☻ รักต้องเลือก ☻ บทที่ 2 ...

กระทู้สนทนา
[ บทที่ 1    https://ppantip.com/topic/40789979 ]

บทที่ 2 ...


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตครับผม
.
.
...............


ติ๊นาเหลือบมองหินอ่อนแผ่นเล็กริมขอบโต๊ะทำงาน ขณะเปิดรูปจากแฟลชไดร์ฟไป คุยกันไป ตลอดเวลาที่พรีเซนต์สินค้า ‘คุณดุลยรัฐ’ ไม่เคยสบตามาแม้แต่ครั้งเดียว  แหม.. ดูเหมือนเซลล์แมนมือใหม่กำลังหลบตาลูกค้าไม่มีผิด แล้วอะไรกันหนอ? ที่ทำให้ต้องหลบเลี่ยงขนาดนั้น
 
ตัวอย่างหินอ่อนสารพัดโทนสี สารพัดขนาด ติ๊นามองแล้วลายตาไปหมด ความชัดเจนของเฉดสีรวมทั้งลายหินราวกับแม่น้ำร้อยสายนั้น ไม่ต้องพูดถึง มองแล้วเหมือนใครกำลังหงายมือให้ดูตรงหน้า  เส้นชีวิต เส้นการงาน เส้นความรักดูจะพันกันจนอีนุงตุงนังไปหมด แต่แปลกใจตัวเองเหลือเกิน.. เวลามองใบหน้าคุณดุลยรัฐ ทำไมมันแจ่มชัดแทบจะนับขนตาเขาได้ด้วยซ้ำ
 
ใบหน้าสะอาดสะอ้าน คมคาย คิ้วดกหนา จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีนิลเป็นประกาย   โอ๊ะ..  มองแล้วทำไมหัวใจติ๊นามันหวิวโหวงชอบกล
 
ขณะสนทนากันไป ติ๊นาได้แต่ ..อือฮึ! ..เหรอคะ? ..จริงเหรอคะ?   ..อุ๊ย!  ขนตาคุณดุลยรัฐสวยจัง ..  ประโยคหลัง ติ๊นาได้แต่พูดกับตัวเองในใจ
 
เราคุยฉอเลาะกันอย่างมีความสุข โอ๊ย!  ไม่ใช่  ไม่ใช่  เราคุยกันอย่างสบาย ๆ ไม่เน้นที่จะต้องสรุปผลในเรื่องใด เพราะติ๊นาแค่ต้องการสเปกวัสดุพื้นผิวแค่นั้นเอง คนตัดสินใจเลือกวัสดุคือผู้ใหญ่ของบริษัทอยู่แล้ว ดังนั้น การพบกันในครั้งนี้จึงยังไม่ใช่การพบกันครั้งสุดท้าย  แน่นอน  มันแน่ยิ่งกว่าแน่อยู่แล้ว มันยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
 
เวลาล่วงผ่านจนบ่ายสี่โมงสามสิบนาที คุณดุลยรัฐถึงได้เสร็จสิ้นขั้นตอนธุรกิจ ติ๊นามองเห็นตัวเลขจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ  ตายแล้ว!..  ดนัยมาหรือยังหนอ? เขามาตอนสี่โมงครึ่งเป็นประจำ พอคิดได้อย่างนั้นติ๊นาเลยต้องทำทีขอออกไปสั่งงานลูกน้อง  ขอให้คุณดุลยรัฐรอสักครู่ซึ่งเขาต้องรออยู่แล้ว ไม่รอได้ไง แววตาของเขาหม่นลงเห็น ๆ ตอนติ๊นาบอกว่าวันนี้คงพอแค่นี้ก่อนนะคะ  คุณดุลยรัฐ
 
ไม่เป็นไรหรอก..  เดี๋ยวได้เจอกันอีกอยู่แล้ว  ถ้าคุณดุลยรัฐชักแม่น้ำมาหาเหตุเจอกันไม่ได้  เดี๋ยวติ๊นาจัดการให้เอง
 
พอออกไปมองหาใครคนหนึ่งไม่เจอ ติ๊นาก็รีบกลับเข้าห้องทำงาน ตอนนี้ถึงเวลาบอกลากันแล้ว คุณดุลยรัฐยืนรออยู่ และแล้วประโยคที่รอฟังจากปากเขามานานก็หล่นปิ๊งออกมาราวกับดอกพิกุลร่วง
 
“อยากชวนคุณติ๊นาทานข้าวด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่กล้าเอ่ยปากซักทีครับ วันนี้ดูคุณติ๊นาคงจะเหนื่อยกับการเดินทาง คราวหน้าผมขอเลี้ยงข้าวซักมื้อได้มั้ยครับ? ไม่ใช่การโน้มน้าวเรื่องธุรกิจใด ๆ แค่อยากทานข้าวกับคุณติ๊นาแค่นั้นเองครับ”
 
