...............
ติ๊นาขยับแผ่นหินอ่อนเล็ก ๆ เรียงกันริมขอบโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มต้นเปิดดูตัวอย่างที่เหลือจากแฟลชไดร์ฟไป คุยกันไป ตลอดเวลาที่พรีเซนต์สินค้า คุณดุลยรัฐไม่เคยสบตามาแม้แต่ครั้งเดียว ดูเหมือนผู้ต้องสงสัยกำลังหลบตาพนักงานสอบสวนไม่มีผิด แล้วอะไรกันเหรอ ที่ทำให้ต้องหลบเลี่ยงขนาดนั้น
ตัวอย่างหินอ่อนสารพัดโทนสี สารพัดขนาด ติ๊นามองตามแล้วลายตาไปหมด ความชัดเจนแม้แต่เฉดสี ลายเส้นหินราวกับแม่น้ำแยงซีแกียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองแล้วมันเหมือนใยแมงมุมซ้อนกันไปมาไม่มีผิด แต่แปลกใจตัวเองเหลือเกิน ทำไมเวลามองใบหน้าคุณดุลยรัฐ ทำไมมันแจ่มชัดแทบจะนับขนตาเขาได้ด้วยซ้ำ
ใบหน้าสะอาดสะอ้าน คมคาย คิ้วดกหนา จมูกเป็นสันโด่ง ดวงตาสีนิลเป็นประกาย โอ๊ะ.. มองแล้วทำไมหัวใจติ๊นามันหวิวโหวงนะ
ขณะสนทนากันไป ติ๊นาได้แต่
..อือฮึ !...เหรอคะ...จริงเหรอคะ... อุ๊ย ขนตาคุณดุลยรัฐสวยจังเลยค่ะ ..ประโยคหลัง ติ๊นาพูดกับตัวเองในใจ
เราคุยฉอเลาะกันอย่างมีความสุข อุ๊บ! ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เราคุยกันอย่างสบาย ๆ ไม่เน้นที่จะต้องสรุปในเรื่องใด เพราะติ๊นาเองก็แค่ต้องการสเปกวัสดุพื้นผิวแค่นั้น คนตัดสินใจเลือกคือผู้ใหญ่ของบริษัทต่างหาก ดังนั้นการพบกันในครั้งนี้จึงยังไม่ใช่การพบกันครั้งสุดท้าย แน่นอน มันยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ติ๊นาไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
เวลาล่วงไปจนบ่ายสี่โมงสามสิบห้านาที คุณดุลยรัฐก็เสร็จสิ้นขั้นตอนธุรกิจของเขา ติ๊นามองเห็นตัวเลขจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ ตายแล้ว ดนัยมาหรือยังหนอ เขามาตอนสี่โมงครึ่งเป็นประจำนี่นา พอคิดได้อย่างนั้น ติ๊นาเลยต้องทำทีขอออกไปสั่งงานลูกน้อง ขอให้คุณดุลยรัฐรอสักครู่ ซึ่งเขาต้องรออยู่แล้ว ไม่รอได้ไง แววตาของเขาหม่นลงเห็น ๆ ตอนติ๊นาบอกว่าวันนี้คงพอแค่นี้ก่อนนะคะ คุณดุลยรัฐ
ไม่เป็นไรหรอก.. เดี๋ยวต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว ถึงคุณดุลยรัฐนึกหาเหตุผลไม่ได้ เดี๋ยวติ๊นาจะเป็นคนหาให้เอง
พอออกไปมองหาใครคนหนึ่งไม่พบ ติ๊นาก็รีบกลับเข้าห้องทำงานอีกหน ตอนนี้ถึงเวลาบอกลากันแล้ว คุณดุลยรัฐยืนรออยู่ และแล้วประโยคที่รอฟังจากปากเขามานมนานก็หล่นตุบ!ออกมาราวกับดอกมะลิร่วง
"อยากชวนคุณติ๊นาทานข้าวด้วยกันมาหลายหนแล้ว แต่ไม่กล้ารบกวน วันนี้ดูคุณติ๊นาคงจะเหนื่อยกับการเดินทาง งั้นคราวหน้าผมขอเลี้ยงข้าวซักมื้อได้มั๊ยครับ ไม่ใช่การล็อบบี้หรือโน้มน้าวเรื่องธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น แค่อยากทานข้าวกับคุณติ๊นาแค่นั้นเองครับ"
