☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)

กระทู้สนทนา
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32469898


.

.

ดนัยให้ติ๊นาเป็นคนเลือกร้าน ติ๊นาเลยเลือกร้านเงียบ ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นเคย  บรรยากาศแบบนี้แหละถูกใจติ๊นานัก เงียบ ๆ สบาย ๆ โต๊ะแต่ละตัวอยู่ห่างกัน  ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าโต๊ะใครก็โต๊ะใคร  เวลาคนเขากระซิบกัน  ก็จะได้ยินกันแค่สองคน  คนอื่นไม่เกี่ยว

ช่วงเวลา ณ ตอนนี้

ดูเหมือนกับว่าโลกใบนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นเอง ติ๊นารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ

นับตั้งแต่คุยกันบนรถจนมาถึงร้านอาหาร  ดนัยถือโอกาส  เอ..  ไม่น่าจะเป็นการถือโอกาสนะ  เพราะติ๊นาเองก็คว้ามือเขาคืนมาเหมือนกันยามที่ดนัยเผลอปล่อย ที่ต้องรีบคว้ามาใหม่  ก็เพราะเกรงว่าบรรยากาศจะขาดการปะติดปะต่อไปเสียดื้อ ๆ  ติ๊นาจึงจำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนด้วยการกุมมือเขาเสียเอง  และตอนนี้ก็ไม่รู้ใครกุมมือใครแล้วล่ะ  เพราะนิ้วมือเราเกาะเกี่ยวสอดล็อกกันไปหมด

ฝ่ามือนุ่มนวลของดนัยช่วยลดความเยือกเย็นของสายลมอ่อนจากพื้นผิวน้ำลงอย่างไม่รู้ตัว  อุณหภูมิในตัวติ๊นาปรับขึ้นมาอยู่ในลิมิตของความอบอุ่นค่อนไปทางร้อน  ส่งผลให้เสื้อสูทสีกรมท่าที่คลุมทับเสื้อยืดคอโปโลสีม่วง เพิ่มอุณหภูมิขึ้นมา  ติ๊นาเลยถอดเสื้อสูทวางไว้กับเก้าอี้ข้างตัวเสียเลย

บนโต๊ะว่างเปล่า  ข้างโคมตะเกียงนวลแสง

สองมือของติ๊นา  ไม่ใช่สิ..  ต้องเรียกว่าสี่มือของเราสิ ถึงจะถูก  สี่มือของเราผลัดกันนวดอุ้งมือ และกดหลังมือให้กันและกัน ไปมา

"ถึงร้านอาหารตามสัญญาแล้วนี่  ทีนี้บอกได้รึยังว่า ตะเองมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ" ติ๊นาเริ่มก่อน

ดนัยมองสบตา  "จริง ๆ ก็...  ไม่มีอะไรหรอก"

"นี่! อย่าโยกโย้สิ"

"ทานข้าวก่อน  ทานไปคุยไปก็ได้นี่นา"

"ตะเองยิ่งพูดแบบนี้  ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากรู้เรื่องนะ "

ดูเหมือนดนัยจะยิ้มเจ้าเล่ห์  "อ่ะ  งั้นต้องรีบแล้วล่ะ หมายถึงรีบสั่งอาหารนะ เพราะเด็กรับออเดอร์มาโน่นแล้ว" ลอยหน้าลอยตาพูดเสร็จก็ทำท่าผายมือขอเมนูรายการอาหารจากพนักงานทางร้าน  ติ๊นาทำได้แค่ขมุบขมิบริมฝีปากสวย  พูดแบบไม่มีเสียง '  ค น เ จ้ า เ ล่ ห์   '   ดนัยหัวเราะ

ไม่รู้ใครเป็นคนปล่อยมือใคร  แต่ดูเหมือนจะเป็นเราทั้งสองที่ต่างคนต่างปล่อย ดนัยรับเล่มเมนูไปพลิกอ่าน  ติ๊นาโบกมือไม่ขอรับอีกเล่ม  ได้แต่ถามน้องผู้ชายคนรับเมนู  ซึ่งพอเขาตอบรับว่ามี  ติ๊นาก็สั่งพอร์คชอปสเต็กหมูสำหรับตัวเองทันที  ความจริงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะสั่งเมนูอาหารจานเดียว  ที่สำคัญคือต้องการตัดบทรายการอาหารซีฟู้ด  ซึ่งคุณเจ้าชายกำลังอ่านเสียงดังฟังชัดอยู่อีกฟาก

กุ้งราดซ็อสหวาน. . .หมึกสดผัดไข่เค็ม. . .ปลาจาระเม็ ด ด ด . . .

