ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32649265
‘
คุณดุลยรัฐ’มาถึงและรอติ๊นาตั้งแต่การประชุมยังไม่เลิก น้ำเย็นซึ่งฝ่ายแม่บ้านยกมาต้อนรับพร่องไปจนเกือบถึงก้นแก้ว ติ๊นาชง
กาแฟร้อนหนึ่งแก้วพร้อมกับน้ำเย็นแก้วใหม่ และชวนเขาเข้าไปคุยกันในห้องรับรองพิเศษของแผนกตัวเอง
เห็นท่าทีแจ่มใสของคุณดุลยรัฐแล้ว ติ๊นาผ่อนคลายอาการเกร็งลงไปได้บ้างเหมือนกัน
ก่อนที่จะลงมาพบกับเขา เรื่องที่ตั้งใจจะคุยด้วยก็นับว่าหนักหนาแล้ว ปรากฏว่าเรื่องที่สองกลับยิ่งซ้ำเข้ามาจนแทบอยากจะเลื่อน
การพบปะกับเขาออกไปเป็นวันหลัง ทว่าติ๊นาคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อคุณดุลยรัฐออกจะกระตือรือร้นสำหรับการได้มาเจอกันในวันนี้
เสียเหลือเกิน
‘....
เจ้าดุลเขารอคุณอยู่แล้วมั้งป่านนี้....
’
เสียงคุณธนชาติยังดังแว่วอยู่ในหัวชัดเจน สรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพื่อนได้อย่างชัดเจน นี่หัวหน้า
ของติ๊นากับคุณดุลยรัฐเป็นเพื่อนกันหรอกหรือ ไม่เคยมีใครบอกเล่าให้ฟังเลยแม้แต่เจ้าแม่ข้อมูลข่าวสารอย่างอุ้ม หรือแม้แต่ตัวคุณธนชาติเอง
แสดงว่า ไม่มีใครรู้จริงๆ นอกจากคนสองคนนี้เท่านั้น
คนที่น่าจะบอกเล่าให้ฟังควรจะเป็นหัวหน้าของติ๊นามากกว่า แต่ก็นั่นแหละนะ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องลอยตัวให้อยู่เหนือความ
สัมพันธ์ฉันท์เพื่อน คุณธนชาติคงไม่อาจจะแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าของบริษัทซับพลายเออร์คู่สัญญา
แล้วคุณดุลยรัฐล่ะ
จะว่าไปแล้ว คุณดุลยรัฐยิ่งแพร่งพรายไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะนั่นจะนำไปสู่การถูกตรวจสอบว่ามีการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อเอื้อ
ประโยชน์ในการทำธุรกิจหรือไม่ ความยุ่งยากและวุ่นวายคงจะประดังเข้ามาอย่างที่ไม่มีใครต้องการให้เป็นเช่นนั้นเป็นแน่
โอเค .... ติ๊นาเข้าใจแล้ว
แต่แปลกใจที่คุณธนชาติรู้ว่าติ๊นามีนัดกับคุณดุลยรัฐได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าผู้มีส่วนสำคัญในเรื่องการลาหยุดพักร้อนของ
ติ๊นายังอวยพรล่วงหน้าให้ใช้วันหยุดอย่างมีความสุขตามประสาชายหนุ่มหญิงสาวคนรักกันอีกต่างหาก เป็นใคร ใครจะกล้าพูดอย่างนั้นได้ถ้าไม่
รู้เรื่องราวความสัมพันธ์กันระหว่างติ๊นากับคุณดุลยรัฐ นี่แสดงให้เห็นว่า คุณธนชาติรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี
คุณดุลยรัฐชวนสนทนาอยู่แต่เรื่องห้องทำงานหรูหราของติ๊นา ชมอยู่แทบตลอดเวลาว่าตกแต่งได้สวยงาม มีสไตล์ ต้องเป็น
ฝีมือออกแบบของคุณติ๊นาแน่นอน แต่พอได้รับคำตอบว่า ห้องทำงานของติ๊นาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ติ๊นายังไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วเท่านั้นแหละ คุณ
ดุลยรัฐก็เปลี่ยนเรื่อง
เขาดึงไปเรื่องห้องทำงานของตัวเอง เปรยแบบจริงจังว่าอยากจะตกแต่งห้องทำงานใหม่อยู่เหมือนกัน ห้องเก่าเน้นหินอ่อนมากไป
จนเหมือนกับอยู่ในถ้ำยุคหิน โชคดีที่ฝ้าเพดานไม่ใช่หินอ่อน ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ต่างไปจากมนุษย์ผู้อยู่ในกล่องหินดีๆนี่เอง