แสงหรี่จากโคมไฟดาวน์ไล้ท์คล้ายกับมันสว่างพรึ่บ!ขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ขนตาคุณดุลยรัฐยังปกติ แต่ขนตาของติ๊นา.. รู้สึกได้เลยกับการกะพริบแล้วกะพริบอีก เหมือนมองเห็นฝูงหิ่งห้อยระยิบระยับเต็มไปหมดทั้งห้อง เอ.. หรือนี่จะเป็นอาการเริ่มต้นของคนกำลังจะเป็นลม
 
“ได้เลยค่ะ ได้ทุกเมื่อเลย เพราะติ๊นารอประโยคนี้มานานแสนนานแล้ว ”    ..นั่นคือประโยคที่ติ๊นาพูดกับตัวเองในใจ
 
แต่ที่พูดได้จริง ๆ
 
“ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเวลาคุณดุลยรัฐ  แล้วติ๊นาก็พอมีเวลาพอดี ยินดีเสมอค่ะ แต่ไม่ต้องมีซองคอมมิชชั่นอะไรมาด้วยนะคะ เพราะถ้าการไปทานข้าวเป็นไปด้วยวัตถุประสงค์อย่างนั้น ติ๊นาก็ไม่อยากไปค่ะ”
 
คุณดุลยรัฐแทบจะพูดไม่เป็นประโยค เขาตะกุกตะกักกับการอธิบายเรื่องคอมมิชชั่นยืดยาว แต่ติ๊นาว่า สิ่งที่ทำให้คุณดุลยรัฐพูดจาติดขัด น่าจะมาจากอาการเป็นปลื้มมากกว่า ที่จับความรู้สึกเขาได้อย่างนั้น เพราะดวงตาสีนิลคู่งามกำลังเต้นระบำอยู่เห็น ๆ
 
เราร่ำลากันอย่างอาลัย ไม่ใช่ .. ไม่ใช่  เราเอ่ยลากันด้วยดี คุณดุลยรัฐเดินกลับออกไปทางล็อบบี้รับแขก ติ๊นาบังเหลี่ยมร่างสูงของเขาออกมาส่ง พยายามเอนตัวมองผ่านลำแขนของคุณดุลยรัฐซ้ายทีขวาที  โล่งอก  ไม่เห็นเจ้าชายอีกคนมารอแต่อย่างใด
 
“เป็นไงจ๊ะ! เจ้าหญิง”

ติ๊นาตัวเย็นวาบ หันกลับไปทางซ้าย เห็นดนัยกำลังเดินเข้ามาหา  ตายแล้ว..  แล้วเมื่อสักครู่เขาจะมองเห็นติ๊นาออกมาส่งใครหรือเปล่า? แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรนี่  ติ๊นาไม่ได้เดินซบอกคุณดุลยรัฐออกมานี่นา และคุณดุลยรัฐก็เดินหายไปแล้ว

“ตะเองโผล่มาไงเนี่ย”  ติ๊นาถามดนัย ทำเป็นใจดีสู้สิงโต

“ไปเข้าห้องน้ำมา” สิงโตตอบ

“เมื่อกี้ตะเองเห็นใครรึเปล่า? ”

“ไม่เห็นใครนี่ ไม่เห็นต้องไปสนใจใครด้วย เพราะคนที่สนใจอยู่ตรงนี้ไง”  โอยย..  แล้วเมื่อไหร่ติ๊นาจะลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้ กาแฟดำหวานก็ลดจำนวนแก้วลงแล้ว  ที่ยังเผลอจิบอยู่ก็ใส่น้ำตาลแค่ปลายช้อน แต่น้ำตาลซึ่งมาจากเจ้าชายคนนี้  หลบเลี่ยงอย่างไรก็ไม่พ้น เฮ้อออ..

เขินอายแต่พองาม  แล้วติ๊นาก็ขอตัวเข้าไปเก็บข้าวของในห้องทำงาน

ไม่ถึงห้านาที  เราก็พร้อมแล้วสำหรับการออกไปดินเน่อร์กัน

..............

..............

ช่างสวยงามเหลือเกิน..   กับบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยาในยามเย็น



วันนี้ช่างเป็นอะไรที่เข้าทางเสียจริง  ติ๊นาแค่ออกอาการเหนื่อยล้า ดนัยเลยกลายเป็นฝ่ายชวนคุย ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่รู้จักกันมา ติ๊นาว่าคนที่ใช้คำพูดมากมายหลายหมื่นเล่มเกวียนน่าจะเป็นติ๊นามากกว่า  วันนี้กลับกลายเป็นดนัยที่คุยได้คุยดีแทบจะไม่มีเว้นวรรค  เขาคุยได้แม้กระทั่งเรื่องที่ไปเจอพนักงานสูบบุหรี่นอกห้างซึ่งผิดจุดบริเวณอนุญาต เผลออบรมสั่งสอนไปสารพัดสารเพ บอกจุดที่ทางห้างฯ จัดไว้ให้ แต่พอพนักงานเดินตัวลีบหายไป ตัวเองก็เผลอควักบุหรี่ออกมาสูบ ตรงนี้เอง ที่ติ๊นาได้จังหวะแทรก

