ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32469898
.
.
ดนัยให้ติ๊นาเป็นคนเลือกร้าน ติ๊นาเลยเลือกร้านเงียบ ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นเคย บรรยากาศแบบนี้แหละถูกใจติ๊นานัก เงียบ ๆ สบาย ๆ โต๊ะแต่ละตัวอยู่ห่างกัน ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าโต๊ะใครก็โต๊ะใคร เวลาคนเขากระซิบกัน ก็จะได้ยินกันแค่สองคน คนอื่นไม่เกี่ยว
ช่วงเวลา ณ ตอนนี้
ดูเหมือนกับว่าโลกใบนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นเอง ติ๊นารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ
นับตั้งแต่คุยกันบนรถจนมาถึงร้านอาหาร ดนัยถือโอกาส เอ.. ไม่น่าจะเป็นการถือโอกาสนะ เพราะติ๊นาเองก็คว้ามือเขาคืนมาเหมือนกันยามที่ดนัยเผลอปล่อย ที่ต้องรีบคว้ามาใหม่ ก็เพราะเกรงว่าบรรยากาศจะขาดการปะติดปะต่อไปเสียดื้อ ๆ ติ๊นาจึงจำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนด้วยการกุมมือเขาเสียเอง และตอนนี้ก็ไม่รู้ใครกุมมือใครแล้วล่ะ เพราะนิ้วมือเราเกาะเกี่ยวสอดล็อกกันไปหมด
ฝ่ามือนุ่มนวลของดนัยช่วยลดความเยือกเย็นของสายลมอ่อนจากพื้นผิวน้ำลงอย่างไม่รู้ตัว อุณหภูมิในตัวติ๊นาปรับขึ้นมาอยู่ในลิมิตของความอบอุ่นค่อนไปทางร้อน ส่งผลให้เสื้อสูทสีกรมท่าที่คลุมทับเสื้อยืดคอโปโลสีม่วง เพิ่มอุณหภูมิขึ้นมา ติ๊นาเลยถอดเสื้อสูทวางไว้กับเก้าอี้ข้างตัวเสียเลย
บนโต๊ะว่างเปล่า ข้างโคมตะเกียงนวลแสง
สองมือของติ๊นา ไม่ใช่สิ.. ต้องเรียกว่าสี่มือของเราสิ ถึงจะถูก สี่มือของเราผลัดกันนวดอุ้งมือ และกดหลังมือให้กันและกัน ไปมา
"ถึงร้านอาหารตามสัญญาแล้วนี่ ทีนี้บอกได้รึยังว่า ตะเองมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ" ติ๊นาเริ่มก่อน
ดนัยมองสบตา "จริง ๆ ก็... ไม่มีอะไรหรอก"
"
นี่! อย่าโยกโย้สิ"
"ทานข้าวก่อน ทานไปคุยไปก็ได้นี่นา"
"ตะเองยิ่งพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากรู้เรื่องนะ "
ดูเหมือนดนัยจะยิ้มเจ้าเล่ห์ "อ่ะ งั้นต้องรีบแล้วล่ะ หมายถึงรีบสั่งอาหารนะ เพราะเด็กรับออเดอร์มาโน่นแล้ว" ลอยหน้าลอยตาพูดเสร็จก็ทำท่าผายมือขอเมนูรายการอาหารจากพนักงานทางร้าน ติ๊นาทำได้แค่ขมุบขมิบริมฝีปากสวย พูดแบบไม่มีเสียง '
ค น เ จ้ า เ ล่ ห์ ' ดนัยหัวเราะ
ไม่รู้ใครเป็นคนปล่อยมือใคร แต่ดูเหมือนจะเป็นเราทั้งสองที่ต่างคนต่างปล่อย ดนัยรับเล่มเมนูไปพลิกอ่าน ติ๊นาโบกมือไม่ขอรับอีกเล่ม ได้แต่ถามน้องผู้ชายคนรับเมนู ซึ่งพอเขาตอบรับว่ามี ติ๊นาก็สั่งพอร์คชอปสเต็กหมูสำหรับตัวเองทันที ความจริงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะสั่งเมนูอาหารจานเดียว ที่สำคัญคือต้องการตัดบทรายการอาหารซีฟู้ด ซึ่งคุณเจ้าชายกำลังอ่านเสียงดังฟังชัดอยู่อีกฟาก
กุ้งราดซ็อสหวาน. . .หมึกสดผัดไข่เค็ม. . .ปลาจาระเม็ ด ด ด . . .
