นางสิริมา...
โสเภณีผู้บรรลุธรรม
.
.
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองเวสาลี
เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล
เศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก
.
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ
หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนี้
คือโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อนางอัมพปาลี
ถูกแต่งตั้งเป็นนาง “นครโสภิณี”
คือเป็นหญิงงามเมืองหรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี
.
.
เรียกว่าความงามของนาง
สวยสะคราญโฉมหาผู้ใดเทียบได้ยาก
มีศิลปะวิทยาการชั้นสูง ร้องเพลงเพราะ ฟ้อนรำสวย
เอาใจเก่ง เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดี
.
.
ทำให้ค่าตัวนางสูงมาก
ผู้ชายใดอยากครอบครองนาง
ต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง 50 กหาปณะ
หรือคิดเป็นเงินบาทคือ 130,000 บาท!
.
.
เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้น
ถึงจะครอบครองนางได้
.
.
สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์
กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่
ต่างมีความฝัน มีความปรารถนา
ที่อยากมาสัมผัสนางซักครั้งในชีวิตทั้งนั้น
ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมาย
เดินทางมาที่เวสาลี เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนาง
.
.
กลายเป็นนำพาให้เศรษฐกิจการค้าการขาย
พลอยรุ่งเรื่องเติบโตขึ้นมาด้วย
เพราะนางอัมพปาลี เป็น magnet นั่นเอง
.
.
ว่ากันว่า หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลี
คือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์
เห็นเวสาลีเจริญเพราะมีนางนครโสภิณี
จึงเอาไอเดียไปใช้ที่เมืองของตัวเองบ้าง
.
.
กลับเมืองไป ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด
ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง ชื่อนางสาลวดี
เป็นนางนครโสภิณีคนแรกแห่งเมืองราชคฤห์
.
.
นางสาลวดี ถูกฝึกถูกเทรนศิลปะวิทยาการต่างๆ
ด้วยพื้นฐานทุนเดิมนางสวยมากอยู่แล้ว
พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักจนเป็นผู้หญิงที่มีงามพร้อม
ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงาม
เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงไพเราะ พูดจามีเสน่ห์
.
.
ทำให้นางค่าตัวแพงกว่านางอัมพปาลีอีก
คือใครอยากเชยชมนาง ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 100 กหาปนะ หรือเกือบ 260,000 บาท!!
แพงกว่านางอัมพปาลีถึง 2 เท่า!
.
.
จากคนฐานะธรรมดา
กลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมา
นางเลยใช้ชีวิตประมาท
ทำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของอาชีพนาง
ถ้าให้ใครรู้ ความ popular ของนางก็จะลดลง
.
.
นางจึงปิดบังไว้ พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชาย
ก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันที
แต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญ
มีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยง
เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์
จนสุดท้ายกลายเป็น หมอชีวกโกมารภัจจ์
หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก
เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า
.
.
กลับมาที่นางสาลวดี
พอทิ้งลูกไปแล้ว ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิม
มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด
แต่สุดท้ายนางก็พลาดท้องอีก
.
.
แต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิง
นางคิดว่าไหนๆนางก็เริ่มแก่ละ
เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่งนางนครโสภิณีของนางดีกว่า นางเลยเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “นางสิริมา”
.
.
พอเติบใหญ่ นางสิริมาก็ครองได้ตำแหน่งนางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์ต่อจากแม่ของนางสมใจ
.
.
นางสิริมาเป็นสตรีที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตน
ความงามของนาง ถูกว่ากันว่างามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณีที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป
จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกแง่ทุกมุม
ทุกเทคนิคเคล็ดลับในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็ก
.
.
ด้วยความครบทั้งภายนอกภายในแห่งความเป็นโสเภณีจึงทำให้นางมีค่าตัวสูงถึง 1,000 กหาปณะ หรือ 2.6 ล้านบาท!!
แพงกว่าแม่ของนาง นางสาลวดีถึง 10 เท่า!
.
.
จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้านเลย
นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวย
บ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้ถึง 500 คน!
.
.
จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
Job ใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางออกงาน
ในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือ
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นางอุตตรา
มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง
เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน
ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท!