“ไหนตะเองบอกว่าเลิกได้เกือบอาทิตย์แล้ว”

“เอ่อ.. พอดีเหลืออยู่สองสามมวนในลิ้นชักโต๊ะ อีกอย่าง วันนี้ก็มีประชุม เลยอยากผ่อนคลายหน่อย แค่นั้นเอง” ดนัยแก้ตัวเสียงอ่อย ยิ้มแก้เขิน “แต่ก็ทิ้งไปหมดแล้วนะ สัญญากับติ๊นาแล้วก็ต้องทำตามสัญญาให้ได้สิ” เขายิ้มแป้นเสริมคำพูดมา  “เอ่อ เพิ่งนึกได้ เรื่องลาพักร้อนเดือนหน้านั้น..

ดนัยเลื่อนมือแนบโต๊ะอาหารมาลูบโคนนิ้วมือติ๊นา  ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยละลาบละล้วงอะไรมากไปกว่าแตะหลังให้เดิน หรือไม่ก็แตะไหล่ส่งสัญญาณเข้าแถวหน้าโรงหนัง หรือแค่แตะข้อศอกเพื่อส่งสัญญาณจะเลื่อนเก้าอี้ให้ ในยามที่เราหาโต๊ะในร้านอาหารได้แล้ว

ไม่ใช่ติ๊นาจะหัวโบราณหรือขอให้เขาทำตัวอย่างนั้น  แต่เขาเองนั่นแหละที่พยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสุดขอบฟ้าเสียเอง  คิด ๆ ไปแล้ว นั่นเป็นอากัปกิริยาของความน่ารักเหมือนกันนะ  ดูเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้ชายด้วย  เสน่ห์ซึ่งหายากขึ้นทุกวัน สำหรับผู้ชายในยุคนี้

ติ๊นายังไม่มีโอกาสเล่าให้แม่ฟังเลยว่า.. แฟนหนุ่มของลูกสาวคนนี้ไม่ใช่คนมือไวใจเร็วนะแม่  เป็นสุภาพบุรุษตามที่แม่วาดหวังไว้ทุกประการ  หากได้โอกาสเล่าให้ฟังต่อหน้า ตอนนั้น แม่คงอยากเจอหน้าดนัยอย่างแน่นอน แล้วก็แน่นอนว่า  แม่คงจะชวนดนัยไปถวายภัตตาหารพระในตอนเช้าด้วยกันเป็นแน่ โดยไม่ชวนติ๊นาไปด้วย เพราะเวลาแม่ต้องการความเป็นส่วนตัวกับใครสักคน แม่มักจะสกัดมือที่สามออกนอกเฟรมเสมอ

“ทำไมไม่เห็นตื่นเต้นอะไรเลย” ดนัยส่งเสียงแปลกใจมา

“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นนี่นา  เดี๋ยวตะเองก็พูดเหมือนเดิมอีก ..ขอโทษนะติ๊นา  ..มีอะไรผิดแผนอีกแล้วติ๊นา  ..คราวหน้าคงลาพักได้แน่จ้ะ  ..เฮ้อ.. ไม่เห็นมีอะไรให้คาดหวังได้ซักที”

“แต่ครั้งนี้คาดหวังได้แล้วนะ เพราะได้สิทธิลาพักจริง ๆ  และก็หลายวันด้วย หลายวันพอที่จะไปเจอแม่ติ๊นาซักที”

คำพูดของดนัยทำให้หัวใจติ๊นาเต้นแรง สายตามองจ้องมือตัวเองบนโต๊ะ โดยมีอีกมือของดนัยซ้อนทับอยู่

ดนัยเกลี่ยหลังมือติ๊นา  คำพูดของแม่เมื่อปีมะโว้ดังกระหึ่มในหัว ... รักนวลสงวนตัว ไม่ต้องกลัวผู้ชายว่า แต่หากให้ท่า  อย่ามาว่าแม่ไม่เตือน จำไว้! ...

ติ๊นาตวัดมือเขาโดยไม่รู้ตัว พอมือนุ่มนั้นพลิกหงาย แค่นั้นก็พอแล้วแหละ  ติ๊นาคว้ามือดนัยแน่นทันที

“สัญญาต้องเป็นสัญญานะตะเอง ถ้าตะเองผิดสัญญา อย่ามาง้ออะไรล่ะ” ทำเป็นพูดดีออกไป แต่จริง ๆ ในใจหวิววาบ!

ถ้าเขาไม่ง้อล่ะ?

แหม..  ทำเป็นปากดีไปได้    ยัยติ๊นา

พาพันชอบ

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่