"เมนูพวกนั้น รับรายการจากพี่ผู้ชายเลยจ้ะ" ติ๊นาชี้ไปทางอีกฟากโต๊ะ
ดนัยออกอาการชะงักที่ไม่เห็นติ๊นาสั่งเมนูกับข้าว แต่พอติ๊นาอธิบายว่าอยากทานอะไรง่าย ๆ ค่อย ๆ ทานไป คุยกันไป รายการสเต็กก็ดีนี่นา ค่อย ๆ ทานทีละคำ พูดคุยกันสี่ห้าคำ ทานอีกคำ คุยกันอีกเจ็ดแปดเก้าคำ สบาย ๆ ออก แค่นั้นล่ะ คุณเจ้าชายหัวเราะอย่างถูกใจ และก็สั่งตามติ๊นาเป็นพอร์คชอปสเต็กอีกหนึ่งที่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มรับออเดอร์ลับหลังไปแล้ว เราสบสายตากันนิ่ง
"เหมือนจะลองแกล้งยั่วให้ติ๊นาโกรธใช่มั๊ย? กับเรื่องที่โยกโย้ไม่ยอมพูดซักทีอยู่เนี่ย" ติ๊นาถามดนัย "แต่ดูแล้วตะเองเหม่อลอยหลายครั้งเหมือนกันนะรู้ตัวรึเปล่า? เหม่อยังไม่พอ ตอนอยู่บนถนนยังขับรถมือเดียวอีกด้วย นี่ดีนะ ที่ไม่ขับรถไปจูบก้นคนอื่นเขาเข้า"
ดนัยหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี "ไม่ได้เหม่อซักกะหน่อย มันเคลิ้มกับมือใครบางคนต่างหาก ว่าจะหันกลับมากุมพวงมาลัยหลายหนแล้วนะ แต่ใครบางคนต่างหากที่คว้ากลับไป"
"
นี่! ติ๊นาดึงให้หันมามองตาต่างหาก เพราะคนเราเวลาต้องพูดอะไรจริงจัง สายตาจะเป็นสิ่งยืนยันคำพูด"
ดนัยหัวเราะใหญ่ "จำได้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันนี่นา ต่างคนต่างเงียบ แล้วจะดึงมือไปสบตาทำไม"
"
โห.. เดี๋ยวนี้ไม่ลดราวาศอกเลยนะ ..คุณดนัย " ติ๊นามองตาเขา "ไม่ลดราวาศอกยังไม่พอ ยังกลายเป็นคนหยุมหยิมไปด้วยอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้จากใครมาเนี่ย"
"ก็กับติ๊นาไง"
อร๊ายย. . . ย . . !!
ติ๊นาร้องในใจ
ไม่ใช่กำลังจะวีน หรือวี้ดว้ายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นอารมณ์อึ้ง ก่อนที่ทำนบความขบขันจะทลายต่างหาก ติ๊นาหัวเราะจนดนัยออกสีหน้าเหรอหรา แต่แล้วก็ยิ้มแป้นโล่งอก ที่ไม่เห็นติ๊นาออกอาการวีน เอ.. อาการวีนแบบนางเอกมีหรือเปล่านะ
ดนัยตั้งสติ "โหเฮ๊ะ... ไม่เคยเห็นติ๊นาหัวเราะเต็ม ๆ แบบนี้เลย " พูดแล้วก็ยิ้มไปด้วย "ไม่รู้ถูกใจอะไรนักหนา"
คราวนี้ พอติ๊นาตั้งสติ จึงรีบเก็บอาการนางเอกกลับคืนมา แล้วชวนดนัยคุยเรื่องอื่น แต่ถึงแม้จะชวนคุยไปเรื่องอื่น ก็ยังไม่วายหลุดเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมาไม่ขาดสาย หัวเราะเพราะสลัดความขบขันออกไปไม่หมดเสียที แล้วความขบขันนั้น ก็คงมาจากคำพูดจี้ใจดำจากคุณเจ้าชายนั่นเอง คำพูดธรรมดา ๆ ไม่ได้เล่นมุกอะไรในบางครั้ง มันช่างคล้ายกระจกส่องสะท้อนติ๊นาเองเหมือนกันนะ สะท้อนให้เราเห็นตัวเราว่า ...เราเป็นเช่นไร...