.
.
สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น
คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน
จิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด
เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า
พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน
.
.
แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกัน
บ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามี
เป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย
ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ
และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น
นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม
เหมือนตอนก่อนแต่งงาน
.
.
นางอุตตราจึงขอสามี
จะจ้างนางสิริงาม หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง
มาปรนนิบัติสามี 15 วัน
และขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต
และถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
.
.
สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมามานาน
เลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล
และขอบใจภรรยายิ่งนัก
.
.
นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตรา
สามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ
เพราะได้ทำบุญใส่บาตร
นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน
ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจ
.
.
วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ
นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน
อยู่ๆเลยเกิดความหึงหวง
อยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา
เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรา
.
.
นางอุตตราเห็นดังนั้น
จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌานในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า
.
.
“หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเรา
ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้
ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเรา
แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย”
.
.
สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด
ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตราก็กลายเป็นน้ำเย็น
บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมา
และจะรุมทำร้ายให้จงหนัก
.
.
นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวาง
ไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย
นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดสุดๆในใน
เลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา
ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
อยากให้นางยกโทษให้
.
.
นางอุตตราบอกว่า...
“พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาต
ให้ไปขอโทษพระองค์แทน
ถ้าพระองค์ยกโทษให้
เราก็จะยกโทษให้”
.
.
รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทราบเรื่อง
ทรงยกโทษให้นางสิริมา
และทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะ
ผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน
และเทศนาเป็นพระคาถาว่า
.
.
“อักโกเธนะ ชิเน โกธัง
อสาธุง สาธุน่ ชิเน
ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ
สัจเจนาลิกะวาทินัง”
.
.
แปลเป็นไทยได้ว่า...
พึงชนะคนโกรธด้วยความใจเย็น
พึงชนะคนร้ายๆด้วยความดี
พึงชนะคนขี้เหนียวด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหวด้วยการพูดความจริง
.
.
จบเทศนานี้และพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงนางสิริมาก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี
เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรท
ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็นประจำ
โดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาไก้
.
.
นางสิริมาทำแบบทุกวัน จนเวลาผ่านไป..
มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมามา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา
.
.
ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่า
ฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมา
ก็เกิดความหลงรักแค่เพียงจากเรื่องเล่า
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง
วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง
เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง
.
.
รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทางไปรับบิณฑบาต
แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนัก
แทบจะลุกจากห้องไม่ไหว
แต่ก็พยายามลุกออกมา
โดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง
เพราะไม่ไหวจริงๆ
.
.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรัก
คิดในใจว่า “ขนาดป่วยไม่สบาย
ยังงดงามขนาดนี้
นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติ
จะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย”
.
.
ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะ
ลุ่มหลงในนางสิริมา
กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลง
ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์
เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา
ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน
.
.
ตัดกลับมาที่นางสิริมา
วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ
และการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง
เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย
.
.
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลง
และการตายของนางสิริมา
จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี
ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ
.
.
จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4
ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง
มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ
ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง
สภาพคือแทบดูไม่ได้ ใครเห็นเป็นจะอ้วก
.
.
วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา
พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่
.
.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้ว
ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา
แค่ได้ยินคำว่า “สิริมา”
เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ
.
.
เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน
พระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมา
เท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะ
ปรากฏไม่มีใครซื้อ
.
.
เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ
จาก 1,000
เหลือ 500
เหลือ 250
เหลือ 200
เหลือ 100
เหลือ 50
เหลือ 20
เหลือ 10
เหลือ 1
ก็ยังไม่มีใครเอา
จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลย
ก็ยังไม่มีใครเอา
.
.
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเทศนาสั่งสอน
โดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย
ว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้
ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะ
แต่วันนี้พอนางตายไปแล้ว
ผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วัน
ความงามของนางสิ้นและเสื่อมลง
ไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก
และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้ว
ยกให้เปล่าๆก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว
.
.
พอเทศนาจบ ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน
ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเอง
ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
.
.
.
.
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องของนางสิริมา
มี 3 อย่างด้วยกัน
.
