โสดาบัน บุคคลคือ บุคคลประเภทใด
โสดาบัน (บาลี: Sotāpanna โสตาปนฺน) แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสธรรม (แห่งพระนิพพาน) ถือเป็นอริยบุคคลระดับแรกใน 4 ระดับ คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
การละสังโยชน์
โสดาบัน ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการคือ
1 สักกายทิฏฐิ (กา-ยะ-) คือ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตนเป็นอัตตาทิฎฐิ เช่น เห็นรูปเป็นตน เห็นเวทนาเป็นตน
2 วิจิกิจฉา (กิด-) คือ ความสงสัยในพระรัตนตรัย และในกุศลธรรมทั้งหลาย
3 สีลัพพตปรามาส (ลับ-พะ-ตะ-ปะ-รา-มาด) คือ ความยึดมั่นในข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่เข้าใจว่าเป็นข้อปฏิบัติที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น การประพฤติวัตรอย่างโค การนอนบนหนามของพวกโยคี ฤษี เป็นต้น
การบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลมิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต (นักบวช) เท่านั้น แม้แต่คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุเป็นอริยบุคคลได้ ผู้บรรลุโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
โสดาบัน แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
เอกพีชี (เอ-กะ-) ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว ก็จะบรรลุเป็นอรหันต์
โกลังโกละ ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือจะมาเกิดอีกเพียง 2-3 ชาติเท่านั้น แล้วจะได้สำเร็จเป็นอรหันต์สัตตัตตง
ปรมะ (ปะ-ระ-) ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
การที่โสดาบันแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังที่เพราะว่าอินทรีย์ 5 ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ และปัญญา แก่กล้าแตกต่างกัน ผู้ที่อินทรีย์ 5 ถึงความแก่รอบสม่ำเสมอ ก็สามารถบรรลุผลได้อย่างรวดเร็ว โสดาบันประเภทนี้เอกพีชีโสดาบัน
เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมคือเห็น ธรรมชาติความจริงเป็นสิ่งไม่เทืยงมี่การเกิดดับตลอดเวลา
ผู้แรกถึงกระแสธรรม (แห่งพระนิพพาน) คือผู้ที่รู้เเละเข้าใจว่า ขันธ์5เป็นของไม่เทืยง เข้าใจเหตุเเห่งการอุปทานขันธ์5
พิจจรณา ดูว่าทำไม สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเทศสอนครั้งเดืยว ถึงได้บรรลุโสดาบันกันเเละมีมากมายในสมัยพุทธกาล ทั้งนี้คงเข้าใจเเละได้รู้ความจริง ไม่ต้องคิดหลงเชือหรือมาให้ใครต้องมาทำนายผิดถูก เเต่ให้เราเข้าใจพิสูจรับรู้ได้ด้วยตัวเองตามคุณสมบัต ทั้งหมดที่กล่าวมา
พระอริยะบุคคลประเภทแรก โสดาบัน
โสดาบัน (บาลี: Sotāpanna โสตาปนฺน) แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสธรรม (แห่งพระนิพพาน) ถือเป็นอริยบุคคลระดับแรกใน 4 ระดับ คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
การละสังโยชน์
โสดาบัน ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการคือ
1 สักกายทิฏฐิ (กา-ยะ-) คือ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตนเป็นอัตตาทิฎฐิ เช่น เห็นรูปเป็นตน เห็นเวทนาเป็นตน
2 วิจิกิจฉา (กิด-) คือ ความสงสัยในพระรัตนตรัย และในกุศลธรรมทั้งหลาย
3 สีลัพพตปรามาส (ลับ-พะ-ตะ-ปะ-รา-มาด) คือ ความยึดมั่นในข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่เข้าใจว่าเป็นข้อปฏิบัติที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น การประพฤติวัตรอย่างโค การนอนบนหนามของพวกโยคี ฤษี เป็นต้น
การบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลมิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต (นักบวช) เท่านั้น แม้แต่คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุเป็นอริยบุคคลได้ ผู้บรรลุโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
โสดาบัน แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
เอกพีชี (เอ-กะ-) ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว ก็จะบรรลุเป็นอรหันต์
โกลังโกละ ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือจะมาเกิดอีกเพียง 2-3 ชาติเท่านั้น แล้วจะได้สำเร็จเป็นอรหันต์สัตตัตตง
ปรมะ (ปะ-ระ-) ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
การที่โสดาบันแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังที่เพราะว่าอินทรีย์ 5 ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ และปัญญา แก่กล้าแตกต่างกัน ผู้ที่อินทรีย์ 5 ถึงความแก่รอบสม่ำเสมอ ก็สามารถบรรลุผลได้อย่างรวดเร็ว โสดาบันประเภทนี้เอกพีชีโสดาบัน
เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมคือเห็น ธรรมชาติความจริงเป็นสิ่งไม่เทืยงมี่การเกิดดับตลอดเวลา
ผู้แรกถึงกระแสธรรม (แห่งพระนิพพาน) คือผู้ที่รู้เเละเข้าใจว่า ขันธ์5เป็นของไม่เทืยง เข้าใจเหตุเเห่งการอุปทานขันธ์5
พิจจรณา ดูว่าทำไม สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเทศสอนครั้งเดืยว ถึงได้บรรลุโสดาบันกันเเละมีมากมายในสมัยพุทธกาล ทั้งนี้คงเข้าใจเเละได้รู้ความจริง ไม่ต้องคิดหลงเชือหรือมาให้ใครต้องมาทำนายผิดถูก เเต่ให้เราเข้าใจพิสูจรับรู้ได้ด้วยตัวเองตามคุณสมบัต ทั้งหมดที่กล่าวมา