ติ๊นามองข้ามตัวเองไป อาจเป็นเพราะเคยชินอยู่แต่กับการส่องกระจกให้ดนัยฝ่ายเดียว ส่องให้แล้วยังไม่พอ ยังตามเน้นให้เขาเห็น ให้เขาเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตัวเองอยากให้เป็นอีกด้วย
ถึงคราวที่ตัวเองต้องคอยรับฟัง คอยมองภาพสะท้อนกลับจากเขาด้วยแล้วล่ะ ติ๊นา เพราะนั่นมันหมายถึงการปรับตัวเข้าหา ซึ่งกันและกันไง
"พร้อมฟังรึยัง?..." ดนัยแทรกขึ้นมา
"ฟังอะไร"
"ก็เรื่องสำคัญที่ตั้งใจจะมาเล่าให้ฟังไง"
"เรื่องอะไร"
"
ว้า... " น้ำเสียงผสมการพ่นลมหายใจของคนเบื้องหน้า ทำให้ติ๊นาเลิกเล่น
"พร้อมแล้วค่า.. ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้"
"ขอมืออีกทีซิ"
"ไม่เอา.. มือช้ำหมดแล้ว"
ดนัยหัวเราะ "แล้วไม่คิดเหรอว่ามือคนอื่นจะเป็นไงมั่ง เนี่ยนะ ชักจะขยับไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนข้อนิ้วแต่ละข้อมันแข็งไปหมดแล้ว"
"น้อย ๆ หน่อยตะเอง ..น้อย ๆ หน่อย"
เราหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข
"อ้าว?... เลิกสนใจเรื่องสำคัญอีกซะแล้ว"
"หมดความกระตือรือร้นที่จะฟังแล้วค่า"
ติ๊นามองตามเสียงเครื่องยนต์เรือลากลำหนึ่ง เห็นอาการเคลื่อนตัวของเรือลำนี้แล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่า อีกกี่ชั่วโมงหนอ.. เจ้าท้องแบนจอมอึดลำนี้ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง
. . .
บางเส้นชัย แม้เส้นทางจะยาวไกลและเต็มไปด้วยความยากลำบากแค่ไหน ทว่า นั่นมิใช่อุปสรรคขวากหนามที่จะขวางกั้นเส้นชัยแต่อย่างใด อุปสรรคน่าจะอยู่ที่แรงใจต่างหากนะ เพราะหากมันเริ่มท้อและถอดแรงลงเมื่อไร ต่อให้มองเห็นเส้นชัยอยู่เบื้องหน้า มันก็จะไม่มีวันไปถึงปลายทางแห่งเส้นชัยนั้นได้หรอก . . .
"อาทิตย์หน้านี้แล้วนะ ที่ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อน" ดนัยเอ่ยแทรกเข้ามาในภวังค์ของติ๊นา
"หือ.... ว่าไงนะ"
"วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อนแล้ว"
ติ๊นาหันมามองหน้าคนพูดตรงหน้า "แน่ใจนะ ว่าได้หยุดจริง ๆ "
"แน่ใจสิ เพราะได้รับอนุมัติมาสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้เอง"
"ดีใจด้วยจังเลย" ติ๊นาดีใจด้วยจริง ๆ
"แล้วติ๊นาล่ะ? ทีนี้"
"ติ๊นาต้องทำไม?.. และต้องอะไรเหรอ?"
