่ยังไรล่ะจ๊ะ... วาดถึงรู้สึกจุกๆ แน่นๆ ตรงหน้าอกนี้ยังไรเล่า”
แล้วนางสางก็คว้ามือคนฟังอีกครั้ง หมายจะให้ทาบลงมาให้เต็มทรวง แต่เขาก็ยั้งมือไว้อีก พอไม่ได้ดั่งใจ นางก็จำต้องใช้มารยาต่อไป ทำเป็นวิงเวียน แล้วซวนซบลงกับอกกว้างของชายหนุ่มเสียเอง
“คุณพี่... วาดปวดหัว... ปวดศีรษะเหลือเกินเจ้าค่ะ...”
ไออุ่นที่ได้รับจากอกของชายหนุ่ม ทำให้นางขนายิ่งกระสันหนัก นี้หากตนอยู่ในร่างเดิม ก็ไม่ต้องห่วงใยเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว เสียดาย... เสียดายเหลือเกิน...
“ตรงขมับนี้ละ เหมือนจักปริแตกออกมา คุณพี่... คุณพี่คลำดูสิจ๊ะ”
(มีต่อคคห.ที่1)