ความสัมพันธ์ระหว่างคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด(สังสารวัฏ) กับหลักคำสอนเรื่องมรรค ผล นิพพาน

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  มาบังเกิดยังภพมนุษย์นี้อีกครั้งเดียว  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก.  ๒๓/๒๑๖)

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล(เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง) แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก. ๒๓/๒๑๖)  

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  ยังท่องเที่ยว (เวียนตายเวียนเกิด)ไปในเทวดาและมนุษย์อีกอย่างมาก ๗ ครั้ง แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง.  นวก. ๒๓/๒๑๖)

…บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี  เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป  แลเพราะราคะ  โทสะ  และโมหะเบาบาง  มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้…(อง. นวก. ๒๓/๒๑๖)

…ดูกรสารีบุตร  บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ  
กระทำพอประมาณในปัญญา  บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี  
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕  สิ้นไป…เป็นอุปหัจจปรินิพพายี  
เป็นอสังขารปรินิพพายี  เป็นสสังขารปรินิพพายี  เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี  
ดูกรสารีบุตร  นี้เป็นบุคคลจำพวกที่ ๑…  ที่ ๒…  ที่ ๓…  ที่ ๔…  ที่ ๕  
ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ  ทำกาละย่อมพ้นจากนรก  พ้นจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน  
พ้นจากเปตวิสัย  พ้นจากอบาย  ทุคติ  และวินิบาต (อง. นวก.  ๒๓/๒๑๖)


พระพุทธพจน์จากพระสุตตันตปิฎกที่ได้ยกมาอ้างไว้นั้น  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดตามที่ปรากฏในพุทธศาสนาไม่ใช่การเวียนว่ายเวียนเกิดแบบชั่วขณะจิตแน่นอน  แม้การเวียนตายเวียนเกิดจะสามารถอธิบายในช่วงสั้นแบบชั่วขณะจิตได้  แต่การปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ  ย่อมเท่ากับปฏิเสธหลักคำสอนเรื่อง มรรค ผล นิพพานไปด้วย  นักวิชาการทางพุทธศาสนาและนักเทศน์สอนประชาชนที่ไม่กล้าสอนเรื่องการเวียนเกิดเวียนตายแบบข้ามภพข้ามชาติ  ควรจะได้ใส่ใจเรื่องนี้และพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ได้ยกมาแสดงไว้  และพระพุทธพจน์อื่นๆ ทำนองนี้ในพระไตรปิฎกให้ถ่องแท้  ก่อนที่จะตีความง่ายๆ ว่า  คงเป็นข้อความที่มีผู้เพิ่มเติมเข้าไว้ในภายหลัง

-->  ตามทรรศนะของพุทธศาสนา  มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก  การตายของพระอรหันต์เรียกว่าปรินิพพาน  ส่วนพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงพระโสดาบัน  ตายแล้วยังจะต้องเกิดอีก  แต่ต่างกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนตรงที่  ปุถุชนมีการเวียนตายเวียนเกิดท่องเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด  ส่วนพระอริยบุคคลที่ยังต้องเกิดอีกมีจำนวนชาติที่จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ  

-->  ถ้าเป็นพระอนาคามีตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสเพียงแห่งเดียว  และจะบรรลุอรหัตตมรรค – อรหัตตผลเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนั้น  ไม่มีการจุติไปเกิดในภพภูมิอื่นอีกต่อไป  

-->  ถ้าเป็นพระสกทาคามีตายแล้วจะเกิดอีกเพียงครั้งเดียว  แล้วบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์  และเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น

-->  ถ้าเป็นพระโสดาบันประเภทเอกพีชีก็จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเช่นกัน  แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่เกิดใหม่นั้น  พระโสดาบันประเภทโกลังโกละจะเกิดอีก ๒  หรือ  ๓ ชาติ  แล้วเข้าสู่นิพพาน  พระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะตายแล้วจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ  แล้วเข้าสู่นิพพานในชาติที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ หรือที่ ๗ แล้วแต่กรณี

--->>>   การตายการเกิดของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ดังกล่าวมานี้  ไม่ใช่การตายการเกิดแบบชั่วขณะจิตในชาตินี้แน่นอน  ถ้าเป็นการตายการเกิดแบบชั่วขณะจิต  ไม่ใช่การตายการเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ  ก็ต้องหมายความว่าพระอริยบุคคลทุกประเภทจะต้องเข้าถึงปรินิพพานในชาตินี้กันหมดทุกคน  ซึ่งความจริงหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ได้เป็นอย่างนี้  มีอยู่มากมายในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงบุคคลผู้เป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ ที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน  ตายแล้วไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามภาวะทางจิตของตน  เช่น  

-->  พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธผู้ทรงบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าแสดงโปรด  เมื่อเสด็จไปทรงประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธเป็นครั้งแรก  ภายหลังถูกพระเจ้าอชาติศัตรูพระราชโอรสจับไปขังไว้ในคุก  และทำปิตุฆาตกรรม(ฆ่าพ่อ) สิ้นพระชนม์ในคุก  สิ้นพระชนม์แล้วได้เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  โดยเป็นบริวารของท้าวเวสสวรรณซึ่งเป็นมหาราชองค์หนึ่งในสี่องค์ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้  เมื่อเกิดเป็นเทพได้นามว่า  ชนวสภะ  ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระตำหนักตึกในหมู่บ้านนาทิกะในแคว้นมคธ  ได้กราบทูลเรื่องราวต่างๆ ให้พระพุทธเจ้าทราบ  และกล่าวว่าตนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เป็นพระสกทาคามีในอนาคต (ชนวสภสุตตํ  ที.  มหา. ๑๐/๑๘๗–๒๐๘)