"อ้าว ก็ติ๊นาเคยชวนไปเยี่ยมแม่ติ๊นาด้วยกันไง จำไม่ได้แล้วเหรอ?" ดนัยมองจ้องมา "อย่าหลบตาสิ เวลาตอบ สายตาจะได้ยืนยันคำพูด"
อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ กับคำยอกย้อนของเขา นี่เราแพร่นิสัยตัวเองไปสู่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ติ๊นาหัวเราะไปส่ายศีรษะไป ในหัวเริ่มประมวลผลความทรงจำ จริงสิ ติ๊นาเคยชวนดนัยไว้หลายครั้งแล้ว เรื่องไปเยี่ยมแม่ของติ๊นาที่ต่างจังหวัด ยิ่งเห็นเขาอิดออดในตอนแรก ๆ ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากเอาชนะ ซึ่งเมมโมรี่ในหัวเอาไว้ตลอดว่า สักวันจะต้องลาก ไม่ใช่ ไม่ใช่ สักวันจะต้องโน้มน้าวพาเขาไปเจอหน้าแม่ให้ได้
สิ่งที่ผู้ชายจะการันตีความจริงใจ และการันตีความบริสุทธิ์ใจกับผู้หญิงคนพิเศษของเขาได้ดีที่สุดนั้น การเข้าพบพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิง เป็นสิ่งยืนยันได้ดีที่สุด และนั่นแหละ คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับติ๊นา
ติ๊นาอยากได้คำติชมจากปากของแม่ แม้คำ ๆ นั้นหรือหลาย ๆ คำของแม่ จะฟังแล้วทำให้ตัวชาหรือขาแข็งก็ตาม
วันนั้นกำลังแง้มเปิดแล้ว
"เฮ้ออ.. ตะเองมาบอกเอายังงี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน" ติ๊นาว่าไปตามความเป็นจริง
"ก็เพิ่งได้รับอนุมัติไง" ดนัยมองมาด้วยรอยยิ้ม "ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ติ๊นาลาล่วงหน้าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ พอทางเจ้านายเบื้องบนเซ็นอนุมัติลงมา ก็น่าจะได้รับคำตอบไม่เกินวันอังคารหรอก ว่ามะ?"
ติ๊นาสบตากับเขา "อืมม.. ก็ได้ แล้วติ๊นาจะลองดู"
ดนัยยิ้มแย้มก่อนจะลุกขึ้น "ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนะ ถ้าอาหารมาก็ทานก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ"
พูดจบก็เดินออกจากโต๊ะและหายไปทางห้องน้ำสำหรับลูกค้าในที่สุด
คำพูดซึ่งคุยกันเมื่อสักครู่ ติ๊นารู้สึกได้นะ ว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ดนัยตั้งใจจะคุยด้วยในวันนี้ น่าจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่านี้ ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวก อาจจะเป็นเรื่องราวหลังจากได้ไปพบเจอกับแม่ของติ๊นาเสร็จสรรพ แล้วก็ขออนุญาตอะไรบางอย่างกับแม่ สารภาพกับแม่ของติ๊นาอย่างโน้นอย่างนี้ เอ๊ะ ติ๊นาคิดไปเองอีกแล้ว
หากเป็นไปในทางแง่ลบ ก็คงจะไม่เป็นลบอะไรมากมายหรอก คงเป็นเรื่องราวในครอบครัวของดนัยเองมากกว่า ซึ่งวันนี้ก็คงเป็นวันที่ติ๊นาจะได้รับรู้ข้อมูลซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อนแน่ ๆ
ติ๊นาถูกเบรคความคิดทั้งหมดทั้งมวล เพราะพอร์คชอปสเต็กหมูสองที่ถูกนำมาเสิร์ฟชนิดควันยังโรยกรุ่นอยู่เลย กลิ่นหอมของพอร์คชอปผสมกลิ่นครีมเนยอีกทั้งกลิ่นพริกไทยดำที่ลงตัวกัน ทำให้ติ๊นาจัดแจงจานกระเบื้องสเต็กให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบช้อนส้อมและมีดหั่นขึ้นมา
"ติ๊นา.. ตะกี้ผมเจอพี่ชายมาทานข้าวที่นี่ด้วยล่ะ พี่ชายคนโตที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ แล้ววันนี้ก็กะว่าจะคุยเรื่องเขาให้ฟังอยู่พอดี"
คำพูดซึ่งดังแว่วมาจากทางด้านข้างนั้น ทำให้มือที่กำลังตั้งท่าของติ๊นาค้างเติ่ง!
