…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป มาบังเกิดยังภพมนุษย์นี้อีกครั้งเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล(เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง) แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยว (เวียนตายเวียนเกิด)ไปในเทวดาและมนุษย์อีกอย่างมาก ๗ ครั้ง แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป แลเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ
กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป…เป็นอุปหัจจปรินิพพายี
เป็นอสังขารปรินิพพายี เป็นสสังขารปรินิพพายี เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ดูกรสารีบุตร นี้เป็นบุคคลจำพวกที่ ๑… ที่ ๒… ที่ ๓… ที่ ๔… ที่ ๕
ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ ทำกาละย่อมพ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
พ้นจากเปตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต (อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
พระพุทธพจน์จากพระสุตตันตปิฎกที่ได้ยกมาอ้างไว้นั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดตามที่ปรากฏในพุทธศาสนาไม่ใช่การเวียนว่ายเวียนเกิดแบบชั่วขณะจิตแน่นอน แม้การเวียนตายเวียนเกิดจะสามารถอธิบายในช่วงสั้นแบบชั่วขณะจิตได้ แต่การปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ย่อมเท่ากับปฏิเสธหลักคำสอนเรื่อง มรรค ผล นิพพานไปด้วย นักวิชาการทางพุทธศาสนาและนักเทศน์สอนประชาชนที่ไม่กล้าสอนเรื่องการเวียนเกิดเวียนตายแบบข้ามภพข้ามชาติ ควรจะได้ใส่ใจเรื่องนี้และพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ได้ยกมาแสดงไว้ และพระพุทธพจน์อื่นๆ ทำนองนี้ในพระไตรปิฎกให้ถ่องแท้ ก่อนที่จะตีความง่ายๆ ว่า คงเป็นข้อความที่มีผู้เพิ่มเติมเข้าไว้ในภายหลัง
--> ตามทรรศนะของพุทธศาสนา มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก การตายของพระอรหันต์เรียกว่าปรินิพพาน ส่วนพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงพระโสดาบัน ตายแล้วยังจะต้องเกิดอีก แต่ต่างกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนตรงที่ ปุถุชนมีการเวียนตายเวียนเกิดท่องเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนพระอริยบุคคลที่ยังต้องเกิดอีกมีจำนวนชาติที่จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ
--> ถ้าเป็นพระอนาคามีตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสเพียงแห่งเดียว และจะบรรลุอรหัตตมรรค – อรหัตตผลเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น ไม่มีการจุติไปเกิดในภพภูมิอื่นอีกต่อไป
--> ถ้าเป็นพระสกทาคามีตายแล้วจะเกิดอีกเพียงครั้งเดียว แล้วบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์ และเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น
--> ถ้าเป็นพระโสดาบันประเภทเอกพีชีก็จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเช่นกัน แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น พระโสดาบันประเภทโกลังโกละจะเกิดอีก ๒ หรือ ๓ ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพาน พระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะตายแล้วจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ หรือที่ ๗ แล้วแต่กรณี
--->>> การตายการเกิดของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ดังกล่าวมานี้ ไม่ใช่การตายการเกิดแบบชั่วขณะจิตในชาตินี้แน่นอน ถ้าเป็นการตายการเกิดแบบชั่วขณะจิต ไม่ใช่การตายการเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ก็ต้องหมายความว่าพระอริยบุคคลทุกประเภทจะต้องเข้าถึงปรินิพพานในชาตินี้กันหมดทุกคน ซึ่งความจริงหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีอยู่มากมายในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงบุคคลผู้เป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน ตายแล้วไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามภาวะทางจิตของตน เช่น
--> พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธผู้ทรงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงโปรด เมื่อเสด็จไปทรงประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธเป็นครั้งแรก ภายหลังถูกพระเจ้าอชาติศัตรูพระราชโอรสจับไปขังไว้ในคุก และทำปิตุฆาตกรรม(ฆ่าพ่อ) สิ้นพระชนม์ในคุก สิ้นพระชนม์แล้วได้เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยเป็นบริวารของท้าวเวสสวรรณซึ่งเป็นมหาราชองค์หนึ่งในสี่องค์ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ เมื่อเกิดเป็นเทพได้นามว่า ชนวสภะ ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระตำหนักตึกในหมู่บ้านนาทิกะในแคว้นมคธ ได้กราบทูลเรื่องราวต่างๆ ให้พระพุทธเจ้าทราบ และกล่าวว่าตนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เป็นพระสกทาคามีในอนาคต (ชนวสภสุตตํ ที. มหา. ๑๐/๑๘๗–๒๐๘)
--> หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นสาวกฆราวาสคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี หลังจากถึงแก่กรรมได้ไปเกิดเป็นเทพในพรหมโลกชั้นอวิหา ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ชั้นสุทธาวาส วันหนึ่งขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารใกล้นครสาวัตถี หัตถกเทพบุตรได้ลงมาเฝ้าสนทนากับพระองค์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่างของตนในพรหมโลกชั้นนั้น (อง. ติก. ๒๐/๕๖๗)
--->>> ในมหาปรินิพพานสูตร มีข้อความกล่าวว่าขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านนาทิกะ พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามถึงคติและภพเบื้องหน้าของสาวกที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เป็นจำนวนมากที่ตายที่หมู่บ้านนาทิกะว่า ท่านเหล่านั้นตายแล้วไปเกิดในที่ไหน หรือมีคติเบื้องหน้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
ดูกรอานนท์ ภิกษุนามว่าสาฬหะ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน เข้าสู่นิพพานแล้ว
ภิกษุณีนามว่านันทา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าสุทัตตะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางเป็นพระสกทาคามี กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
อุบาสิกานามว่าสุชาดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ในภายหน้าแน่นอน
อุบาสกนามว่ากกุธะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าการฬิมพะ… อุบาสกนามว่านิกฏะ… อุบาสกนามว่ากฏิสสหะ… อุบาสกนามว่าตุฏฐะ… อุบาสกนามว่าสันตุฏฐะ อุบาสกนามว่าภฎะ… อุบาสกนามว่าสุภฎะ เพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา (มหาปรินิพพานสุตตํ ที. มหา. ๑๐/๘๙)
--> บรรดาบุคคลที่ปรากฏชื่อในข้อความดังกล่าวนี้ ล้วนแต่เป็นพระอริยบุคคล หรือผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น บางท่านเป็นพระโสดาบัน บางท่านเป็นพระสกทาคามี หลายท่านเป็นพระอนาคามี และมีอยู่ท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ คือภิกษุชื่อสาฬหะ ผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วล้วนต้องเกิดอีกทั้งสิ้น
--->>> จะเห็นได้ว่าคำสอนเรื่องการเวียนตายเวียนเกิดที่เรียกว่าสัวสารวัฏของพระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับคำสอนที่เป็นแก่นของศาสนา คือคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพาน ถ้ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือมีชีวิตอยู่จริงเพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น หลักคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระ เพราะจะตอบคำถามบางอย่างไม่ได้ เช่นว่า พระอริยบุคคลที่บรรลุมรรคผลเป็นเพียงพระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี หรือพระอนาคามีตายแล้วไปไหน จะให้ท่านเข้าสู่ปรินิพพานท่านก็ยังเข้าไม่ได้ เพราะยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถ้าตายแล้วขาดสูญไม่มีการเกิดอีกการบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย เพราะคนธรรมดากับพระอริยบุคคลก็จะมีสภาพเท่าเทียมกันหลังตายแล้ว
--> อนึ่ง การปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะเป็นการปฏิบัติทวนกระแสของการดำเนินชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป บางคนต้องสละโลกียวิสัยออกบวชเป็นพระภิกษุ หากผู้ที่สละความสุขสำราญทางโลกมุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน หลังจากตายแล้วมีสภาพเท่ากับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกธรรมดาทั่วไป ผู้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างพระภิกษุสามเณรก็จะกลายเป็นผู้ที่โง่ที่สุด เพราะใช้ชีวิตอย่างโง่ๆ ไม่รู้จักตักตวงเอาความสุขสำราญจากชีวิตที่ตนมีอยู่เพียงครั้งเดียว ถ้าจะอ้างว่าการปฏิบัติธรรมโดยมีความมุ่งหวังเช่นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระ เพราะจะทำให้มีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ก็เป็นเหตุผลที่อ่อนเพราะการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ได้ทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันเสมอไปและทุกคนไป พระธุดงค์บางองค์ปฏิบัติไปยังไม่ทันจะได้พบความสุขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกเสือหรืองูกัดตายเสียแล้ว
--> อนึ่ง การมีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนั้น ผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สินและเกียรติยศชื่อเสียงก็มีอยู่ถมไปที่สามารถมีความสุขเช่นนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องทนทรมานอดหลับอดนอนกินข้าววันละมื้อสองมื้อจึงจะมีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ถ้าตายแล้วไม่มีการเกิดใหม่หรือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานของพระพุทธสาสนาก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระใช้เป็นประโยชน์ที่แท้จริงอะไรมิได้ แต่เพราะการเวียนตายเวียนเกิดหรือสังสารวัฏเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงประทานคำสอนดังกล่าวไว้เพื่อให้เวไนยบุคคลยึดเป็นแนวทางดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่สามารถดับทุกข์ในสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงและตลอดไป...