-->  หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี  เป็นสาวกฆราวาสคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี  หลังจากถึงแก่กรรมได้ไปเกิดเป็นเทพในพรหมโลกชั้นอวิหา  ซึ่งเป็นชั้นหนึ่งของสวรรค์ชั้นสุทธาวาส  วันหนึ่งขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารใกล้นครสาวัตถี  หัตถกเทพบุตรได้ลงมาเฝ้าสนทนากับพระองค์  กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบเรื่องราวบางอย่างของตนในพรหมโลกชั้นนั้น (อง.  ติก.  ๒๐/๕๖๗)

--->>>   ในมหาปรินิพพานสูตร  มีข้อความกล่าวว่าขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านนาทิกะ  พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามถึงคติและภพเบื้องหน้าของสาวกที่เป็นภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  และอุบาสิกา  เป็นจำนวนมากที่ตายที่หมู่บ้านนาทิกะว่า  ท่านเหล่านั้นตายแล้วไปเกิดในที่ไหน  หรือมีคติเบื้องหน้าเป็นอย่างไร  พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

ดูกรอานนท์  ภิกษุนามว่าสาฬหะ  กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน  เข้าสู่นิพพานแล้ว  
ภิกษุณีนามว่านันทา  เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป  เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา  
อุบาสกนามว่าสุทัตตะ  เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป  และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางเป็นพระสกทาคามี  กลับมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น  แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  
อุบาสิกานามว่าสุชาดา  เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นพระโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ในภายหน้าแน่นอน  
อุบาสกนามว่ากกุธะ  เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป  เป็นโอปปาติกะปรินิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา  
อุบาสกนามว่าการฬิมพะ…  อุบาสกนามว่านิกฏะ…  อุบาสกนามว่ากฏิสสหะ…  อุบาสกนามว่าตุฏฐะ…  อุบาสกนามว่าสันตุฏฐะ  อุบาสกนามว่าภฎะ…  อุบาสกนามว่าสุภฎะ  เพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป  เป็นโอปปาติกะ  ปรินิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
(มหาปรินิพพานสุตตํ  ที.  มหา. ๑๐/๘๙)

-->  บรรดาบุคคลที่ปรากฏชื่อในข้อความดังกล่าวนี้  ล้วนแต่เป็นพระอริยบุคคล  หรือผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น  บางท่านเป็นพระโสดาบัน  บางท่านเป็นพระสกทาคามี  หลายท่านเป็นพระอนาคามี  และมีอยู่ท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์  คือภิกษุชื่อสาฬหะ  ผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์  ตายแล้วล้วนต้องเกิดอีกทั้งสิ้น

--->>>   จะเห็นได้ว่าคำสอนเรื่องการเวียนตายเวียนเกิดที่เรียกว่าสัวสารวัฏของพระพุทธศาสนา  มีความสัมพันธ์กับคำสอนที่เป็นแก่นของศาสนา  คือคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพาน  ถ้ามนุษย์เกิดหนเดียวตายหนเดียว  หรือมีชีวิตอยู่จริงเพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น  หลักคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระ  เพราะจะตอบคำถามบางอย่างไม่ได้  เช่นว่า  พระอริยบุคคลที่บรรลุมรรคผลเป็นเพียงพระโสดาบัน  หรือพระสกทาคามี  หรือพระอนาคามีตายแล้วไปไหน  จะให้ท่านเข้าสู่ปรินิพพานท่านก็ยังเข้าไม่ได้  เพราะยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  ถ้าตายแล้วขาดสูญไม่มีการเกิดอีกการบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นสิ่งไร้ความหมาย  เพราะคนธรรมดากับพระอริยบุคคลก็จะมีสภาพเท่าเทียมกันหลังตายแล้ว

-->  อนึ่ง  การปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก  เพราะเป็นการปฏิบัติทวนกระแสของการดำเนินชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป  บางคนต้องสละโลกียวิสัยออกบวชเป็นพระภิกษุ  หากผู้ที่สละความสุขสำราญทางโลกมุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน  หลังจากตายแล้วมีสภาพเท่ากับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกธรรมดาทั่วไป  ผู้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างพระภิกษุสามเณรก็จะกลายเป็นผู้ที่โง่ที่สุด  เพราะใช้ชีวิตอย่างโง่ๆ ไม่รู้จักตักตวงเอาความสุขสำราญจากชีวิตที่ตนมีอยู่เพียงครั้งเดียว  ถ้าจะอ้างว่าการปฏิบัติธรรมโดยมีความมุ่งหวังเช่นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระ  เพราะจะทำให้มีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  ก็เป็นเหตุผลที่อ่อนเพราะการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ได้ทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันเสมอไปและทุกคนไป  พระธุดงค์บางองค์ปฏิบัติไปยังไม่ทันจะได้พบความสุขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกเสือหรืองูกัดตายเสียแล้ว

--> อนึ่ง  การมีชีวิตอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนั้น  ผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สินและเกียรติยศชื่อเสียงก็มีอยู่ถมไปที่สามารถมีความสุขเช่นนั้นได้  ไม่จำเป็นต้องทนทรมานอดหลับอดนอนกินข้าววันละมื้อสองมื้อจึงจะมีความสุขได้  เพราะฉะนั้น  ถ้าตายแล้วไม่มีการเกิดใหม่หรือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดคำสอนเรื่องมรรคผลนิพพานของพระพุทธสาสนาก็จะเป็นคำสอนที่ไร้สาระใช้เป็นประโยชน์ที่แท้จริงอะไรมิได้  แต่เพราะการเวียนตายเวียนเกิดหรือสังสารวัฏเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง  พระพุทธเจ้าทรงประทานคำสอนดังกล่าวไว้เพื่อให้เวไนยบุคคลยึดเป็นแนวทางดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่สามารถดับทุกข์ในสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงและตลอดไป...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่