ติ๊นาแหงนมองหน้าดนัยด้วยหัวใจเต้นตูมตาม "ตะเองว่าอะไรนะ?" จริง ๆ แน่ใจว่าตัวเองได้ยินเจนแล้วล่ะ แต่ที่ถามดนัยออกไปแบบนั้นอีก มันน่าจะมาจากสมองซึ่งกำลังวิ่งสับสนมากกว่า
ดนัยย่อขากับเหลี่ยมโต๊ะ และเบี่ยงตัวนั่งลงกับเก้าอี้ตัวเดิมของเขา "เมื่อกี้บังเอิญเจอกับพี่ชายหน้าห้องน้ำ เขามาทานอาหารกับลูกค้าที่นี่เหมือนกัน อีกสักพักเขาจะแวะมาโต๊ะเรา ตอนนี้ให้เราทานอาหารกันไปก่อน เห็นว่างั้นนะ"
เหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่คอของติ๊นา โดยปัจจุบันทันด่วน
"
ติ๊นา! ติ๊นาเป็นไรเหรอ.. "
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
http://ppantip.com/topic/32469898
ช่วงเวลา ณ ตอนนี้
ดูเหมือนกับว่าโลกใบนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นเอง ติ๊นารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ
นับตั้งแต่คุยกันบนรถจนมาถึงร้านอาหาร ดนัยถือโอกาส เอ.. ไม่น่าจะเป็นการถือโอกาสนะ เพราะติ๊นาเองก็คว้ามือเขาคืนมาเหมือนกันยามที่ดนัยเผลอปล่อย ที่ต้องรีบคว้ามาใหม่ ก็เพราะเกรงว่าบรรยากาศจะขาดการปะติดปะต่อไปเสียดื้อ ๆ ติ๊นาจึงจำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนด้วยการกุมมือเขาเสียเอง และตอนนี้ก็ไม่รู้ใครกุมมือใครแล้วล่ะ เพราะนิ้วมือเราเกาะเกี่ยวสอดล็อกกันไปหมด
ฝ่ามือนุ่มนวลของดนัยช่วยลดความเยือกเย็นของสายลมอ่อนจากพื้นผิวน้ำลงอย่างไม่รู้ตัว อุณหภูมิในตัวติ๊นาปรับขึ้นมาอยู่ในลิมิตของความอบอุ่นค่อนไปทางร้อน ส่งผลให้เสื้อสูทสีกรมท่าที่คลุมทับเสื้อยืดคอโปโลสีม่วง เพิ่มอุณหภูมิขึ้นมา ติ๊นาเลยถอดเสื้อสูทวางไว้กับเก้าอี้ข้างตัวเสียเลย
บนโต๊ะว่างเปล่า ข้างโคมตะเกียงนวลแสง
สองมือของติ๊นา ไม่ใช่สิ.. ต้องเรียกว่าสี่มือของเราสิ ถึงจะถูก สี่มือของเราผลัดกันนวดอุ้งมือ และกดหลังมือให้กันและกัน ไปมา
"ถึงร้านอาหารตามสัญญาแล้วนี่ ทีนี้บอกได้รึยังว่า ตะเองมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ" ติ๊นาเริ่มก่อน
ดนัยมองสบตา "จริง ๆ ก็... ไม่มีอะไรหรอก"
"นี่! อย่าโยกโย้สิ"
"ทานข้าวก่อน ทานไปคุยไปก็ได้นี่นา"
"ตะเองยิ่งพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากรู้เรื่องนะ "
ดูเหมือนดนัยจะยิ้มเจ้าเล่ห์ "อ่ะ งั้นต้องรีบแล้วล่ะ หมายถึงรีบสั่งอาหารนะ เพราะเด็กรับออเดอร์มาโน่นแล้ว" ลอยหน้าลอยตาพูดเสร็จก็ทำท่าผายมือขอเมนูรายการอาหารจากพนักงานทางร้าน ติ๊นาทำได้แค่ขมุบขมิบริมฝีปากสวย พูดแบบไม่มีเสียง ' ค น เ จ้ า เ ล่ ห์ ' ดนัยหัวเราะ
ไม่รู้ใครเป็นคนปล่อยมือใคร แต่ดูเหมือนจะเป็นเราทั้งสองที่ต่างคนต่างปล่อย ดนัยรับเล่มเมนูไปพลิกอ่าน ติ๊นาโบกมือไม่ขอรับอีกเล่ม ได้แต่ถามน้องผู้ชายคนรับเมนู ซึ่งพอเขาตอบรับว่ามี ติ๊นาก็สั่งพอร์คชอปสเต็กหมูสำหรับตัวเองทันที ความจริงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะสั่งเมนูอาหารจานเดียว ที่สำคัญคือต้องการตัดบทรายการอาหารซีฟู้ด ซึ่งคุณเจ้าชายกำลังอ่านเสียงดังฟังชัดอยู่อีกฟาก
กุ้งราดซ็อสหวาน. . .หมึกสดผัดไข่เค็ม. . .ปลาจาระเม็ ด ด ด . . .