แสงไฟพอประมาณในห้อง คล้ายกับมันสว่างพรึ่บ!ขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ขนตาคุณดุลยรัฐเป็นปกติ แต่ขนตางอนของติ๊นานี่สิ รู้สึกได้ รู้สึกได้เลยกับการกะพริบแล้วกะพริบอีก แถมยังมองเห็นฝูงหิ่งห้อยระยิบระยับไปหมดทั้งห้อง เอ... หรือนี่จะเป็นอาการเริ่มต้นของคนกำลังจะหน้ามืดเป็นลม
"ได้เลยค่ะ ได้ทุกเมื่อเลย เพราะติ๊นารอประโยคนี้มานานแสนนานแล้ว" ... นั่นคือประโยคที่ติ๊นาพูดกับตัวเองในใจ
แต่ที่พูดได้จริงๆ
"ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเวลาคุณดุลยรัฐ แล้วติ๊นาก็พอมีเวลาพอดี
ยินดีเสมอค่ะ แต่ไม่ต้องมีซองคอมมิชชั่นอะไรมาด้วยนะคะ เพราะถ้าการไปทานข้าวเป็นไปด้วยวัตถุประสงค์อย่างนั้น ติ๊นาก็ไม่อยากไปค่ะ"
คุณดุลยรัฐแทบจะพูดไม่เป็นประโยค เขาตะกุกตะกักกับการอธิบายเรื่องคอมมิชชั่นยืดยาว แต่ติ๊นาว่า สิ่งที่ทำให้คุณดุลยรัฐพูดจาติดขัด น่าจะมาจากอาการดีใจ ..เป็นปลื้มเสียมากกว่า ที่จับความรู้สึกของเขาได้อย่างนั้น เพราะดวงตาสีนิลคู่นั้นกำลังเต้นระบำกันอยู่เห็น ๆ
เราร่ำลากันอย่างอาลัย ไม่ใช่! ไม่ใช่! เราเอ่ยลากันด้วยดี คุณดุลยรัฐเดินกลับออกไปทางล็อบบี้รับแขก ติ๊นาอาศัยบังเหลี่ยมร่างสูงของเขาออกมาส่ง พยายามเอนตัวมองผ่านลำแขนของคุณดุลยรัฐซ้ายทีขวาที โล่งอก! ไม่เห็นเจ้าชายอีกคนมารอแต่อย่างใด
"
เป็นไงจ๊ะ! เจ้าหญิง"
...................
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
ติ๊นาขยับแผ่นหินอ่อนเล็ก ๆ เรียงกันริมขอบโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มต้นเปิดดูตัวอย่างที่เหลือจากแฟลชไดร์ฟไป คุยกันไป ตลอดเวลาที่พรีเซนต์สินค้า คุณดุลยรัฐไม่เคยสบตามาแม้แต่ครั้งเดียว ดูเหมือนผู้ต้องสงสัยกำลังหลบตาพนักงานสอบสวนไม่มีผิด แล้วอะไรกันเหรอ ที่ทำให้ต้องหลบเลี่ยงขนาดนั้น
ตัวอย่างหินอ่อนสารพัดโทนสี สารพัดขนาด ติ๊นามองตามแล้วลายตาไปหมด ความชัดเจนแม้แต่เฉดสี ลายเส้นหินราวกับแม่น้ำแยงซีแกียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองแล้วมันเหมือนใยแมงมุมซ้อนกันไปมาไม่มีผิด แต่แปลกใจตัวเองเหลือเกิน ทำไมเวลามองใบหน้าคุณดุลยรัฐ ทำไมมันแจ่มชัดแทบจะนับขนตาเขาได้ด้วยซ้ำ
ใบหน้าสะอาดสะอ้าน คมคาย คิ้วดกหนา จมูกเป็นสันโด่ง ดวงตาสีนิลเป็นประกาย โอ๊ะ.. มองแล้วทำไมหัวใจติ๊นามันหวิวโหวงนะ
ขณะสนทนากันไป ติ๊นาได้แต่ ..อือฮึ !...เหรอคะ...จริงเหรอคะ... อุ๊ย ขนตาคุณดุลยรัฐสวยจังเลยค่ะ ..ประโยคหลัง ติ๊นาพูดกับตัวเองในใจ
เราคุยฉอเลาะกันอย่างมีความสุข อุ๊บ! ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เราคุยกันอย่างสบาย ๆ ไม่เน้นที่จะต้องสรุปในเรื่องใด เพราะติ๊นาเองก็แค่ต้องการสเปกวัสดุพื้นผิวแค่นั้น คนตัดสินใจเลือกคือผู้ใหญ่ของบริษัทต่างหาก ดังนั้นการพบกันในครั้งนี้จึงยังไม่ใช่การพบกันครั้งสุดท้าย แน่นอน มันยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ติ๊นาไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