“คุณดุลยรัฐพูดซะมองเห็นภาพเลยค่ะ” ติ๊นาหัวเราะพอดูดี
“มันทำให้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ คุณติ๊นา”
“ตั้งใจตกแต่งตั้งแต่แรกอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“ใช่ครับ” รอยยิ้มกว้างนั้นสะดุดตาติ๊นาเหลือเกิน “เวลาต้อนรับลูกค้า อยากโชว์สินค้าตัวเองมากไปหน่อย เลยกลายเป็นว่าบล็อก
ชีวิตตัวเองอยู่แต่กับโลกหินอ่อนไปซะยังงั้น” เขาหัวเราะเบาๆ
ติ๊นาพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองหัวเราะตาม ด้วยเกรงว่าอาจจะเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกแย่ๆของเขา
ในใจติ๊นาเองนั้นก็เริ่มคอยจับจังหวะเพื่อจะเข้าเรื่องของตัวเอง เพราะดูท่าทีแล้วคุณดุลยรัฐยังไม่แม้แต่จะถามสักคำเลยว่าติ๊นามี
เรื่องอะไรถึงอยากพบตัวเขา คงไม่คิดไปถึงว่า ติ๊นาจะชวนไปดินเน่อร์กันสองคนหรอกนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะได้รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของ
ดนัย ติ๊นาคงไม่ติดขัดอะไร แต่ตอนนี้ ติ๊นาคงทำอย่างนั้นไม่ได้เสียแล้ว
คุณดุลยรัฐวกกลับไปถึงเรื่องอยากได้ห้องทำงานใหม่ ติ๊นาพอจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงรีบชิงพูดถึงสถานการณ์ภาระหน้าที่ที่มี
อยู่ในขณะนี้ รวมถึงกำลังจะตามมาอีกในไม่ช้า เดี๋ยวนี้เริ่มกลับมืด มาทำงานแต่เช้า พร้อมทั้งจะต้องเดินทางเพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน
ที่หาดตะวันรอนบางเสร่อีกด้วย
พูดไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า คุณดุลยรัฐเป็นเพื่อนกับหัวหน้าตัวเอง ติ๊นาหัวใจหล่นวูบ ความเคลื่อนไหวของงาน คุณธนชาติรับรู้
ความเป็นไปทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ภาระติ๊นาจะยุ่งเหยิงหรือไม่ อย่างไร ย่อมอยู่ในสายตาหัวหน้าเช่นกัน และเมื่อความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตา
อย่างนั้น มันจะยากเย็นอะไรกับการถูกถ่ายทอดมาถึงคุณดุลยรัฐ แค่เรื่องลาพักร้อนของติ๊นาเพื่อกลับต่างจังหวัดแค่นั้น เรื่องราวยังถูกผูกโยง
ไปเป็นเรื่องลาเที่ยวตามประสาชายหนุ่มหญิงสาวคนรักกันไปได้เลย สองคนนี้ต้องบอกเล่ารื่องราวสู่กันและกันแน่นอน
อ้อ .... แล้วอีกเรื่องนะ ดูเหมือนคำอวยพรของหัวหน้าจะบ่งบอกเอาไว้ว่า คุณดุลยรัฐก็จะไปต่างจังหวัดเหมือนกัน
เอ๊ะ มันยังไงๆนะนี่
“
เดี๋ยวก่อนนะคะ ... เดี๋ยวก่อนค่ะคุณดุลยรัฐ” ติ๊นาขัดจังหวะชายหนุ่มเบื้องหน้า “เมื่อกี้คุณดุลยรัฐว่าอะไรนะคะ”
เขายิ้มกว้างอีกแล้ว ติ๊นานึกได้แล้วล่ะว่ารอยยิ้มแจ่มใสนี้สะดุดตาเพราะอะไร.... เพราะมันคล้ายกับรอยยิ้มของดนัยนั่นเอง
“คุณดุลยรัฐว่าไงนะคะ”
“อ้อ .... ผมคงลืมชวนคุณติ๊นา แต่เผลอพูดไปซะเหมือนกับว่าคุณติ๊นาตกลงไปต่างจังหวัดกับผมแล้ว”
ติ๊นาหัวใจหวิวโหวงคล้ายกับจะเป็นลม “ไปต่างจังหวัด?.... ไปไหน ยังไงหรือคะ”
“คุณติ๊นาคงลืมไปแล้วมั้ง ผมเคยบอกว่าจะไปต่างจังหวัดสามสี่วัน และจะชวนน้องชายไปเยี่ยมแม่ด้วย จำได้ไหมครับ”
‘....
