สวัสดีครับ
เดินทางมาไกลพอสมควรแล้วครับกับนางสาป ผาดโผนหวือหวาไปตามประสานิยายแฟนตาซีนะครับ ตอนเขียนเขียนเอาสนุก ตอนปรับปรุงเลยต้องพลิกไปสารพัดตำรา กว่าจะมาเป็นร่างสุดท้ายนี้ก็หนักหนาเอาการ แต่ก็พอใจสำหรับคนเขียนนะครับ
ขอบคุณทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นเช่นเคยครับผม
ผมเอง เพลงเกือบพัน
***********************
บทที่ 14
เขาวงพระจันทร์ปรากฏในนิทานปรัมปรา เป็นทำนองว่า มีนางยักษาอยู่อาศัย แม้นางจะมีคุณธรรมล้ำเลิศ ยอมทนลำบากกายเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นบิดา แต่อย่างไรยักษ์ก็คือยักษ์ ทำให้ทั้งเขตภูเขาถิ่นนี้ รกร้างและอุดมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หนทางที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดนั้น แทบอย่าหมาย แต่ภูอินก็ไม่ละความพยายาม
เมื่อก้าวย่างยากเข้า สัมภาระอำนวยความสะดวกที่มีมา บางอย่างก็จำเป็นต้องปลดทิ้ง ขวากหนามสารพัดรวมทั้งสัตว์พิษนานา เหล่านั้นล้วนไม่ทำให้เขาครั่นคร้าม
เมฆทะมึนที่ตั้งเค้าแล้วผ่านเลยไปหลายวัน บัดนี้คล้ายจงใจแกล้ง กลั่นตัวเป็นสายฝนกระหน่ำซัด เสื้อผ้าที่สวมใส่มาอย่างรัดกุม ต้องเปียกปอน จนการจะย่างจะก้าวยิ่งเพิ่มความยากเย็น
พอฝนซา ตัวหนอนตัวทากก็เข้ารุม มีเลือดของชายหนุ่มเป็นที่หมาย
อยู่ใต้ร่มไม้ใบหนาอย่างนี้ เขาแทบจำแนกทิศทางไม่ถูก ได้ยินเสียงครืนๆ ดังมาเหมือนป่าลั่น ก็ตื่นตระหนก น้ำป่ากำลังทะลักลงมา จากยอดภูเขาแน่แล้ว...
อีกด้านหนึ่ง นับแต่นางขนาในร่างของวาด รู้ว่าภูอินต้องพิสูจน์รักแท้ ด้วยการไปตามหาเรื่องราวในตำนาน ที่ยากจะกลายเป็นจริง นางก็ยิ่งลุ่มหลงพะวงรัก คิดหมายว่าเพราะจริตตำรับรักของนางนั่นเอง ที่ทำให้เขายอมทุ่มเทถึงเพียงนั้น
นางขนากลับเข้ามาสิงสู่ อยู่ในร่างของวาด ตั้งแต่คืนที่นางพยัคฆอัปสรมาช่วยนั่นแล้ว และตั้งใจแน่วแน่ว่า จะทุ่มเทเลือดเนื้อใจกาย ให้กับภูอินเพียงคนเดียว โดยทำเป็นลืมไปว่า เพราะร่างที่ตนอาศัยอยู่นี้ต่างหาก ที่ทำให้ชายหนุ่ม ยังไม่ลดละความพยายาม
ข่ายญาณของนางขนา เพ่งเล็งอยู่ในทุกอากัปกิริยาของเขาตั้งแต่แรก อุปสรรคขวากหนามใดๆ นางล้วนรู้เห็น และพลอยเจ็บปวดไปด้วย เพราะทั้งรักทั้งสงสาร
คราวสายฝนเทลงมาทางโน้น นางก็รู้สึกเหมือนจะหนาวสั่นไปด้วย ยามที่ตัวทากไต่เกาะ ดูดกินโลหิตของเขา นางจะนึกอิจฉาทากตัวเท่าเข็มเหล่านั้น สักนิดก็ไม่มี
แต่ตอนน้ำป่าถล่มทะลักลงมานั่น... เป็นตอนที่เห็นเขาพลาดพลั้ง เกาะกิ่งไม้ผุ แล้วมันทานแรงกระแสน้ำไม่ได้ พอเขาจมหายไปกับสายธาราถาโถม นางสางขนาก็ใจแทบขาด
หากเขายังดวงแข็งมีชีวิต ก็ต้องบาดเจ็บสะบักสะบอม...
นางขนาคิดได้ถึงตรงนี้ ก็รีบใช้พลังอานุภาพทั้งหมดของตน ลิ่วทะยานไปยังตำแหน่งที่ภูอินประสบเภทภัย
‘เขาห่วงข้า เขารักข้าถึงเช่นนี้ มิคิดคำนึง ถึงความเป็นตายร้ายดีของตัวเอง ช่างซาบซึ้งใจข้านัก...’
ใจนางยังนึกวนเวียนอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลาที่ตามหา ร่างของชายหนุ่ม ที่น่าจะหมดสติไปแล้ว
‘คุณพี่ทำเพื่อน้องขนาดนี้ มิเกรงกลัวอันตราย มิกลัวว่าจักต้องตาย แล้วน้องจักเฉยอยู่ได้ยังไรกัน’
ในที่สุดนางขนาก็ค้นพบ ร่างของภูอินค้างแขวนอยู่กับง่ามกิ่งไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือ สำรวจทุกสัดส่วนดู ไม่มีอะไรบุบสลายฤๅเป็นอันตราย นึกอยู่ว่าเพราะกุศลผลบุญแท้ๆ จึงช่วยให้เขา มีแค่เพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย
นางสางร้ายในร่างคนรักของภูอิน นำร่างของชายหนุ่ม เสาะหาที่พำนึกลงมาจนถึงเชิงเขา พบเรือนร้างหลังหนึ่งจึงรีบเข้าไป วางร่างที่หมดสติแน่นิ่งนั้นลงอย่างบรรจง แล้วเริ่มปฐมพยาบาล...
ทางด้านของพลอย หลังศิษย์เอกหลวงเวทเภสัช จากไปโดยไม่หันกลับหลัง หล่อนก็กลับมาที่เรือน คว้าดาบน้ำพี้ได้ก็มุ่งหน้ามาที่ท้ายสวน หวังให้การฝึกปรือเพลงดาบ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์โมโหโทโส ให้บรรเทาลง
แต่ไม่ว่าจะรวบรวมสมาธิเท่าใด จิตใจก็มีแต่จะวนเวียนอยู่กับเข
บางทีก็คิดน้อยใจ ทำไมเขาไม่ไยดีกับหล่อนบ้าง …
บางทีก็โศกเศร้าคิดว่า ตัวเองช่างไม่มีวาสนา …
บางทีก็เคืองแค้น ทำไมเขาไม่ยอมชำเลืองแล...
แต่ส่วนใหญ่แล้ว หล่อนจะโทษตัวเองว่า เหตุไรจึงไม่กล้าเปิดเผยความในใจ...
การฝึกฝนที่เป็นไปอย่างไม่ค่อยถูกท่าถูกทาง ไม่เฉียบคมฉับไวอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้นางวิฬาร์ที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ต้องเข้ามาถาม
“คิดถึงหมอภูอยู่ฤๅไรเจ้าคะ...”
มีหรือหล่อนจะกล้าตอบตรงๆ จึงบ่ายเบี่ยงไปว่า
“เป็นห่วงคุณพ่ออยู่ดอก... ป่านนี้มิรู้ไปถึงที่ไหนกันแล้ว”
“มีพ่อแสนไปด้วย นมว่ามิน่าเป็นห่วงนะคะ แค่อยู่ทางนี้ เราช่วยกันเฝ้าระวังรักษาเรือนไว้ให้จงดี...”
“ตะอิฉันรู้สึกแปลกๆ สังหรณ์ใจยังไรก็บอกมิถูก...”
และการพูดจาพาดพิงไปถึงบุรุษทั้งสองนั้น หญิงสาวก็คล้ายมีตาเห็น และรู้ล่วงหน้าได้ว่า พวกเขากำลังประสบปัญหาหนักหน่วงอยู่จริงๆ...
พระนครารักษ์กับจมื่นแสน เดินทางมาตามหานายบัญชีจนถึงย่านอัมพวา หลังตกลงกันได้ชัดเจน ว่านายแคล้วจะยอมเป็นพยาน พร้อมทั้งนำหลักฐานเข้าร่วมมือถวายฎีกา ทั้งสามคนก็มาล่ำลากันที่ท่าน้ำ ผู้มากวัยจะให้แสนพานายแคล้วกลับเข้าพระนครไปก่อน ส่วนตนจะไปจัดการหลบซ่อนลูกเมีย ของพยานคนสำคัญให้เรียบร้อย
“เอ็งดูแลขุนโกษาให้จงดี...”