"เมนูพวกนั้น รับรายการจากพี่ผู้ชายเลยจ้ะ" ติ๊นาชี้ไปทางอีกฟากโต๊ะ
ดนัยออกอาการชะงักที่ไม่เห็นติ๊นาสั่งเมนูกับข้าว แต่พอติ๊นาอธิบายว่าอยากทานอะไรง่าย ๆ ค่อย ๆ ทานไป คุยกันไป รายการสเต็กก็ดีนี่นา ค่อย ๆ ทานทีละคำ พูดคุยกันสี่ห้าคำ ทานอีกคำ คุยกันอีกเจ็ดแปดเก้าคำ สบาย ๆ ออก แค่นั้นล่ะ คุณเจ้าชายหัวเราะอย่างถูกใจ และก็สั่งตามติ๊นาเป็นพอร์คชอปสเต็กอีกหนึ่งที่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มรับออเดอร์ลับหลังไปแล้ว เราสบสายตากันนิ่ง
"เหมือนจะลองแกล้งยั่วให้ติ๊นาโกรธใช่มั๊ย? กับเรื่องที่โยกโย้ไม่ยอมพูดซักทีอยู่เนี่ย" ติ๊นาถามดนัย "แต่ดูแล้วตะเองเหม่อลอยหลายครั้งเหมือนกันนะรู้ตัวรึเปล่า? เหม่อยังไม่พอ ตอนอยู่บนถนนยังขับรถมือเดียวอีกด้วย นี่ดีนะ ที่ไม่ขับรถไปจูบก้นคนอื่นเขาเข้า"
ดนัยหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี "ไม่ได้เหม่อซักกะหน่อย มันเคลิ้มกับมือใครบางคนต่างหาก ว่าจะหันกลับมากุมพวงมาลัยหลายหนแล้วนะ แต่ใครบางคนต่างหากที่คว้ากลับไป"
"นี่! ติ๊นาดึงให้หันมามองตาต่างหาก เพราะคนเราเวลาต้องพูดอะไรจริงจัง สายตาจะเป็นสิ่งยืนยันคำพูด"
ดนัยหัวเราะใหญ่ "จำได้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันนี่นา ต่างคนต่างเงียบ แล้วจะดึงมือไปสบตาทำไม"
"โห.. เดี๋ยวนี้ไม่ลดราวาศอกเลยนะ ..คุณดนัย " ติ๊นามองตาเขา "ไม่ลดราวาศอกยังไม่พอ ยังกลายเป็นคนหยุมหยิมไปด้วยอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้จากใครมาเนี่ย"
"ก็กับติ๊นาไง"
อร๊ายย. . . ย . . !!
ติ๊นาร้องในใจ
ไม่ใช่กำลังจะวีน หรือวี้ดว้ายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นอารมณ์อึ้ง ก่อนที่ทำนบความขบขันจะทลายต่างหาก ติ๊นาหัวเราะจนดนัยออกสีหน้าเหรอหรา แต่แล้วก็ยิ้มแป้นโล่งอก ที่ไม่เห็นติ๊นาออกอาการวีน เอ.. อาการวีนแบบนางเอกมีหรือเปล่านะ
ดนัยตั้งสติ "โหเฮ๊ะ... ไม่เคยเห็นติ๊นาหัวเราะเต็ม ๆ แบบนี้เลย " พูดแล้วก็ยิ้มไปด้วย "ไม่รู้ถูกใจอะไรนักหนา"
คราวนี้ พอติ๊นาตั้งสติ จึงรีบเก็บอาการนางเอกกลับคืนมา แล้วชวนดนัยคุยเรื่องอื่น แต่ถึงแม้จะชวนคุยไปเรื่องอื่น ก็ยังไม่วายหลุดเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมาไม่ขาดสาย หัวเราะเพราะสลัดความขบขันออกไปไม่หมดเสียที แล้วความขบขันนั้น ก็คงมาจากคำพูดจี้ใจดำจากคุณเจ้าชายนั่นเอง คำพูดธรรมดา ๆ ไม่ได้เล่นมุกอะไรในบางครั้ง มันช่างคล้ายกระจกส่องสะท้อนติ๊นาเองเหมือนกันนะ สะท้อนให้เราเห็นตัวเราว่า ...เราเป็นเช่นไร...