.
เรื่องแรกคือ
คนเราต่อให้ทำผิดแค่ไหน
เมื่อรู้ตัวแล้ว ยังมีโอกาสกลับตัว
และเข้าถึงธรรมได้เสมอ
ไม่มีคำว่าช้าหรือสายเกินไป
.
.
นางสิริมาประกอบอาชีพที่ไม่ดีงามนัก
หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลข้อสามตลอดเวลา
ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างผิดทิศผิดทาง
จนกระทั่งเกือบจะได้ฆ่าคนไปแล้ว
.
.
แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าหลงผิด
แล้วกลับมาตั้งจิตในธรรม
ไม่มีอะไรสายไปทั้งนั้น
.
.
เรื่องที่สอง
คือ อำนาจของกิเลส
.
.
เราเรียนรู้จากภิกษุที่ลุ่มหลง
เป็นภิกษุแท้ๆ อยู่ในเพศสมณะ
แต่กลับปล่อยใจให้พ่ายต่อกิเลสราคะ
.
.
อำนาจของกิเลสมีฤทธิ์แรงจริงๆ
ขนาดสมณะเพศยังหลุดได้
แถมหลุดไปไกล
คนธรรมดาอย่างเราๆ
จึงต้องเฝ้าใจเราให้ดี
อย่าปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมาเหนือใจเราได้
.
.
เรื่องที่สามคือเรื่องความไม่เที่ยงของร่างกาย
ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง
เป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรม
คราว
สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด
.
.
การเสื่อมของร่างกาย
จริงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้
แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์
เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม
.
.
บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น
บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอย
บางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
บางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่น
.
.
ร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน
เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอ
เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง
.
.
แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้
มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
.
.
แต่พวกเรากลับ...
พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ
และทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
.
.
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ...
ต่อให้ร่างกายภายนอก
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
สวยงามแค่ไหน
พอตายไปไม่กี่วัน
ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี
.
.
อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย
เจริญพร
#เพจธรรมะย่อยมาแล้ว
#ธรรมะดีๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้
=====
ทำไมถึงต้องทำ
โสเภณีผู้บรรลุธรรม
.
.
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองเวสาลี
เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล
เศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก
.
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ
หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนี้
คือโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อนางอัมพปาลี
ถูกแต่งตั้งเป็นนาง “นครโสภิณี”
คือเป็นหญิงงามเมืองหรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี
.
.
เรียกว่าความงามของนาง
สวยสะคราญโฉมหาผู้ใดเทียบได้ยาก
มีศิลปะวิทยาการชั้นสูง ร้องเพลงเพราะ ฟ้อนรำสวย
เอาใจเก่ง เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดี
.
.
ทำให้ค่าตัวนางสูงมาก
ผู้ชายใดอยากครอบครองนาง
ต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง 50 กหาปณะ
หรือคิดเป็นเงินบาทคือ 130,000 บาท!
.
.
เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้น
ถึงจะครอบครองนางได้
.
.
สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์
กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่
ต่างมีความฝัน มีความปรารถนา
ที่อยากมาสัมผัสนางซักครั้งในชีวิตทั้งนั้น
ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมาย
เดินทางมาที่เวสาลี เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนาง
.
.
กลายเป็นนำพาให้เศรษฐกิจการค้าการขาย
พลอยรุ่งเรื่องเติบโตขึ้นมาด้วย
เพราะนางอัมพปาลี เป็น magnet นั่นเอง
.
.
ว่ากันว่า หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลี
คือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์
เห็นเวสาลีเจริญเพราะมีนางนครโสภิณี
จึงเอาไอเดียไปใช้ที่เมืองของตัวเองบ้าง
.
.
กลับเมืองไป ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด
ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง ชื่อนางสาลวดี
เป็นนางนครโสภิณีคนแรกแห่งเมืองราชคฤห์
.
.
นางสาลวดี ถูกฝึกถูกเทรนศิลปะวิทยาการต่างๆ
ด้วยพื้นฐานทุนเดิมนางสวยมากอยู่แล้ว
พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักจนเป็นผู้หญิงที่มีงามพร้อม
ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงาม
เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงไพเราะ พูดจามีเสน่ห์
.