กล่าวกับแสนเรียบร้อย พระนครารักษ์ก็หันไปขอบใจนายแคล้วอีกครั้ง
“คราวนี้บ้านเมืองจักได้สิ้นคนเลวไปอีกคน ฉันต้องขอบใจท่านขุน ที่ร่วมด้วยช่วยกัน”
“ฉันก็กตัญญูรู้คุณแผ่นดิน มิอยากส่งเสริม ให้อ้ายพวกปล้นชาติปล้นแผ่นดินมันลอยนวล นี้ห่วงก็ตะลูกเมีย กลัวจักเป็นอันตราย”
“เรื่องนั้นมิต้องเป็นห่วง ฉันรับรองว่า จักจัดการให้เรียบร้อย นี้พ่อเจ้าแสนมันรักษาการณ์อยู่แถวแขวงเมืองสุพรรณบุรี ฉันจักจัดแจงให้ได้ไปอยู่ที่นั้น จักพาไปส่งด้วยตัวฉันเองเลยเทียว”
ทั้งนี้เพราะเป็นงานลับ จะต้องจัดการให้พ้นหูพ้นตา จากบรรดาสายสืบแมวเซาของเสด็จในกรมและพระยารัตนภักดี บริเวณที่ใช้เป็นท่าน้ำขึ้นลงตรงนี้ จึงเป็นสถานที่ของวัดร้างปลอดผู้คน แต่ยังค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะพ้นโค้งน้ำคลองโคนไปแล้ว ผ่านคลองลัดก็จะออกลำน้ำแม่กลองได้โดยสะดวก
ทว่า!
ระหว่างนายแคล้วกับแสนจะลงเรือ เสียงคึกๆ ของฝีเท้ามากหลายก็กรูกันเข้ามา
ถัดไปแค่อึดใจ ทั้งสามก็ผจญกับห่าศร ที่ถูกยิงมาจากแนวไม้ชายฝั่ง
พระนครารักษ์กับแสนต้องรีบป้องกัน ชักดาบขึ้นปัดป่าย เบี่ยงเบนทั้งตัวเองและพยานสำคัญให้พ้นคมศร
สองกรมนครบาล ผลักดันให้นายแคล้วลงเรือไปก่อน ตนเองยังปัดป้องพลาง ถอยพลาง แต่ยากจะจู่โจมกลับ เพราะศัตรูใช้อาวุธจากระยะไกล
ห่าศรนั่นยิ่งมายิ่งหนาแน่น ทั้งแสนและพระนครารักษ์ เกือบพลาดพลั้งหลายครั้ง ดีว่าดวงยังมี จึงรอดพ้นมาได้ แต่ก็ต้องล่าถอย
ในที่สุด เมื่อผู้ถูกจู่โจมสบตากัน เห็นว่าสถานการณ์สาหัสนัก จำเป็นต้องเอาตัวรอด ทางหนึ่งยังป้องกันตัว อีกทางค่อยลงมาสมทบกับนายแคล้ว
พอได้ยินเสียงนายบัญชีส่งเสียงเจ็บปวด คุณพระผู้มากวัยก็รู้ว่าเหตุการณ์ยิ่งเลวร้าย
แสนก็ได้ยิน รีบมุดลงใต้ประทุนเรือ เห็นนายแคล้วนอนคว่ำหน้า กลางหลังมีมีดเล่มหนึ่งปักลึก คนทำร้ายโดดน้ำตูมหนีไปทันที
ที่แท้ทั้งหมดถูกวางแผนไว้แนบเนียน คนของพระยารัตนภักดี ติดตามพระนครารักษ์และแสนแบบก้าวต่อก้าว ได้จังหวะสถานที่ปลอดร้างผู้คน จัดเตรียมเรือและฝีพายไว้ให้เจ้ากรมนครบาลว่าจ้าง แล้วเรื่องราวก็ลุล่วง พยานปากสำคัญสิ้นใจไปเรียบร้อยแล้ว
พระนครารักษ์ยังไม่รู้ว่า เป็นฝีมือของใครแน่ หาทางบุกบั่นเข้าต่อสู้ พยายามจับเป็นใครสักคนมาคาดคั้น ทว่าหากผู้ใดจวนเจียนต้องถูกจับ พวกมันล้วนยอมฆ่าตัวตาย
ศัตรูทุกคนมีผ้าคาดหน้า สวมชุดดำอำพราง อาวุธต่างๆ เป็นของทั่วไป ยากนักจะจับพิรุธจากสิ่งรอบตัว อีกทั้งยิ่งนานพวกมันยิ่งมาสมทบกันมากมาย คุณพระผู้มากวัยและจมื่นกรมนครบาล จำเป็นต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน
แสนตัดเชือกหัวเรือ บิดาพลอยถีบหัวเสาปลายท่า ใช้พละกำลังทั้งหมดผลักดันเรือลำเพรียว ให้พ้นจากวิถีลูกศรและการโจมตีทั้งหมดมาได้ แบบแทบเอาตัวไม่รอด…
ที่เชิงเขาวงพระจันทร์ ในเรือนร้างไม่คับแคบเกินไปนักสำหรับสองคน นางขนาแสนบรมสุข เพราะจัดการเป่ามนตรามหาเสน่ห์ ให้ภูอินฟื้นตื่นขึ้นมา พร้อมความรักความหลง ทางหนึ่งหัวใจของชายหนุ่ม ถวิลหาแต่วาดอยู่แล้ว ดวงจิตจึงถูกชักจูงได้โดยง่าย
ส่วนในพระนคร ที่เรือนพระนครารักษ์ ดึกสงัดจนใกล้รุ่ง ด้วยความห่วงกังวลผู้เป็นบิดา ผสานกับการคะนึงหาชายหนุ่มที่ดั้นด้นไปเพื่อความรัก ทั้งหมดจึงทำให้พลอยเกิดความฝันอันเลวร้าย
ในฝันนั้นตอนแรกน่าอิจฉา สองหนุ่มสาวคลอเคลียเสน่หา โอบล้อโอ้โลม แลกจูบแลกรักกันดื่มด่ำ ดวงตาหวานฉ่ำประสานกับประกายตาหวานซึ้ง รอยยิ้มละมุนจุมพิตแก้มนวล ปลายมือได้สัมผัสกาย ต่างฝ่ายต่างราวตกอยู่ในห้วงสุขาวดี...