ความสัมพันธ์ระหว่างคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด(สังสารวัฏ) กับหลักคำสอนเรื่องมรรค ผล นิพพาน
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล(เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง) แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยว (เวียนตายเวียนเกิด)ไปในเทวดาและมนุษย์อีกอย่างมาก ๗ ครั้ง แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป แลเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
…ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ
กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป…เป็นอุปหัจจปรินิพพายี
เป็นอสังขารปรินิพพายี เป็นสสังขารปรินิพพายี เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ดูกรสารีบุตร นี้เป็นบุคคลจำพวกที่ ๑… ที่ ๒… ที่ ๓… ที่ ๔… ที่ ๕
ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ ทำกาละย่อมพ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน
พ้นจากเปตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต (อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)
พระพุทธพจน์จากพระสุตตันตปิฎกที่ได้ยกมาอ้างไว้นั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดตามที่ปรากฏในพุทธศาสนาไม่ใช่การเวียนว่ายเวียนเกิดแบบชั่วขณะจิตแน่นอน แม้การเวียนตายเวียนเกิดจะสามารถอธิบายในช่วงสั้นแบบชั่วขณะจิตได้ แต่การปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ย่อมเท่ากับปฏิเสธหลักคำสอนเรื่อง มรรค ผล นิพพานไปด้วย นักวิชาการทางพุทธศาสนาและนักเทศน์สอนประชาชนที่ไม่กล้าสอนเรื่องการเวียนเกิดเวียนตายแบบข้ามภพข้ามชาติ ควรจะได้ใส่ใจเรื่องนี้และพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ได้ยกมาแสดงไว้ และพระพุทธพจน์อื่นๆ ทำนองนี้ในพระไตรปิฎกให้ถ่องแท้ ก่อนที่จะตีความง่ายๆ ว่า คงเป็นข้อความที่มีผู้เพิ่มเติมเข้าไว้ในภายหลัง
--> ตามทรรศนะของพุทธศาสนา มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก การตายของพระอรหันต์เรียกว่าปรินิพพาน ส่วนพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงพระโสดาบัน ตายแล้วยังจะต้องเกิดอีก แต่ต่างกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนตรงที่ ปุถุชนมีการเวียนตายเวียนเกิดท่องเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนพระอริยบุคคลที่ยังต้องเกิดอีกมีจำนวนชาติที่จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ
--> ถ้าเป็นพระอนาคามีตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสเพียงแห่งเดียว และจะบรรลุอรหัตตมรรค – อรหัตตผลเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น ไม่มีการจุติไปเกิดในภพภูมิอื่นอีกต่อไป
--> ถ้าเป็นพระสกทาคามีตายแล้วจะเกิดอีกเพียงครั้งเดียว แล้วบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์ และเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น
--> ถ้าเป็นพระโสดาบันประเภทเอกพีชีก็จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเช่นกัน แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น พระโสดาบันประเภทโกลังโกละจะเกิดอีก ๒ หรือ ๓ ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพาน พระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะตายแล้วจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ หรือที่ ๗ แล้วแต่กรณี
--->>> การตายการเกิดของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ดังกล่าวมานี้ ไม่ใช่การตายการเกิดแบบชั่วขณะจิตในชาตินี้แน่นอน ถ้าเป็นการตายการเกิดแบบชั่วขณะจิต ไม่ใช่การตายการเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ก็ต้องหมายความว่าพระอริยบุคคลทุกประเภทจะต้องเข้าถึงปรินิพพานในชาตินี้กันหมดทุกคน ซึ่งความจริงหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีอยู่มากมายในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงบุคคลผู้เป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน ตายแล้วไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามภาวะทางจิตของตน เช่น
--> พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธผู้ทรงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงโปรด เมื่อเสด็จไปทรงประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธเป็นครั้งแรก ภายหลังถูกพระเจ้าอชาติศัตรูพระราชโอรสจับไปขังไว้ในคุก และทำปิตุฆาตกรรม(ฆ่าพ่อ) สิ้นพระชนม์ในคุก สิ้นพระชนม์แล้วได้เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยเป็นบริวารของท้าวเวสสวรรณซึ่งเป็นมหาราชองค์หนึ่งในสี่องค์ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ เมื่อเกิดเป็นเทพได้นามว่า ชนวสภะ ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระตำหนักตึกในหมู่บ้านนาทิกะในแคว้นมคธ ได้กราบทูลเรื่องราวต่างๆ ให้พระพุทธเจ้าทราบ และกล่าวว่าตนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เป็นพระสกทาคามีในอนาคต (ชนวสภสุตตํ ที. มหา. ๑๐/๑๘๗–๒๐๘)
--> หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นสาวกฆราวาสคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี หลังจากถึงแก่กรรมได้ไปเกิดเป็นเทพในพรหมโลกชั้นอวิหา ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ชั้นสุทธาวาส วันหนึ่งขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารใกล้นครสาวัตถี หัตถกเทพบุตรได้ลงมาเฝ้าสนทนากับพระองค์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่างของตนในพรหมโลกชั้นนั้น (อง. ติก. ๒๐/๕๖๗)
--->>> ในมหาปรินิพพานสูตร มีข้อความกล่าวว่าขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านนาทิกะ พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามถึงคติและภพเบื้องหน้าของสาวกที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เป็นจำนวนมากที่ตายที่หมู่บ้านนาทิกะว่า ท่านเหล่านั้นตายแล้วไปเกิดในที่ไหน หรือมีคติเบื้องหน้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
ดูกรอานนท์ ภิกษุนามว่าสาฬหะ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน เข้าสู่นิพพานแล้ว
ภิกษุณีนามว่านันทา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าสุทัตตะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางเป็นพระสกทาคามี กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
อุบาสิกานามว่าสุชาดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ในภายหน้าแน่นอน
อุบาสกนามว่ากกุธะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
อุบาสกนามว่าการฬิมพะ… อุบาสกนามว่านิกฏะ… อุบาสกนามว่ากฏิสสหะ… อุบาสกนามว่าตุฏฐะ… อุบาสกนามว่าสันตุฏฐะ อุบาสกนามว่าภฎะ… อุบาสกนามว่าสุภฎะ เพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา (มหาปรินิพพานสุตตํ ที. มหา. ๑๐/๘๙)
--> บรรดาบุคคลที่ปรากฏชื่อในข้อความดังกล่าวนี้ ล้วนแต่เป็นพระอริยบุคคล หรือผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น บางท่านเป็นพระโสดาบัน บางท่านเป็นพระสกทาคามี หลายท่านเป็นพระอนาคามี และมีอยู่ท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ คือภิกษุชื่อสาฬหะ ผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วล้วนต้องเกิดอีกทั้งสิ้น
--->>> จะเห็นได้ว่าคำสอนเรื่องการเวียนตายเวียนเกิดที่เรียกว่าสัวสารวัฏของพระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับคำสอนที่เป็นแก่นของศาสนา คือคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพาน ถ้ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว หรือมีชีวิตอยู่จริงเพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น หลักคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระ เพราะจะตอบคำถามบางอย่างไม่ได้ เช่นว่า พระอริยบุคคลที่บรรลุมรรคผลเป็นเพียงพระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี หรือพระอนาคามีตายแล้วไปไหน จะให้ท่านเข้าสู่ปรินิพพานท่านก็ยังเข้าไม่ได้ เพราะยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ถ้าตายแล้วขาดสูญไม่มีการเกิดอีกการบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย เพราะคนธรรมดากับพระอริยบุคคลก็จะมีสภาพเท่าเทียมกันหลังตายแล้ว
--> อนึ่ง การปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะเป็นการปฏิบัติทวนกระแสของการดำเนินชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป บางคนต้องสละโลกียวิสัยออกบวชเป็นพระภิกษุ หากผู้ที่สละความสุขสำราญทางโลกมุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน หลังจากตายแล้วมีสภาพเท่ากับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกธรรมดาทั่วไป ผู้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างพระภิกษุสามเณรก็จะกลายเป็นผู้ที่โง่ที่สุด เพราะใช้ชีวิตอย่างโง่ๆ ไม่รู้จักตักตวงเอาความสุขสำราญจากชีวิตที่ตนมีอยู่เพียงครั้งเดียว ถ้าจะอ้างว่าการปฏิบัติธรรมโดยมีความมุ่งหวังเช่นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระ เพราะจะทำให้มีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ก็เป็นเหตุผลที่อ่อนเพราะการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ได้ทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันเสมอไปและทุกคนไป พระธุดงค์บางองค์ปฏิบัติไปยังไม่ทันจะได้พบความสุขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกเสือหรืองูกัดตายเสียแล้ว
--> อนึ่ง การมีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนั้น ผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สินและเกียรติยศชื่อเสียงก็มีอยู่ถมไปที่สามารถมีความสุขเช่นนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องทนทรมานอดหลับอดนอนกินข้าววันละมื้อสองมื้อจึงจะมีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ถ้าตายแล้วไม่มีการเกิดใหม่หรือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานของพระพุทธสาสนาก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระใช้เป็นประโยชน์ที่แท้จริงอะไรมิได้ แต่เพราะการเวียนตายเวียนเกิดหรือสังสารวัฏเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงประทานคำสอนดังกล่าวไว้เพื่อให้เวไนยบุคคลยึดเป็นแนวทางดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่สามารถดับทุกข์ในสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงและตลอดไป...