คนไม่บวช​บรรลุมรรค​จิต มากกว่า​คนบวช

"อันพระโสดาบันนี้...
คฤหัสถ์ครองเรือน ก็บรรลุได้ เห็นแจ้งได้ 
บรรลุได้  ยากมีแต่อรหัตตผล เท่านั้นแหละ 
อรหัตตผล นั้น...
เป็นคฤหัสถ์นี่  มีจำนวนน้อยที่บรรลุนั้นน่ะ 
พอบรรลุแล้ว ก็นิพพานไปเลย อยู่...ไปไม่ได้  
ถ้าจะอยู่ต่อไปก็บวช แต่สำหรับมรรคทั้งสามเนี่ย โสดา-สกิทาคา-อนาคานี่ คฤหัสถ์มีสิทธิ์บรรลุได้เป็นจำนวนมากทีเดียว
ในตำราท่านกล่าวไว้ว่า...โสดาบันนี่แหละ
สำหรับผู้ครองเรือนแล้ว ครั้งพุทธกาลนะบรรลุกันมากมายทีเดียว ก็เพราะท่าน...
มองเห็นอัตภาพร่างกาย ไม่ใช่ตัวตน อย่างว่านี่แหละด้วยปัญญาอันยิ่ง แล้วเหตุนั้น...
ถึงได้ละความถือตัวถือตนลงไป เมื่อละความถือตัวถือตนออกไปแล้ว  จิตใจนี้มันก็เบา 
มันก็ไม่หนักไม่หน่วง แม้ร่างกายนี้มันจะวิบัติแปรปรวนไปยังไง 
จิตนี้...ก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน แม้ใครจะด่าว่าเสียดสีอะไรมันก็ไม่โกรธ เพราะมันเห็นแจ้งอยู่
นี่ว่า...เขาไม่ได้ด่าเรา เขาด่าก้อนดิน น้ำ ไฟ ลม ต่างหาก เหตุนั้น...
พระโสดาบัน ท่านถึงไม่โกรธนั่นแหละ 
เหมือนอย่างประวัตินางอุตตรา กับนางสิริมา
ครั้งนั้นน่ะ นางอุตตรานั้น...
เอาเงินไปจ้างนางสิริมามาบำรุงบำเรอสามีของตน ก็นางสิริมา เป็นคนงามในสมัยนั้น 
ที่ประชุมไม่ยอมยกให้ใคร แต่ถ้าใครให้เงินแล้ว
เอาไปบำเรอผู้นั้น ส่วนนางอุตตรานั้นน่ะ
ได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้สำเร็จโสดาบัน แล้วไปได้สามีตระกูลมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ทำบุญทำทาน อะไร  ก็เลยส่งข่าวไปหามารดาบิดา 
ขอให้บิดามารดาส่งเงินส่งทองมาให้จะได้ทำบุญ
ทำทาน  มารดาบิดา ก็ส่งเงินมาให้ เอ้า!
จ่ายซื้ออาหารมาทำอาหาร นิมนต์พระพุทธเจ้า
และพระสงฆ์มาฉันภัตตาหารในบ้าน ขออนุญาตสามีสัก ๗ วัน โดยให้นางสิริมานั้นเป็นนางบำเรอ 
บำเรอสามีแทนตน ตนนั้นรักษาศีล ๘ 
แล้วก็ได้ทำควบคุมคนแม่ครัวต่างๆ ให้จัดอาหารอันประณีต  ถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ แล้วฟังธรรม 
บัดนี้อยู่มาวันหนึ่ง นางสิริมามองลงไปเห็น
นางอุตตรานี่แหละคลุกคลีอยู่กับหม้อข้าวหม้อแกงอะไรหมู่นั้น นึกอิจฉาขึ้นมา เอ๊ะ! 
ถ้าเราทำลายแม่คนนี้ได้ล่ะก็ เราจะได้เป็นใหญ่ในบ้านนี้ พอคิดอย่างนั้น...ก็ลงจากปราสาทมา มาพอดีกับเพื่อนต้มน้ำข้าวต้มเดือดพล่านๆ อยู่ 
ก็เอากระบวยไปตักน้ำข้าวต้มนั้น  มารดศีรษะ
นางอุตตรา 
นางอุตตราอธิษฐานใจให้แน่วแน่แล้วว่า 
ถ้าหากเราได้อิจฉาพยาบาทแม่คนนี้น้อยหนึ่ง
ก็ขอให้น้ำข้าวนี้ มันลวกให้มันเปื่อยไปทั้งตัวเลย 
แต่ถ้าข้าพเจ้า ไม่ได้ มีใจอิจฉาพยาบาทนางคนนี้
ก็ขอให้ปลอดภัย
เมื่อเพื่อนเอาน้ำข้าวต้มร้อนๆ มารดศีรษะลงไป  
ก็ไม่ต่อสู้อะไรเลย ปรากฏว่า...
น้ำข้าวร้อนๆ อันนั้นน่ะกลายเป็นน้ำเย็นไปเย็น
ไปทั่วตัวเลย
บัดนี้ นางสิริมาคิดว่า...เอ๊ะ! น้ำข้าวนี้มันเย็นแล้วมั้ง มันไม่ร้อน เอ้า ไปตักอีก ตักอีกมารดอีก มันก็เย็นอยู่หมือนเดิมน่ะ เจ้าตัวผู้ถูกรดนั้น...