และจะชวนน้องชายไปเยี่ยมแม่ด้วย ....
’ ได้ยินประโยคนี้เข้า ติ๊นานั่งตัวแข็งทื่อจนแทบลืมหายใจ
“แล้ว... ว .... แล้วคุณดุลยรัฐก็จะชวนติ๊นาไปด้วย อย่างนั้นใช่ไหมคะ” ติ๊นาเริ่มตะกุกตะกัก
“ใช่ครับ”
โอยย....ตายแล้ว
รอยยิ้มคุ้นชินสายตาเบื้องหน้า คล้ายกับรอยยิ้มเยือกเย็นของท่านเค้าท์แดร็กคูล่าไปเสียแล้ว มันช่างเหน็บหนาวเข้าไปจนถึงขั้ว
หัวใจโดยไม่รู้ตัว ติ๊นามึนศีรษะไปชั่วขณะ พยายามตั้งสติดึงสมาธิกลับมาใหม่
“งั้นคุณดุลยรัฐก็รู้ว่าติ๊นาลาพักร้อนสิคะ” ติ๊นากลั้นหายใจ
คนถูกถามมองมา “
ใช่ครับ”
หัวใจติ๊นาเต้นรวยริน “เอ่อ... ขอประทานโทษนะคะ หากติ๊นาจะถามว่า....คุณดุลยรัฐรู้ได้ยังไงคะ”
“รู้จากหัวหน้าคุณติ๊นาน่ะครับ”
นั่นไง คิดแล้วไม่มีผิด
คุณดุลยรัฐพูดต่อ “อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมละลาบละล้วงนะครับ คือว่า ..... เอ่อ ..... ผมเป็นเพื่อนกับธนชาติมาตั้งแต่เรียนมัธยมด้วย
กันแล้ว แต่ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะเราเห็นว่ามันไม่เหมาะ เรื่องงานก็ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว เราไม่อยากให้เกิดข้อครหาในการทำ
ธุรกิจร่วมกัน ส่วนเรื่องที่ผมทราบว่าคุณติ๊นาลาพักร้อนนั้น ผมเป็นคนสอบถามจากธนชาติเขาเอง”
ติ๊นาหายใจระรวยขณะตั้งใจฟังเขาพูดต่อ
“ผมทราบว่าคุณติ๊นาขอลาพักงานสามวัน วันที่สี่ก็เป็นวันอาทิตย์ เลยคิดว่าจะชวนคุณติ๊นาแวะที่บ้านผมด้วยหลังจากเสร็จจากการ
พักผ่อนตามแพลนของคุณติ๊นาเอง ไม่ใช่ชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดตามที่คิดไว้แต่แรกแล้วล่ะครับ พอดีทราบว่าคุณติ๊นาเองก็จะไปเยี่ยมคุณแม่
เหมือนกัน ที่ผมชวนแวะอย่างนั้น ก็เพราะเป็นเส้นทางผ่านขากลับกรุงเทพอยู่แล้ว แวะซักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงจะไม่เป็นไรกระมังครับ” คราว
นี้คุณดุลยรัฐเปิดยิ้มแค่มุมปาก “ผมอยากให้ดนัยได้แวะบ้าน พร้อมหน้ากับคุณติ๊นาด้วย”
....