ถัดมา... นางขนาในร่างของวาดยกสุราให้เขาดื่ม ปากพร่ำกระซิบริมหู แม้ถ้อยคำผิดสังเกต แต่ภูอินยังยิ้มรับ
“ดื่มนะคะคุณพี่... สุราถ้วยนี้จักเพิ่มกำลังวังชา สายเลือดสูบฉีด พละกำลังจักยิ่งกว่าพญาเสือโคร่ง... จิบแรกเพิ่มเลือด จิบสองเลือดจักยิ่งหวาน... จิบสาม... ยิ่งหวานกว่า...”
“อย่าดื่ม! อย่าดื่มนะพี่ภู!!!”
พลอยผวาห้าม อยากปัดมือที่ยื่นส่งให้กระเด็น แต่ในฝันนั้นยากบังคับ ได้แต่ส่งเสียงตะโกนเรียก
“พี่ภู... พี่ภูอิน... อย่าดื่ม!!! อย่าดื่มนะเจ้าคะ!!!”
คราวนี้ได้ผล คล้ายชายในฝันของหล่อนจะได้ยิน เขาเหมือนได้สติ ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อจ้องหน้าวาดตรงๆ อีกครั้ง
“เอ็ง... เอ็งมิใช่แม่วาด!...”
ชายหนุ่มตื่นตะลึง ผลักไสเป็นพัลวัน พยายามตะกายถอยหนี แต่อีกฝ่ายยึดข้อเท้าไว้มั่น เขาทั้งเตะทั้งถีบ แต่มือนั่นแข็งแรงกว่าคีมเหล็ก รู้สึกราวติดตรวนอยู่ก็มิปาน
“อีปิศาจ... อีมารร้าย... อย่ามาจองเวรจองกรรมกับกู! ไป! ไปให้พ้น!”
แล้วพลอยก็ได้เห็น ร่างของวาดแปรเปลี่ยน กลายกลับเป็นนางสางรูปทรงอรชร ดวงหน้าแม้สวยงาม ทว่าดวงตาวาววามกลับแดงก่ำ ริมฝีปากมีเขี้ยวแหลมยาว พอนางคว้าได้คออีกฝ่าย มือขาวนวลก็งอกขน เล็บยาวยืดคมกริบ
รูปร่างของนางปิศาจทำให้ภูอินยิ่งหวาดผวา เขาถอยหนีไปจนมุม อีกพริบตาเดียว ต้องตกอยู่ในคมเขี้ยวของนางปิศาจนั่นแล้ว
ไก่แก้วกรีดเสียง คล้ายปู่จ้าวสมิงพรายเข้าขัดจังวะ พลอยอึดอัดขัดใจ ดิ้นรนเพราะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ในที่สุดก็สะดุ้งตื่น!