"เมนูพวกนั้น รับรายการจากพี่ผู้ชายเลยจ้ะ" ติ๊นาชี้ไปทางอีกฟากโต๊ะ

ดนัยออกอาการชะงักที่ไม่เห็นติ๊นาสั่งเมนูกับข้าว  แต่พอติ๊นาอธิบายว่าอยากทานอะไรง่าย ๆ ค่อย ๆ ทานไป คุยกันไป  รายการสเต็กก็ดีนี่นา  ค่อย ๆ ทานทีละคำ  พูดคุยกันสี่ห้าคำ  ทานอีกคำ คุยกันอีกเจ็ดแปดเก้าคำ สบาย ๆ ออก แค่นั้นล่ะ  คุณเจ้าชายหัวเราะอย่างถูกใจ และก็สั่งตามติ๊นาเป็นพอร์คชอปสเต็กอีกหนึ่งที่เหมือนกัน

เด็กหนุ่มรับออเดอร์ลับหลังไปแล้ว  เราสบสายตากันนิ่ง

"เหมือนจะลองแกล้งยั่วให้ติ๊นาโกรธใช่มั๊ย? กับเรื่องที่โยกโย้ไม่ยอมพูดซักทีอยู่เนี่ย" ติ๊นาถามดนัย "แต่ดูแล้วตะเองเหม่อลอยหลายครั้งเหมือนกันนะรู้ตัวรึเปล่า?  เหม่อยังไม่พอ ตอนอยู่บนถนนยังขับรถมือเดียวอีกด้วย นี่ดีนะ ที่ไม่ขับรถไปจูบก้นคนอื่นเขาเข้า"

ดนัยหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี "ไม่ได้เหม่อซักกะหน่อย มันเคลิ้มกับมือใครบางคนต่างหาก  ว่าจะหันกลับมากุมพวงมาลัยหลายหนแล้วนะ  แต่ใครบางคนต่างหากที่คว้ากลับไป"

"นี่!  ติ๊นาดึงให้หันมามองตาต่างหาก  เพราะคนเราเวลาต้องพูดอะไรจริงจัง  สายตาจะเป็นสิ่งยืนยันคำพูด"

ดนัยหัวเราะใหญ่ "จำได้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันนี่นา  ต่างคนต่างเงียบ  แล้วจะดึงมือไปสบตาทำไม"

"โห.. เดี๋ยวนี้ไม่ลดราวาศอกเลยนะ  ..คุณดนัย " ติ๊นามองตาเขา "ไม่ลดราวาศอกยังไม่พอ ยังกลายเป็นคนหยุมหยิมไปด้วยอีกต่างหาก  ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้จากใครมาเนี่ย"

"ก็กับติ๊นาไง"

อร๊ายย. . . ย . . !!

ติ๊นาร้องในใจ

ไม่ใช่กำลังจะวีน  หรือวี้ดว้ายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นอารมณ์อึ้ง ก่อนที่ทำนบความขบขันจะทลายต่างหาก  ติ๊นาหัวเราะจนดนัยออกสีหน้าเหรอหรา  แต่แล้วก็ยิ้มแป้นโล่งอก ที่ไม่เห็นติ๊นาออกอาการวีน  เอ..  อาการวีนแบบนางเอกมีหรือเปล่านะ

ดนัยตั้งสติ "โหเฮ๊ะ... ไม่เคยเห็นติ๊นาหัวเราะเต็ม ๆ แบบนี้เลย " พูดแล้วก็ยิ้มไปด้วย "ไม่รู้ถูกใจอะไรนักหนา"

คราวนี้  พอติ๊นาตั้งสติ  จึงรีบเก็บอาการนางเอกกลับคืนมา แล้วชวนดนัยคุยเรื่องอื่น แต่ถึงแม้จะชวนคุยไปเรื่องอื่น ก็ยังไม่วายหลุดเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมาไม่ขาดสาย  หัวเราะเพราะสลัดความขบขันออกไปไม่หมดเสียที  แล้วความขบขันนั้น ก็คงมาจากคำพูดจี้ใจดำจากคุณเจ้าชายนั่นเอง  คำพูดธรรมดา ๆ ไม่ได้เล่นมุกอะไรในบางครั้ง  มันช่างคล้ายกระจกส่องสะท้อนติ๊นาเองเหมือนกันนะ  สะท้อนให้เราเห็นตัวเราว่า  ...เราเป็นเช่นไร...