.
ทำให้นางค่าตัวแพงกว่านางอัมพปาลีอีก
คือใครอยากเชยชมนาง ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 100 กหาปนะ หรือเกือบ 260,000 บาท!!
แพงกว่านางอัมพปาลีถึง 2 เท่า!
.
.
จากคนฐานะธรรมดา
กลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมา
นางเลยใช้ชีวิตประมาท
ทำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของอาชีพนาง
ถ้าให้ใครรู้ ความ popular ของนางก็จะลดลง
.
.
นางจึงปิดบังไว้ พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชาย
ก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันที
แต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญ
มีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยง
เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์
จนสุดท้ายกลายเป็น หมอชีวกโกมารภัจจ์
หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก
เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า
.
.
กลับมาที่นางสาลวดี
พอทิ้งลูกไปแล้ว ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิม
มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด
แต่สุดท้ายนางก็พลาดท้องอีก
.
.
แต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิง
นางคิดว่าไหนๆนางก็เริ่มแก่ละ
เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่งนางนครโสภิณีของนางดีกว่า นางเลยเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “นางสิริมา”
.
.
พอเติบใหญ่ นางสิริมาก็ครองได้ตำแหน่งนางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์ต่อจากแม่ของนางสมใจ
.
.
นางสิริมาเป็นสตรีที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตน
ความงามของนาง ถูกว่ากันว่างามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณีที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป
จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกแง่ทุกมุม
ทุกเทคนิคเคล็ดลับในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็ก
.
.
ด้วยความครบทั้งภายนอกภายในแห่งความเป็นโสเภณีจึงทำให้นางมีค่าตัวสูงถึง 1,000 กหาปณะ หรือ 2.6 ล้านบาท!!
แพงกว่าแม่ของนาง นางสาลวดีถึง 10 เท่า!
.
.
จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้านเลย
นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวย
บ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้ถึง 500 คน!
.
.
จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
Job ใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางออกงาน
ในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือ
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นางอุตตรา
มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง
เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน
ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท!
.
.
สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น
คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน
จิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด
เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า
พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน
.
.
แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกัน
บ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามี
เป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย
ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ
และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น
นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม
เหมือนตอนก่อนแต่งงาน
.
.
นางอุตตราจึงขอสามี
จะจ้างนางสิริงาม หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง
มาปรนนิบัติสามี 15 วัน
และขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต
และถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
.
.
สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมามานาน
เลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล
และขอบใจภรรยายิ่งนัก
.
.
นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตรา
สามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ
เพราะได้ทำบุญใส่บาตร
นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน
ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจ
.
.
วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ
นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน
อยู่ๆเลยเกิดความหึงหวง
อยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา
เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรา
.
.
นางอุตตราเห็นดังนั้น
จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌานในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า
.
.
“หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเรา
ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้
ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเรา
แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย”
.
.
สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด
ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตราก็กลายเป็นน้ำเย็น
บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมา
และจะรุมทำร้ายให้จงหนัก
.
.
นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวาง
ไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย
นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดสุดๆในใน
เลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา
ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
อยากให้นางยกโทษให้
.
.
นางอุตตราบอกว่า...
“พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาต
ให้ไปขอโทษพระองค์แทน
ถ้าพระองค์ยกโทษให้
เราก็จะยกโทษให้”
.
.
รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทราบเรื่อง
ทรงยกโทษให้นางสิริมา
และทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะ
ผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน
และเทศนาเป็นพระคาถาว่า
.
.
“อักโกเธนะ ชิเน โกธัง
อสาธุง สาธุน่ ชิเน
ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ
สัจเจนาลิกะวาทินัง”
.
.
แปลเป็นไทยได้ว่า...
พึงชนะคนโกรธด้วยความใจเย็น
พึงชนะคนร้ายๆด้วยความดี
พึงชนะคนขี้เหนียวด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหวด้วยการพูดความจริง
.
.
จบเทศนานี้และพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงนางสิริมาก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี
เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรท
ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็นประจำ
โดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาไก้
.