“พี่ภู... แย่แล้ว...!” ตอนหล่อนชำเลืองมองหน้าต่าง ทั้งร่างชื้นเหงื่อ ลำคอแห้งผาก น้ำตายังคลอตา
แสงเงินแสงทองเรื่อจับขอบฟ้า นกกาเริ่มส่งเสียงระงมร้อง ชักชวนกันออกหาอาหาร อีกอึดใจเสียงไก่ก็ขันกระชั้น... นั่นเอง คือสิ่งทำให้หล่อนผวาตื่น
พลอยเร่งทบทวนความฝัน ยิ่งตอนใกล้รุ่ง เขาว่าจะเป็นจริง ยิ่งนึกก็ยิ่งเป็นห่วง จัดแจงชำระล้างหน้าตาเนื้อตัว สวมชุดทะมัดทะแมง คว้าดาบน้ำพี้ ลอบลงเรือนไปเพียงลำพัง
หล่อนไม่เรียกใช้พวกบ่าว รุดมาถึงท่าน้ำ ก็ว่าจ้างเรือเร็ว ล่องขึ้นเหนือทันที
(มีต่อคคห.ที่1)
นวนิยาย : นางสาป : บทที่ 14-15
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
**********************
สวัสดีครับ
เดินทางมาไกลพอสมควรแล้วครับกับนางสาป ผาดโผนหวือหวาไปตามประสานิยายแฟนตาซีนะครับ ตอนเขียนเขียนเอาสนุก ตอนปรับปรุงเลยต้องพลิกไปสารพัดตำรา กว่าจะมาเป็นร่างสุดท้ายนี้ก็หนักหนาเอาการ แต่ก็พอใจสำหรับคนเขียนนะครับ
ขอบคุณทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นเช่นเคยครับผม
บทที่ 14
เขาวงพระจันทร์ปรากฏในนิทานปรัมปรา เป็นทำนองว่า มีนางยักษาอยู่อาศัย แม้นางจะมีคุณธรรมล้ำเลิศ ยอมทนลำบากกายเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นบิดา แต่อย่างไรยักษ์ก็คือยักษ์ ทำให้ทั้งเขตภูเขาถิ่นนี้ รกร้างและอุดมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หนทางที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดนั้น แทบอย่าหมาย แต่ภูอินก็ไม่ละความพยายาม
เมื่อก้าวย่างยากเข้า สัมภาระอำนวยความสะดวกที่มีมา บางอย่างก็จำเป็นต้องปลดทิ้ง ขวากหนามสารพัดรวมทั้งสัตว์พิษนานา เหล่านั้นล้วนไม่ทำให้เขาครั่นคร้าม
เมฆทะมึนที่ตั้งเค้าแล้วผ่านเลยไปหลายวัน บัดนี้คล้ายจงใจแกล้ง กลั่นตัวเป็นสายฝนกระหน่ำซัด เสื้อผ้าที่สวมใส่มาอย่างรัดกุม ต้องเปียกปอน จนการจะย่างจะก้าวยิ่งเพิ่มความยากเย็น
พอฝนซา ตัวหนอนตัวทากก็เข้ารุม มีเลือดของชายหนุ่มเป็นที่หมาย
อยู่ใต้ร่มไม้ใบหนาอย่างนี้ เขาแทบจำแนกทิศทางไม่ถูก ได้ยินเสียงครืนๆ ดังมาเหมือนป่าลั่น ก็ตื่นตระหนก น้ำป่ากำลังทะลักลงมา จากยอดภูเขาแน่แล้ว...
อีกด้านหนึ่ง นับแต่นางขนาในร่างของวาด รู้ว่าภูอินต้องพิสูจน์รักแท้ ด้วยการไปตามหาเรื่องราวในตำนาน ที่ยากจะกลายเป็นจริง นางก็ยิ่งลุ่มหลงพะวงรัก คิดหมายว่าเพราะจริตตำรับรักของนางนั่นเอง ที่ทำให้เขายอมทุ่มเทถึงเพียงนั้น
นางขนากลับเข้ามาสิงสู่ อยู่ในร่างของวาด ตั้งแต่คืนที่นางพยัคฆอัปสรมาช่วยนั่นแล้ว และตั้งใจแน่วแน่ว่า จะทุ่มเทเลือดเนื้อใจกาย ให้กับภูอินเพียงคนเดียว โดยทำเป็นลืมไปว่า เพราะร่างที่ตนอาศัยอยู่นี้ต่างหาก ที่ทำให้ชายหนุ่ม ยังไม่ลดละความพยายาม
ข่ายญาณของนางขนา เพ่งเล็งอยู่ในทุกอากัปกิริยาของเขาตั้งแต่แรก อุปสรรคขวากหนามใดๆ นางล้วนรู้เห็น และพลอยเจ็บปวดไปด้วย เพราะทั้งรักทั้งสงสาร
คราวสายฝนเทลงมาทางโน้น นางก็รู้สึกเหมือนจะหนาวสั่นไปด้วย ยามที่ตัวทากไต่เกาะ ดูดกินโลหิตของเขา นางจะนึกอิจฉาทากตัวเท่าเข็มเหล่านั้น สักนิดก็ไม่มี
แต่ตอนน้ำป่าถล่มทะลักลงมานั่น... เป็นตอนที่เห็นเขาพลาดพลั้ง เกาะกิ่งไม้ผุ แล้วมันทานแรงกระแสน้ำไม่ได้ พอเขาจมหายไปกับสายธาราถาโถม นางสางขนาก็ใจแทบขาด
หากเขายังดวงแข็งมีชีวิต ก็ต้องบาดเจ็บสะบักสะบอม...
นางขนาคิดได้ถึงตรงนี้ ก็รีบใช้พลังอานุภาพทั้งหมดของตน ลิ่วทะยานไปยังตำแหน่งที่ภูอินประสบเภทภัย
‘เขาห่วงข้า เขารักข้าถึงเช่นนี้ มิคิดคำนึง ถึงความเป็นตายร้ายดีของตัวเอง ช่างซาบซึ้งใจข้านัก...’
ใจนางยังนึกวนเวียนอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลาที่ตามหา ร่างของชายหนุ่ม ที่น่าจะหมดสติไปแล้ว
‘คุณพี่ทำเพื่อน้องขนาดนี้ มิเกรงกลัวอันตราย มิกลัวว่าจักต้องตาย แล้วน้องจักเฉยอยู่ได้ยังไรกัน’
ในที่สุดนางขนาก็ค้นพบ ร่างของภูอินค้างแขวนอยู่กับง่ามกิ่งไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือ สำรวจทุกสัดส่วนดู ไม่มีอะไรบุบสลายฤๅเป็นอันตราย นึกอยู่ว่าเพราะกุศลผลบุญแท้ๆ จึงช่วยให้เขา มีแค่เพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย
นางสางร้ายในร่างคนรักของภูอิน นำร่างของชายหนุ่ม เสาะหาที่พำนึกลงมาจนถึงเชิงเขา พบเรือนร้างหลังหนึ่งจึงรีบเข้าไป วางร่างที่หมดสติแน่นิ่งนั้นลงอย่างบรรจง แล้วเริ่มปฐมพยาบาล...
ทางด้านของพลอย หลังศิษย์เอกหลวงเวทเภสัช จากไปโดยไม่หันกลับหลัง หล่อนก็กลับมาที่เรือน คว้าดาบน้ำพี้ได้ก็มุ่งหน้ามาที่ท้ายสวน หวังให้การฝึกปรือเพลงดาบ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์โมโหโทโส ให้บรรเทาลง
แต่ไม่ว่าจะรวบรวมสมาธิเท่าใด จิตใจก็มีแต่จะวนเวียนอยู่กับเข
บางทีก็คิดน้อยใจ ทำไมเขาไม่ไยดีกับหล่อนบ้าง …
บางทีก็โศกเศร้าคิดว่า ตัวเองช่างไม่มีวาสนา …
บางทีก็เคืองแค้น ทำไมเขาไม่ยอมชำเลืองแล...
แต่ส่วนใหญ่แล้ว หล่อนจะโทษตัวเองว่า เหตุไรจึงไม่กล้าเปิดเผยความในใจ...
การฝึกฝนที่เป็นไปอย่างไม่ค่อยถูกท่าถูกทาง ไม่เฉียบคมฉับไวอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้นางวิฬาร์ที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ต้องเข้ามาถาม
“คิดถึงหมอภูอยู่ฤๅไรเจ้าคะ...”
มีหรือหล่อนจะกล้าตอบตรงๆ จึงบ่ายเบี่ยงไปว่า
“เป็นห่วงคุณพ่ออยู่ดอก... ป่านนี้มิรู้ไปถึงที่ไหนกันแล้ว”
“มีพ่อแสนไปด้วย นมว่ามิน่าเป็นห่วงนะคะ แค่อยู่ทางนี้ เราช่วยกันเฝ้าระวังรักษาเรือนไว้ให้จงดี...”
“ตะอิฉันรู้สึกแปลกๆ สังหรณ์ใจยังไรก็บอกมิถูก...”
และการพูดจาพาดพิงไปถึงบุรุษทั้งสองนั้น หญิงสาวก็คล้ายมีตาเห็น และรู้ล่วงหน้าได้ว่า พวกเขากำลังประสบปัญหาหนักหน่วงอยู่จริงๆ...
พระนครารักษ์กับจมื่นแสน เดินทางมาตามหานายบัญชีจนถึงย่านอัมพวา หลังตกลงกันได้ชัดเจน ว่านายแคล้วจะยอมเป็นพยาน พร้อมทั้งนำหลักฐานเข้าร่วมมือถวายฎีกา ทั้งสามคนก็มาล่ำลากันที่ท่าน้ำ ผู้มากวัยจะให้แสนพานายแคล้วกลับเข้าพระนครไปก่อน ส่วนตนจะไปจัดการหลบซ่อนลูกเมีย ของพยานคนสำคัญให้เรียบร้อย
“เอ็งดูแลขุนโกษาให้จงดี...”