เวลาล่วงไปจนบ่ายสี่โมงสามสิบห้านาที คุณดุลยรัฐก็เสร็จสิ้นขั้นตอนธุรกิจของเขา ติ๊นามองเห็นตัวเลขจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ ตายแล้ว ดนัยมาหรือยังหนอ เขามาตอนสี่โมงครึ่งเป็นประจำนี่นา พอคิดได้อย่างนั้น ติ๊นาเลยต้องทำทีขอออกไปสั่งงานลูกน้อง ขอให้คุณดุลยรัฐรอสักครู่ ซึ่งเขาต้องรออยู่แล้ว ไม่รอได้ไง แววตาของเขาหม่นลงเห็น ๆ ตอนติ๊นาบอกว่าวันนี้คงพอแค่นี้ก่อนนะคะ คุณดุลยรัฐ
ไม่เป็นไรหรอก.. เดี๋ยวต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว ถึงคุณดุลยรัฐนึกหาเหตุผลไม่ได้ เดี๋ยวติ๊นาจะเป็นคนหาให้เอง
พอออกไปมองหาใครคนหนึ่งไม่พบ ติ๊นาก็รีบกลับเข้าห้องทำงานอีกหน ตอนนี้ถึงเวลาบอกลากันแล้ว คุณดุลยรัฐยืนรออยู่ และแล้วประโยคที่รอฟังจากปากเขามานมนานก็หล่นตุบ!ออกมาราวกับดอกมะลิร่วง
"อยากชวนคุณติ๊นาทานข้าวด้วยกันมาหลายหนแล้ว แต่ไม่กล้ารบกวน วันนี้ดูคุณติ๊นาคงจะเหนื่อยกับการเดินทาง งั้นคราวหน้าผมขอเลี้ยงข้าวซักมื้อได้มั๊ยครับ ไม่ใช่การล็อบบี้หรือโน้มน้าวเรื่องธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น แค่อยากทานข้าวกับคุณติ๊นาแค่นั้นเองครับ"
แสงไฟพอประมาณในห้อง คล้ายกับมันสว่างพรึ่บ!ขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ขนตาคุณดุลยรัฐเป็นปกติ แต่ขนตางอนของติ๊นานี่สิ รู้สึกได้ รู้สึกได้เลยกับการกะพริบแล้วกะพริบอีก แถมยังมองเห็นฝูงหิ่งห้อยระยิบระยับไปหมดทั้งห้อง เอ... หรือนี่จะเป็นอาการเริ่มต้นของคนกำลังจะหน้ามืดเป็นลม
"ได้เลยค่ะ ได้ทุกเมื่อเลย เพราะติ๊นารอประโยคนี้มานานแสนนานแล้ว" ... นั่นคือประโยคที่ติ๊นาพูดกับตัวเองในใจ
แต่ที่พูดได้จริงๆ
"ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเวลาคุณดุลยรัฐ แล้วติ๊นาก็พอมีเวลาพอดี ยินดีเสมอค่ะ แต่ไม่ต้องมีซองคอมมิชชั่นอะไรมาด้วยนะคะ เพราะถ้าการไปทานข้าวเป็นไปด้วยวัตถุประสงค์อย่างนั้น ติ๊นาก็ไม่อยากไปค่ะ"
คุณดุลยรัฐแทบจะพูดไม่เป็นประโยค เขาตะกุกตะกักกับการอธิบายเรื่องคอมมิชชั่นยืดยาว แต่ติ๊นาว่า สิ่งที่ทำให้คุณดุลยรัฐพูดจาติดขัด น่าจะมาจากอาการดีใจ ..เป็นปลื้มเสียมากกว่า ที่จับความรู้สึกของเขาได้อย่างนั้น เพราะดวงตาสีนิลคู่นั้นกำลังเต้นระบำกันอยู่เห็น ๆ
เราร่ำลากันอย่างอาลัย ไม่ใช่! ไม่ใช่! เราเอ่ยลากันด้วยดี คุณดุลยรัฐเดินกลับออกไปทางล็อบบี้รับแขก ติ๊นาอาศัยบังเหลี่ยมร่างสูงของเขาออกมาส่ง พยายามเอนตัวมองผ่านลำแขนของคุณดุลยรัฐซ้ายทีขวาที โล่งอก! ไม่เห็นเจ้าชายอีกคนมารอแต่อย่างใด
"เป็นไงจ๊ะ! เจ้าหญิง"
...................