ติ๊นามองข้ามตัวเองไป  อาจเป็นเพราะเคยชินอยู่แต่กับการส่องกระจกให้ดนัยฝ่ายเดียว  ส่องให้แล้วยังไม่พอ  ยังตามเน้นให้เขาเห็น ให้เขาเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตัวเองอยากให้เป็นอีกด้วย

ถึงคราวที่ตัวเองต้องคอยรับฟัง  คอยมองภาพสะท้อนกลับจากเขาด้วยแล้วล่ะ  ติ๊นา   เพราะนั่นมันหมายถึงการปรับตัวเข้าหา ซึ่งกันและกันไง

"พร้อมฟังรึยัง?..." ดนัยแทรกขึ้นมา

"ฟังอะไร"

"ก็เรื่องสำคัญที่ตั้งใจจะมาเล่าให้ฟังไง"

"เรื่องอะไร"

"ว้า... " น้ำเสียงผสมการพ่นลมหายใจของคนเบื้องหน้า  ทำให้ติ๊นาเลิกเล่น

"พร้อมแล้วค่า.. ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้"

"ขอมืออีกทีซิ"

"ไม่เอา..  มือช้ำหมดแล้ว"

ดนัยหัวเราะ "แล้วไม่คิดเหรอว่ามือคนอื่นจะเป็นไงมั่ง เนี่ยนะ  ชักจะขยับไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนข้อนิ้วแต่ละข้อมันแข็งไปหมดแล้ว"

"น้อย ๆ หน่อยตะเอง    ..น้อย ๆ หน่อย"

เราหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข

"อ้าว?... เลิกสนใจเรื่องสำคัญอีกซะแล้ว"

"หมดความกระตือรือร้นที่จะฟังแล้วค่า"

ติ๊นามองตามเสียงเครื่องยนต์เรือลากลำหนึ่ง  เห็นอาการเคลื่อนตัวของเรือลำนี้แล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่า  อีกกี่ชั่วโมงหนอ..  เจ้าท้องแบนจอมอึดลำนี้ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง

. . . บางเส้นชัย แม้เส้นทางจะยาวไกลและเต็มไปด้วยความยากลำบากแค่ไหน  ทว่า นั่นมิใช่อุปสรรคขวากหนามที่จะขวางกั้นเส้นชัยแต่อย่างใด  อุปสรรคน่าจะอยู่ที่แรงใจต่างหากนะ  เพราะหากมันเริ่มท้อและถอดแรงลงเมื่อไร  ต่อให้มองเห็นเส้นชัยอยู่เบื้องหน้า  มันก็จะไม่มีวันไปถึงปลายทางแห่งเส้นชัยนั้นได้หรอก . . .

"อาทิตย์หน้านี้แล้วนะ ที่ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อน" ดนัยเอ่ยแทรกเข้ามาในภวังค์ของติ๊นา

"หือ.... ว่าไงนะ"

"วันจันทร์ที่จะถึงนี้  ได้เริ่มต้นวันหยุดพักร้อนแล้ว"

ติ๊นาหันมามองหน้าคนพูดตรงหน้า "แน่ใจนะ ว่าได้หยุดจริง ๆ "

"แน่ใจสิ  เพราะได้รับอนุมัติมาสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้เอง"

"ดีใจด้วยจังเลย" ติ๊นาดีใจด้วยจริง ๆ

"แล้วติ๊นาล่ะ? ทีนี้"

"ติ๊นาต้องทำไม?.. และต้องอะไรเหรอ?"

"อ้าว  ก็ติ๊นาเคยชวนไปเยี่ยมแม่ติ๊นาด้วยกันไง จำไม่ได้แล้วเหรอ?" ดนัยมองจ้องมา "อย่าหลบตาสิ  เวลาตอบ สายตาจะได้ยืนยันคำพูด"

อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ กับคำยอกย้อนของเขา  นี่เราแพร่นิสัยตัวเองไปสู่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ติ๊นาหัวเราะไปส่ายศีรษะไป  ในหัวเริ่มประมวลผลความทรงจำ จริงสิ  ติ๊นาเคยชวนดนัยไว้หลายครั้งแล้ว เรื่องไปเยี่ยมแม่ของติ๊นาที่ต่างจังหวัด  ยิ่งเห็นเขาอิดออดในตอนแรก ๆ ยิ่งทำให้ติ๊นาอยากเอาชนะ ซึ่งเมมโมรี่ในหัวเอาไว้ตลอดว่า สักวันจะต้องลาก  ไม่ใช่  ไม่ใช่  สักวันจะต้องโน้มน้าวพาเขาไปเจอหน้าแม่ให้ได้