ติ๊นามองข้ามตัวเองไป อาจเป็นเพราะเคยชินอยู่แต่กับการส่องกระจกให้ดนัยฝ่ายเดียว ส่องให้แล้วยังไม่พอ ยังตามเน้นให้เขาเห็น ให้เขาเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตัวเองอยากให้เป็นอีกด้วย
ถึงคราวที่ตัวเองต้องคอยรับฟัง คอยมองภาพสะท้อนกลับจากเขาด้วยแล้วล่ะ ติ๊นา เพราะนั่นมันหมายถึงการปรับตัวเข้าหา ซึ่งกันและกันไง
"พร้อมฟังรึยัง?..." ดนัยแทรกขึ้นมา
"ฟังอะไร"
"ก็เรื่องสำคัญที่ตั้งใจจะมาเล่าให้ฟังไง"
"เรื่องอะไร"
"ว้า... " น้ำเสียงผสมการพ่นลมหายใจของคนเบื้องหน้า ทำให้ติ๊นาเลิกเล่น
"พร้อมแล้วค่า.. ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้"
"ขอมืออีกทีซิ"
"ไม่เอา.. มือช้ำหมดแล้ว"
ดนัยหัวเราะ "แล้วไม่คิดเหรอว่ามือคนอื่นจะเป็นไงมั่ง เนี่ยนะ ชักจะขยับไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนข้อนิ้วแต่ละข้อมันแข็งไปหมดแล้ว"
"น้อย ๆ หน่อยตะเอง ..น้อย ๆ หน่อย"
เราหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข
"อ้าว?... เลิกสนใจเรื่องสำคัญอีกซะแล้ว"
"หมดความกระตือรือร้นที่จะฟังแล้วค่า"
ติ๊นามองตามเสียงเครื่องยนต์เรือลากลำหนึ่ง เห็นอาการเคลื่อนตัวของเรือลำนี้แล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่า อีกกี่ชั่วโมงหนอ.. เจ้าท้องแบนจอมอึดลำนี้ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง
. . . บางเส้นชัย แม้เส้นทางจะยาวไกลและเต็มไปด้วยความยากลำบากแค่ไหน ทว่า นั่นมิใช่อุปสรรคขวากหนามที่จะขวางกั้นเส้นชัยแต่อย่างใด อุปสรรคน่าจะอยู่ที่แรงใจต่างหากนะ เพราะหากมันเริ่มท้อและถอดแรงลงเมื่อไร ต่อให้มองเห็นเส้นชัยอยู่เบื้องหน้า มันก็จะไม่มีวันไปถึงปลายทางแห่งเส้นชัยนั้นได้หรอก . . .
"อาทิตย์หน้านี้แล้วนะ ที่ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อน" ดนัยเอ่ยแทรกเข้ามาในภวังค์ของติ๊นา
"หือ.... ว่าไงนะ"
"วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อนแล้ว"
ติ๊นาหันมามองหน้าคนพูดตรงหน้า "แน่ใจนะ ว่าได้หยุดจริง ๆ "
"แน่ใจสิ เพราะได้รับอนุมัติมาสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้เอง"
"ดีใจด้วยจังเลย" ติ๊นาดีใจด้วยจริง ๆ
"แล้วติ๊นาล่ะ? ทีนี้"
"ติ๊นาต้องทำไม?.. และต้องอะไรเหรอ?"
"อ้าว ก็ติ๊นาเคยชวนไปเยี่ยมแม่ติ๊นาด้วยกันไง จำไม่ได้แล้วเหรอ?" ดนัยมองจ้องมา "อย่าหลบตาสิ เวลาตอบ สายตาจะได้ยืนยันคำพูด"
อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ กับคำยอกย้อนของเขา นี่เราแพร่นิสัยตัวเองไปสู่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ติ๊นาหัวเราะไปส่ายศีรษะไป ในหัวเริ่มประมวลผลความทรงจำ จริงสิ ติ๊นาเคยชวนดนัยไว้หลายครั้งแล้ว เรื่องไปเยี่ยมแม่ของติ๊นาที่ต่างจังหวัด ยิ่งเห็นเขาอิดออดในตอนแรก ๆ ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากเอาชนะ ซึ่งเมมโมรี่ในหัวเอาไว้ตลอดว่า สักวันจะต้องลาก ไม่ใช่ ไม่ใช่ สักวันจะต้องโน้มน้าวพาเขาไปเจอหน้าแม่ให้ได้
สิ่งที่ผู้ชายจะการันตีความจริงใจ และการันตีความบริสุทธิ์ใจกับผู้หญิงคนพิเศษของเขาได้ดีที่สุดนั้น การเข้าพบพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิง เป็นสิ่งยืนยันได้ดีที่สุด และนั่นแหละ คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับติ๊นา
ติ๊นาอยากได้คำติชมจากปากของแม่ แม้คำ ๆ นั้นหรือหลาย ๆ คำของแม่ จะฟังแล้วทำให้ตัวชาหรือขาแข็งก็ตาม
วันนั้นกำลังแง้มเปิดแล้ว
"เฮ้ออ.. ตะเองมาบอกเอายังงี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน" ติ๊นาว่าไปตามความเป็นจริง
"ก็เพิ่งได้รับอนุมัติไง" ดนัยมองมาด้วยรอยยิ้ม "ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ติ๊นาลาล่วงหน้าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ พอทางเจ้านายเบื้องบนเซ็นอนุมัติลงมา ก็น่าจะได้รับคำตอบไม่เกินวันอังคารหรอก ว่ามะ?"