ก็ไม่ดิ้นรนกระสับกระส่ายอะไร  ก็พอดีบริวารของนางอุตตราเห็นเข้า ก็เลยพากันมาช่วยนายของตัว ไปทุบไปตีนางสิริมาจนบอบจนช้ำลงไป แต่ถึงกระนั้น...นางอุตตรา ก็ยังห้ามบริวารของตน ไม่ให้ทำร้ายนางสิริมาจนถึงล้มถึงตาย แถมยังได้พานางสิริมาไปหาตู้ยา เอายาออกมาทามาใส่แผล ฟกช้ำดำเขียวต่างๆ ให้ นี่แหล!
ใจของพระโสดาบัน นะ! ฟังเอาไว้เป็นอย่างนี้นะ  นางสิริมารู้ตัวเลยบัดนี้ แหมไอ้เราเบียดเบียนเพื่อนถึงขนาดนี้ เพื่อนยังไม่โต้ตอบเราเลย 
ถ้าหากว่านางอุตตรานี้ไม่ช่วยเราคราวนี้ เราตายแน่ เพราะฉะนั้นนางอุตตราจึง ชื่อว่า...
 มีคุณต่อเรามากมาย รู้สึกตัวแล้ว จึงขอโทษ
ขอขมาโทษต่อนางอุตตรา 
นางอุตตราก็เป็นผู้ฉลาด เอ้อ ท่านจะมาขอโทษ
กับเรานี้ไม่ได้ดอก ควรจะไปขอโทษกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านู่น เพื่อนว่า...
วันพรุ่งนี้แหละเราได้นิมนต์พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์  มาฉันภัตตาหารในที่นี้ 
เธอจงกลับไปบ้าน แล้วรุ่งเช้านำอาหารมาถวายทานร่วมกัน 
แล้วบัดนั้น เราจะพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า 
นางสิริมา ก็นำอาหารมาในวันรุ่งขึ้นเสร็จ
นางอุตตรา ก็พานางสิริมาเข้าไปกราบไหว้พระพุทธเจ้าไปทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พระองค์
ทรงทราบแล้ว พระองค์ทราบแล้ว  พระองค์ ก็
แสดงธรรม แนะนำสั่งสอนเข้าไป 
จบลง...นางสิริมา ก็ได้บรรลุโสดาบัน 
พอนางสิริมา ได้บรรลุโสดาบันแล้ว
ทีนี้ ก็เลี้ยงพระวันละแปดองค์ แปดองค์ นิมนต์พระไปฉันภัตตาหาร ที่บ้านวันละแปดรูป ทุกวัน 
แต่ว่าอายุเพื่อนสั้นซะแล้ว  เอาไปเอามาป่วยลงไป ไม่นานก็เลยถึงแก่กรรมไป 
อันนี้ ที่พูดให้ฟังหมายความว่า...
คุณธรรมของพระโสดาบัน ท่านเห็นแจ้ง
ในร่างกายนี่ว่า เป็นของว่างเปล่าจากสัตว์
จากบุคคลแล้ว เหตุนั้น...
ท่านจึงบรรเทาความโลภ โกรธ หลง อันนี้ลงได้ 
ไม่มีพยาบาทจองเวรใคร  เพราะฉะนั้น...
พวกเราที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็พยายามแหละบำเพ็ญไป ภาวนาไป  
ถึงไม่ได้เป็นพระโสดาบัน เมื่อเรารู้แจ้งในร่าง
กายตามเป็นจริงอย่างนี้ มันก็บรรเทากิเลสต่างๆ ลงไปได้เยอะแยะเลยทีเดียว  แล้วใจของเรา...
ก็จะได้ตั้งมั่นต่อบุญต่อคุณ เพราะมองเห็นร่าง
กายนี้พึ่งไม่ได้แล้วนี่ เราพึ่งได้ชั่วคราวหนึ่ง พอมันหมดบุญเก่าแล้วนี่ ร่างกาย ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับทำลายลงอย่างนี้นะ 
พระโสดาบันนั้น...ท่านมองเห็นร่างกายนี้ 
จะพึ่งพาอาศัยร่างกายนี้ไปนานไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงได้พยายามบำเพ็ญบุญกุศลเรื่อยไป 
ไม่มี...ถอยหลังเลยพระโสดาบันนะ
รักษาศีล ให้บริสุทธิ์ไปอยู่อย่างนั้น 
เอ้า! ฟังธรรมไป ปฏิบัติทางจิตใจเรื่อยไป
อย่างนั้นแหละ 
นี่แหละอานิสงส์แห่งการพิจารณา
เห็นแจ้งในร่างกายตามเป็นจริง 
ทำให้กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ หรือว่าถ้าหากใครลุ่มหลงทำบาปอะไรมาแต่ก่อน ก็รู้สึกตัวได้  สามารถละบาปอันนั้น  ออกจากใจได้เลย ดังแสดงมา
นางอุตตรา พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ
ยกย่อง ให้นางเป็นเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า...
อุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน หรือผู้
เข้าฌาน เพราะนางเข้าฌานทั้งที่ยืนอยู่...
แผ่เมตตาจิตให้นางสิริมาขณะที่กำลังจะทำร้ายด้วยการราดน้ำเดือดๆ 
บนศีรษะ 
ทำให้น้ำเดือดๆ นั้นไม่อาจทำร้ายนางได้เลย."
----------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่