เห็นชอบหยิบยกเรื่องสังโยชน์กับระดับความเป็นอริยบุคคลมากล่าว
บางครั้งผมอ่านผ่านๆไม่สนใจ แต่บังเอิญได้ไปสนทนาในกระทู้ความเสื่อมถอยของสกิทาคา
ก็เลยทำให้รู้ว่า มีหลายท่านที่ชอบกระทำตัวเป็นนกแก้วนกขุนทอง เอาตำราในพระสูตรมาอ้างแบบขาดความเข้าใจ
เหตุนี้จึงทำให้พระสูตรถูกปรามาสและหยามเยียด ซึ่งแท้จริงแล้วพระสูตรอาจจะบัญญัติธรรมไม่ครอบคลุม
จึงทำให้พวกที่ยังไร้ปัญญา เอาพระสูตรมาอ้างอิงแบบผิดๆมั่วๆ
ในระดับของสังโยชน์ที่ท่านกำหนดไว้๑๐อย่างนั้น มีคนที่ไม่รู้เรื่องเอามาอ้างบอกว่า
พระโสดาบันละสังโยชน์เบื้องต้นได้ ๓อย่าง .......นี่คือประเด็นที่มั่วจนน่าหัวร่อครับ
ตามที่เคยบอกคำว่า โสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ล้วนเป็นบัญญัติหรือชื่อที่ใช้เรียก ขั้นของธรรม เขาไม่ได้เจาะจงเรียกตัวบุคคล
การเจาะจงเรียกตัวบุคคลถือเป็นสักกายทิฐิ(กิเลส)
แท้จริงแล้วท่านแบ่งตัวบุคคลโดยลักษณะของความรู้กับไม่รู้ก็คือ เสขะบุคคล คือผู้ยังต้องศึกษาและปฏิบัติ.....เพื่อเข้าถึงความเป็นนิพพาน
และ อีกอย่างก็คือ อเสขะ ก็คือผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว หมายความว่า เข้าถึงจุดหมายแล้ว(นิพพาน)
ประเด็นสำคัญแห่งความเข้าใจมันอยู่ตรงนี้ ...การที่มาบอกว่า โสดาบันละสังโยชน์เบื้องต้นทั้ง๓ได้แล้ว มันผิด
แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่จะละสังโยชน์๓เบื้องต้นได้จะต้องเป็น พระอเสขะ(อรหันต์)เท่านั้น
การละสังโยชน์จะต้องละสังโยชน์ทั้ง๑๐ได้พร้อมกัน ไม่ใช่มาละตัวใดตัวหนึ่ง มันละตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้
เพราะสังโยชน์ทั้ง๑๐มันมีความสัมพันธ์กัน เป็นเหตุปัจจัยแก้กัน สังโยชน์เบื้องต้นเป็นเหตุแห่งสังโยชน์เบื้องปลาย
การที่ยังมีสังโยชน์เบื้องปลายอยู่นั้นก็เพราะมันยังมียังโยชน์เบื้องต้นเป็นเหตุ.....ไม่ใช่มามั่วบอกว่า "ละสังโยชน์เบื้องต้นได้แล้ว
กำลังละสังโยชน์เบื้องปลาย" ....สังโยชน์เบื้องปลายมี แสดงว่ายังมีสังโยชน์เบื้องต้นอยู่
ปล.จะละสังโยชน์ทั้ง๑๐ จะต้องละสังโยชน์ทั้ง๑๐นั้นพร้อมกัน ไม่ใช่ละที่ละตัวสองตัว
บัญญัติที่คลาดเคลื่อนของสังโยชน์กับอริยบุคคล
บางครั้งผมอ่านผ่านๆไม่สนใจ แต่บังเอิญได้ไปสนทนาในกระทู้ความเสื่อมถอยของสกิทาคา
ก็เลยทำให้รู้ว่า มีหลายท่านที่ชอบกระทำตัวเป็นนกแก้วนกขุนทอง เอาตำราในพระสูตรมาอ้างแบบขาดความเข้าใจ
เหตุนี้จึงทำให้พระสูตรถูกปรามาสและหยามเยียด ซึ่งแท้จริงแล้วพระสูตรอาจจะบัญญัติธรรมไม่ครอบคลุม
จึงทำให้พวกที่ยังไร้ปัญญา เอาพระสูตรมาอ้างอิงแบบผิดๆมั่วๆ
ในระดับของสังโยชน์ที่ท่านกำหนดไว้๑๐อย่างนั้น มีคนที่ไม่รู้เรื่องเอามาอ้างบอกว่า
พระโสดาบันละสังโยชน์เบื้องต้นได้ ๓อย่าง .......นี่คือประเด็นที่มั่วจนน่าหัวร่อครับ
ตามที่เคยบอกคำว่า โสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ล้วนเป็นบัญญัติหรือชื่อที่ใช้เรียก ขั้นของธรรม เขาไม่ได้เจาะจงเรียกตัวบุคคล
การเจาะจงเรียกตัวบุคคลถือเป็นสักกายทิฐิ(กิเลส)
แท้จริงแล้วท่านแบ่งตัวบุคคลโดยลักษณะของความรู้กับไม่รู้ก็คือ เสขะบุคคล คือผู้ยังต้องศึกษาและปฏิบัติ.....เพื่อเข้าถึงความเป็นนิพพาน
และ อีกอย่างก็คือ อเสขะ ก็คือผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว หมายความว่า เข้าถึงจุดหมายแล้ว(นิพพาน)
ประเด็นสำคัญแห่งความเข้าใจมันอยู่ตรงนี้ ...การที่มาบอกว่า โสดาบันละสังโยชน์เบื้องต้นทั้ง๓ได้แล้ว มันผิด
แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่จะละสังโยชน์๓เบื้องต้นได้จะต้องเป็น พระอเสขะ(อรหันต์)เท่านั้น
การละสังโยชน์จะต้องละสังโยชน์ทั้ง๑๐ได้พร้อมกัน ไม่ใช่มาละตัวใดตัวหนึ่ง มันละตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้
เพราะสังโยชน์ทั้ง๑๐มันมีความสัมพันธ์กัน เป็นเหตุปัจจัยแก้กัน สังโยชน์เบื้องต้นเป็นเหตุแห่งสังโยชน์เบื้องปลาย
การที่ยังมีสังโยชน์เบื้องปลายอยู่นั้นก็เพราะมันยังมียังโยชน์เบื้องต้นเป็นเหตุ.....ไม่ใช่มามั่วบอกว่า "ละสังโยชน์เบื้องต้นได้แล้ว
กำลังละสังโยชน์เบื้องปลาย" ....สังโยชน์เบื้องปลายมี แสดงว่ายังมีสังโยชน์เบื้องต้นอยู่
ปล.จะละสังโยชน์ทั้ง๑๐ จะต้องละสังโยชน์ทั้ง๑๐นั้นพร้อมกัน ไม่ใช่ละที่ละตัวสองตัว