ติ๊นาสบตากับเขา "อืมม.. ก็ได้ แล้วติ๊นาจะลองดู"
ดนัยยิ้มแย้มก่อนจะลุกขึ้น "ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนะ ถ้าอาหารมาก็ทานก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ"
พูดจบก็เดินออกจากโต๊ะและหายไปทางห้องน้ำสำหรับลูกค้าในที่สุด
คำพูดซึ่งคุยกันเมื่อสักครู่ ติ๊นารู้สึกได้นะ ว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ดนัยตั้งใจจะคุยด้วยในวันนี้ น่าจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่านี้ ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวก อาจจะเป็นเรื่องราวหลังจากได้ไปพบเจอกับแม่ของติ๊นาเสร็จสรรพ แล้วก็ขออนุญาตอะไรบางอย่างกับแม่ สารภาพกับแม่ของติ๊นาอย่างโน้นอย่างนี้ เอ๊ะ ติ๊นาคิดไปเองอีกแล้ว
หากเป็นไปในทางแง่ลบ ก็คงจะไม่เป็นลบอะไรมากมายหรอก คงเป็นเรื่องราวในครอบครัวของดนัยเองมากกว่า ซึ่งวันนี้ก็คงเป็นวันที่ติ๊นาจะได้รับรู้ข้อมูลซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อนแน่ ๆ
ติ๊นาถูกเบรคความคิดทั้งหมดทั้งมวล เพราะพอร์คชอปสเต็กหมูสองที่ถูกนำมาเสิร์ฟชนิดควันยังโรยกรุ่นอยู่เลย กลิ่นหอมของพอร์คชอปผสมกลิ่นครีมเนยอีกทั้งกลิ่นพริกไทยดำที่ลงตัวกัน ทำให้ติ๊นาจัดแจงจานกระเบื้องสเต็กให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบช้อนส้อมและมีดหั่นขึ้นมา
"ติ๊นา.. ตะกี้ผมเจอพี่ชายมาทานข้าวที่นี่ด้วยล่ะ พี่ชายคนโตที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ แล้ววันนี้ก็กะว่าจะคุยเรื่องเขาให้ฟังอยู่พอดี"
คำพูดซึ่งดังแว่วมาจากทางด้านข้างนั้น ทำให้มือที่กำลังตั้งท่าของติ๊นาค้างเติ่ง!
ติ๊นาแหงนมองหน้าดนัยด้วยหัวใจเต้นตูมตาม "ตะเองว่าอะไรนะ?" จริง ๆ แน่ใจว่าตัวเองได้ยินเจนแล้วล่ะ แต่ที่ถามดนัยออกไปแบบนั้นอีก มันน่าจะมาจากสมองซึ่งกำลังวิ่งสับสนมากกว่า
ดนัยย่อขากับเหลี่ยมโต๊ะ และเบี่ยงตัวนั่งลงกับเก้าอี้ตัวเดิมของเขา "เมื่อกี้บังเอิญเจอกับพี่ชายหน้าห้องน้ำ เขามาทานอาหารกับลูกค้าที่นี่เหมือนกัน อีกสักพักเขาจะแวะมาโต๊ะเรา ตอนนี้ให้เราทานอาหารกันไปก่อน เห็นว่างั้นนะ"
เหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่คอของติ๊นา โดยปัจจุบันทันด่วน
"ติ๊นา! ติ๊นาเป็นไรเหรอ.. "