.
นางสิริมาทำแบบทุกวัน จนเวลาผ่านไป..
มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมามา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา
.
.
ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่า
ฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมา
ก็เกิดความหลงรักแค่เพียงจากเรื่องเล่า
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง
วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง
เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง
.
.
รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทางไปรับบิณฑบาต
แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนัก
แทบจะลุกจากห้องไม่ไหว
แต่ก็พยายามลุกออกมา
โดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง
เพราะไม่ไหวจริงๆ
.
.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรัก
คิดในใจว่า “ขนาดป่วยไม่สบาย
ยังงดงามขนาดนี้
นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติ
จะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย”
.
.
ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะ
ลุ่มหลงในนางสิริมา
กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลง
ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์
เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา
ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน
.
.
ตัดกลับมาที่นางสิริมา
วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ
และการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง
เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย
.
.
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลง
และการตายของนางสิริมา
จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี
ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ
.
.
จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4
ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง
มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ
ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง
สภาพคือแทบดูไม่ได้ ใครเห็นเป็นจะอ้วก
.
.
วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา
พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่
.
.
ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้ว
ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา
แค่ได้ยินคำว่า “สิริมา”
เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ
.
.
เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน
พระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมา
เท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะ
ปรากฏไม่มีใครซื้อ
.
.
เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ
จาก 1,000
เหลือ 500
เหลือ 250
เหลือ 200
เหลือ 100
เหลือ 50
เหลือ 20
เหลือ 10
เหลือ 1
ก็ยังไม่มีใครเอา
จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลย
ก็ยังไม่มีใครเอา
.
.
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเทศนาสั่งสอน
โดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย
ว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้
ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะ
แต่วันนี้พอนางตายไปแล้ว
ผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วัน
ความงามของนางสิ้นและเสื่อมลง
ไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก
และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้ว
ยกให้เปล่าๆก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว
.
.
พอเทศนาจบ ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน
ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเอง
ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
.
.
.
.
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องของนางสิริมา
มี 3 อย่างด้วยกัน
.
.
เรื่องแรกคือ
คนเราต่อให้ทำผิดแค่ไหน
เมื่อรู้ตัวแล้ว ยังมีโอกาสกลับตัว
และเข้าถึงธรรมได้เสมอ
ไม่มีคำว่าช้าหรือสายเกินไป
.
.
นางสิริมาประกอบอาชีพที่ไม่ดีงามนัก
หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลข้อสามตลอดเวลา
ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างผิดทิศผิดทาง
จนกระทั่งเกือบจะได้ฆ่าคนไปแล้ว
.
.
แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าหลงผิด
แล้วกลับมาตั้งจิตในธรรม
ไม่มีอะไรสายไปทั้งนั้น
.
.
เรื่องที่สอง
คือ อำนาจของกิเลส
.
.
เราเรียนรู้จากภิกษุที่ลุ่มหลง
เป็นภิกษุแท้ๆ อยู่ในเพศสมณะ
แต่กลับปล่อยใจให้พ่ายต่อกิเลสราคะ
.
.
อำนาจของกิเลสมีฤทธิ์แรงจริงๆ
ขนาดสมณะเพศยังหลุดได้
แถมหลุดไปไกล
คนธรรมดาอย่างเราๆ
จึงต้องเฝ้าใจเราให้ดี
อย่าปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมาเหนือใจเราได้
.
.
เรื่องที่สามคือเรื่องความไม่เที่ยงของร่างกาย
ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง
เป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมคราว
สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด
.
.
การเสื่อมของร่างกาย
จริงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้
แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์
เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม
.
.
บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น
บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอย
บางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
บางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่น
.
.
ร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน
เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอ
เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง
.
.
แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้
มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
.
.
แต่พวกเรากลับ...
พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ
และทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
.
.
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ...
ต่อให้ร่างกายภายนอก
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
สวยงามแค่ไหน
พอตายไปไม่กี่วัน
ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี
.
.
อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย
เจริญพร
#เพจธรรมะย่อยมาแล้ว
#ธรรมะดีๆที่ใครๆก็เข้าถึงได้
=====