กล่าวกับแสนเรียบร้อย พระนครารักษ์ก็หันไปขอบใจนายแคล้วอีกครั้ง
“คราวนี้บ้านเมืองจักได้สิ้นคนเลวไปอีกคน ฉันต้องขอบใจท่านขุน ที่ร่วมด้วยช่วยกัน”
“ฉันก็กตัญญูรู้คุณแผ่นดิน มิอยากส่งเสริม ให้อ้ายพวกปล้นชาติปล้นแผ่นดินมันลอยนวล นี้ห่วงก็ตะลูกเมีย กลัวจักเป็นอันตราย”
“เรื่องนั้นมิต้องเป็นห่วง ฉันรับรองว่า จักจัดการให้เรียบร้อย นี้พ่อเจ้าแสนมันรักษาการณ์อยู่แถวแขวงเมืองสุพรรณบุรี ฉันจักจัดแจงให้ได้ไปอยู่ที่นั้น จักพาไปส่งด้วยตัวฉันเองเลยเทียว”
ทั้งนี้เพราะเป็นงานลับ จะต้องจัดการให้พ้นหูพ้นตา จากบรรดาสายสืบแมวเซาของเสด็จในกรมและพระยารัตนภักดี บริเวณที่ใช้เป็นท่าน้ำขึ้นลงตรงนี้ จึงเป็นสถานที่ของวัดร้างปลอดผู้คน แต่ยังค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะพ้นโค้งน้ำคลองโคนไปแล้ว ผ่านคลองลัดก็จะออกลำน้ำแม่กลองได้โดยสะดวก
ทว่า!
ระหว่างนายแคล้วกับแสนจะลงเรือ เสียงคึกๆ ของฝีเท้ามากหลายก็กรูกันเข้ามา
ถัดไปแค่อึดใจ ทั้งสามก็ผจญกับห่าศร ที่ถูกยิงมาจากแนวไม้ชายฝั่ง
พระนครารักษ์กับแสนต้องรีบป้องกัน ชักดาบขึ้นปัดป่าย เบี่ยงเบนทั้งตัวเองและพยานสำคัญให้พ้นคมศร
สองกรมนครบาล ผลักดันให้นายแคล้วลงเรือไปก่อน ตนเองยังปัดป้องพลาง ถอยพลาง แต่ยากจะจู่โจมกลับ เพราะศัตรูใช้อาวุธจากระยะไกล
ห่าศรนั่นยิ่งมายิ่งหนาแน่น ทั้งแสนและพระนครารักษ์ เกือบพลาดพลั้งหลายครั้ง ดีว่าดวงยังมี จึงรอดพ้นมาได้ แต่ก็ต้องล่าถอย
ในที่สุด เมื่อผู้ถูกจู่โจมสบตากัน เห็นว่าสถานการณ์สาหัสนัก จำเป็นต้องเอาตัวรอด ทางหนึ่งยังป้องกันตัว อีกทางค่อยลงมาสมทบกับนายแคล้ว
พอได้ยินเสียงนายบัญชีส่งเสียงเจ็บปวด คุณพระผู้มากวัยก็รู้ว่าเหตุการณ์ยิ่งเลวร้าย
แสนก็ได้ยิน รีบมุดลงใต้ประทุนเรือ เห็นนายแคล้วนอนคว่ำหน้า กลางหลังมีมีดเล่มหนึ่งปักลึก คนทำร้ายโดดน้ำตูมหนีไปทันที
ที่แท้ทั้งหมดถูกวางแผนไว้แนบเนียน คนของพระยารัตนภักดี ติดตามพระนครารักษ์และแสนแบบก้าวต่อก้าว ได้จังหวะสถานที่ปลอดร้างผู้คน จัดเตรียมเรือและฝีพายไว้ให้เจ้ากรมนครบาลว่าจ้าง แล้วเรื่องราวก็ลุล่วง พยานปากสำคัญสิ้นใจไปเรียบร้อยแล้ว
พระนครารักษ์ยังไม่รู้ว่า เป็นฝีมือของใครแน่ หาทางบุกบั่นเข้าต่อสู้ พยายามจับเป็นใครสักคนมาคาดคั้น ทว่าหากผู้ใดจวนเจียนต้องถูกจับ พวกมันล้วนยอมฆ่าตัวตาย
ศัตรูทุกคนมีผ้าคาดหน้า สวมชุดดำอำพราง อาวุธต่างๆ เป็นของทั่วไป ยากนักจะจับพิรุธจากสิ่งรอบตัว อีกทั้งยิ่งนานพวกมันยิ่งมาสมทบกันมากมาย คุณพระผู้มากวัยและจมื่นกรมนครบาล จำเป็นต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน
แสนตัดเชือกหัวเรือ บิดาพลอยถีบหัวเสาปลายท่า ใช้พละกำลังทั้งหมดผลักดันเรือลำเพรียว ให้พ้นจากวิถีลูกศรและการโจมตีทั้งหมดมาได้ แบบแทบเอาตัวไม่รอด…
ที่เชิงเขาวงพระจันทร์ ในเรือนร้างไม่คับแคบเกินไปนักสำหรับสองคน นางขนาแสนบรมสุข เพราะจัดการเป่ามนตรามหาเสน่ห์ ให้ภูอินฟื้นตื่นขึ้นมา พร้อมความรักความหลง ทางหนึ่งหัวใจของชายหนุ่ม ถวิลหาแต่วาดอยู่แล้ว ดวงจิตจึงถูกชักจูงได้โดยง่าย
ส่วนในพระนคร ที่เรือนพระนครารักษ์ ดึกสงัดจนใกล้รุ่ง ด้วยความห่วงกังวลผู้เป็นบิดา ผสานกับการคะนึงหาชายหนุ่มที่ดั้นด้นไปเพื่อความรัก ทั้งหมดจึงทำให้พลอยเกิดความฝันอันเลวร้าย
ในฝันนั้นตอนแรกน่าอิจฉา สองหนุ่มสาวคลอเคลียเสน่หา โอบล้อโอ้โลม แลกจูบแลกรักกันดื่มด่ำ ดวงตาหวานฉ่ำประสานกับประกายตาหวานซึ้ง รอยยิ้มละมุนจุมพิตแก้มนวล ปลายมือได้สัมผัสกาย ต่างฝ่ายต่างราวตกอยู่ในห้วงสุขาวดี...
ถัดมา... นางขนาในร่างของวาดยกสุราให้เขาดื่ม ปากพร่ำกระซิบริมหู แม้ถ้อยคำผิดสังเกต แต่ภูอินยังยิ้มรับ
“ดื่มนะคะคุณพี่... สุราถ้วยนี้จักเพิ่มกำลังวังชา สายเลือดสูบฉีด พละกำลังจักยิ่งกว่าพญาเสือโคร่ง... จิบแรกเพิ่มเลือด จิบสองเลือดจักยิ่งหวาน... จิบสาม... ยิ่งหวานกว่า...”
“อย่าดื่ม! อย่าดื่มนะพี่ภู!!!”
พลอยผวาห้าม อยากปัดมือที่ยื่นส่งให้กระเด็น แต่ในฝันนั้นยากบังคับ ได้แต่ส่งเสียงตะโกนเรียก
“พี่ภู... พี่ภูอิน... อย่าดื่ม!!! อย่าดื่มนะเจ้าคะ!!!”
คราวนี้ได้ผล คล้ายชายในฝันของหล่อนจะได้ยิน เขาเหมือนได้สติ ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อจ้องหน้าวาดตรงๆ อีกครั้ง
“เอ็ง... เอ็งมิใช่แม่วาด!...”
ชายหนุ่มตื่นตะลึง ผลักไสเป็นพัลวัน พยายามตะกายถอยหนี แต่อีกฝ่ายยึดข้อเท้าไว้มั่น เขาทั้งเตะทั้งถีบ แต่มือนั่นแข็งแรงกว่าคีมเหล็ก รู้สึกราวติดตรวนอยู่ก็มิปาน
“อีปิศาจ... อีมารร้าย... อย่ามาจองเวรจองกรรมกับกู! ไป! ไปให้พ้น!”
แล้วพลอยก็ได้เห็น ร่างของวาดแปรเปลี่ยน กลายกลับเป็นนางสางรูปทรงอรชร ดวงหน้าแม้สวยงาม ทว่าดวงตาวาววามกลับแดงก่ำ ริมฝีปากมีเขี้ยวแหลมยาว พอนางคว้าได้คออีกฝ่าย มือขาวนวลก็งอกขน เล็บยาวยืดคมกริบ
รูปร่างของนางปิศาจทำให้ภูอินยิ่งหวาดผวา เขาถอยหนีไปจนมุม อีกพริบตาเดียว ต้องตกอยู่ในคมเขี้ยวของนางปิศาจนั่นแล้ว
ไก่แก้วกรีดเสียง คล้ายปู่จ้าวสมิงพรายเข้าขัดจังวะ พลอยอึดอัดขัดใจ ดิ้นรนเพราะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ในที่สุดก็สะดุ้งตื่น!
“พี่ภู... แย่แล้ว...!” ตอนหล่อนชำเลืองมองหน้าต่าง ทั้งร่างชื้นเหงื่อ ลำคอแห้งผาก น้ำตายังคลอตา
แสงเงินแสงทองเรื่อจับขอบฟ้า นกกาเริ่มส่งเสียงระงมร้อง ชักชวนกันออกหาอาหาร อีกอึดใจเสียงไก่ก็ขันกระชั้น... นั่นเอง คือสิ่งทำให้หล่อนผวาตื่น
พลอยเร่งทบทวนความฝัน ยิ่งตอนใกล้รุ่ง เขาว่าจะเป็นจริง ยิ่งนึกก็ยิ่งเป็นห่วง จัดแจงชำระล้างหน้าตาเนื้อตัว สวมชุดทะมัดทะแมง คว้าดาบน้ำพี้ ลอบลงเรือนไปเพียงลำพัง
หล่อนไม่เรียกใช้พวกบ่าว รุดมาถึงท่าน้ำ ก็ว่าจ้างเรือเร็ว ล่องขึ้นเหนือทันที
(มีต่อคคห.ที่1)