สิ่งที่ผู้ชายจะการันตีความจริงใจ และการันตีความบริสุทธิ์ใจกับผู้หญิงคนพิเศษของเขาได้ดีที่สุดนั้น  การเข้าพบพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิง เป็นสิ่งยืนยันได้ดีที่สุด และนั่นแหละ คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับติ๊นา

ติ๊นาอยากได้คำติชมจากปากของแม่  แม้คำ ๆ นั้นหรือหลาย ๆ คำของแม่  จะฟังแล้วทำให้ตัวชาหรือขาแข็งก็ตาม

วันนั้นกำลังแง้มเปิดแล้ว

"เฮ้ออ..  ตะเองมาบอกเอายังงี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน" ติ๊นาว่าไปตามความเป็นจริง

"ก็เพิ่งได้รับอนุมัติไง" ดนัยมองมาด้วยรอยยิ้ม "ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ติ๊นาลาล่วงหน้าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ พอทางเจ้านายเบื้องบนเซ็นอนุมัติลงมา ก็น่าจะได้รับคำตอบไม่เกินวันอังคารหรอก ว่ามะ?"

ติ๊นาสบตากับเขา "อืมม.. ก็ได้  แล้วติ๊นาจะลองดู"

ดนัยยิ้มแย้มก่อนจะลุกขึ้น "ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนะ  ถ้าอาหารมาก็ทานก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ"

พูดจบก็เดินออกจากโต๊ะและหายไปทางห้องน้ำสำหรับลูกค้าในที่สุด

คำพูดซึ่งคุยกันเมื่อสักครู่  ติ๊นารู้สึกได้นะ ว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ดนัยตั้งใจจะคุยด้วยในวันนี้ น่าจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่านี้  ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวก อาจจะเป็นเรื่องราวหลังจากได้ไปพบเจอกับแม่ของติ๊นาเสร็จสรรพ  แล้วก็ขออนุญาตอะไรบางอย่างกับแม่  สารภาพกับแม่ของติ๊นาอย่างโน้นอย่างนี้  เอ๊ะ ติ๊นาคิดไปเองอีกแล้ว

หากเป็นไปในทางแง่ลบ  ก็คงจะไม่เป็นลบอะไรมากมายหรอก  คงเป็นเรื่องราวในครอบครัวของดนัยเองมากกว่า  ซึ่งวันนี้ก็คงเป็นวันที่ติ๊นาจะได้รับรู้ข้อมูลซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อนแน่ ๆ

ติ๊นาถูกเบรคความคิดทั้งหมดทั้งมวล  เพราะพอร์คชอปสเต็กหมูสองที่ถูกนำมาเสิร์ฟชนิดควันยังโรยกรุ่นอยู่เลย  กลิ่นหอมของพอร์คชอปผสมกลิ่นครีมเนยอีกทั้งกลิ่นพริกไทยดำที่ลงตัวกัน  ทำให้ติ๊นาจัดแจงจานกระเบื้องสเต็กให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบช้อนส้อมและมีดหั่นขึ้นมา

"ติ๊นา..  ตะกี้ผมเจอพี่ชายมาทานข้าวที่นี่ด้วยล่ะ  พี่ชายคนโตที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ แล้ววันนี้ก็กะว่าจะคุยเรื่องเขาให้ฟังอยู่พอดี"

คำพูดซึ่งดังแว่วมาจากทางด้านข้างนั้น  ทำให้มือที่กำลังตั้งท่าของติ๊นาค้างเติ่ง!

ติ๊นาแหงนมองหน้าดนัยด้วยหัวใจเต้นตูมตาม "ตะเองว่าอะไรนะ?" จริง ๆ แน่ใจว่าตัวเองได้ยินเจนแล้วล่ะ  แต่ที่ถามดนัยออกไปแบบนั้นอีก  มันน่าจะมาจากสมองซึ่งกำลังวิ่งสับสนมากกว่า

ดนัยย่อขากับเหลี่ยมโต๊ะ และเบี่ยงตัวนั่งลงกับเก้าอี้ตัวเดิมของเขา "เมื่อกี้บังเอิญเจอกับพี่ชายหน้าห้องน้ำ  เขามาทานอาหารกับลูกค้าที่นี่เหมือนกัน อีกสักพักเขาจะแวะมาโต๊ะเรา  ตอนนี้ให้เราทานอาหารกันไปก่อน เห็นว่างั้นนะ"

เหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งขึ้นมาจุกที่คอของติ๊นา โดยปัจจุบันทันด่วน

"ติ๊นา! ติ๊นาเป็นไรเหรอ.. "

พาพันชอบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่