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
http://ppantip.com/topic/32649265
‘คุณดุลยรัฐ’มาถึงและรอติ๊นาตั้งแต่การประชุมยังไม่เลิก น้ำเย็นซึ่งฝ่ายแม่บ้านยกมาต้อนรับพร่องไปจนเกือบถึงก้นแก้ว ติ๊นาชง
กาแฟร้อนหนึ่งแก้วพร้อมกับน้ำเย็นแก้วใหม่ และชวนเขาเข้าไปคุยกันในห้องรับรองพิเศษของแผนกตัวเอง
เห็นท่าทีแจ่มใสของคุณดุลยรัฐแล้ว ติ๊นาผ่อนคลายอาการเกร็งลงไปได้บ้างเหมือนกัน
ก่อนที่จะลงมาพบกับเขา เรื่องที่ตั้งใจจะคุยด้วยก็นับว่าหนักหนาแล้ว ปรากฏว่าเรื่องที่สองกลับยิ่งซ้ำเข้ามาจนแทบอยากจะเลื่อน
การพบปะกับเขาออกไปเป็นวันหลัง ทว่าติ๊นาคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อคุณดุลยรัฐออกจะกระตือรือร้นสำหรับการได้มาเจอกันในวันนี้
เสียเหลือเกิน
‘....เจ้าดุลเขารอคุณอยู่แล้วมั้งป่านนี้....’
เสียงคุณธนชาติยังดังแว่วอยู่ในหัวชัดเจน สรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพื่อนได้อย่างชัดเจน นี่หัวหน้า
ของติ๊นากับคุณดุลยรัฐเป็นเพื่อนกันหรอกหรือ ไม่เคยมีใครบอกเล่าให้ฟังเลยแม้แต่เจ้าแม่ข้อมูลข่าวสารอย่างอุ้ม หรือแม้แต่ตัวคุณธนชาติเอง
แสดงว่า ไม่มีใครรู้จริงๆ นอกจากคนสองคนนี้เท่านั้น
คนที่น่าจะบอกเล่าให้ฟังควรจะเป็นหัวหน้าของติ๊นามากกว่า แต่ก็นั่นแหละนะ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องลอยตัวให้อยู่เหนือความ
สัมพันธ์ฉันท์เพื่อน คุณธนชาติคงไม่อาจจะแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าของบริษัทซับพลายเออร์คู่สัญญา
แล้วคุณดุลยรัฐล่ะ
จะว่าไปแล้ว คุณดุลยรัฐยิ่งแพร่งพรายไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะนั่นจะนำไปสู่การถูกตรวจสอบว่ามีการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อเอื้อ
ประโยชน์ในการทำธุรกิจหรือไม่ ความยุ่งยากและวุ่นวายคงจะประดังเข้ามาอย่างที่ไม่มีใครต้องการให้เป็นเช่นนั้นเป็นแน่
โอเค .... ติ๊นาเข้าใจแล้ว
แต่แปลกใจที่คุณธนชาติรู้ว่าติ๊นามีนัดกับคุณดุลยรัฐได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าผู้มีส่วนสำคัญในเรื่องการลาหยุดพักร้อนของ
ติ๊นายังอวยพรล่วงหน้าให้ใช้วันหยุดอย่างมีความสุขตามประสาชายหนุ่มหญิงสาวคนรักกันอีกต่างหาก เป็นใคร ใครจะกล้าพูดอย่างนั้นได้ถ้าไม่
รู้เรื่องราวความสัมพันธ์กันระหว่างติ๊นากับคุณดุลยรัฐ นี่แสดงให้เห็นว่า คุณธนชาติรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี
คุณดุลยรัฐชวนสนทนาอยู่แต่เรื่องห้องทำงานหรูหราของติ๊นา ชมอยู่แทบตลอดเวลาว่าตกแต่งได้สวยงาม มีสไตล์ ต้องเป็น
ฝีมือออกแบบของคุณติ๊นาแน่นอน แต่พอได้รับคำตอบว่า ห้องทำงานของติ๊นาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ติ๊นายังไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วเท่านั้นแหละ คุณ
ดุลยรัฐก็เปลี่ยนเรื่อง
เขาดึงไปเรื่องห้องทำงานของตัวเอง เปรยแบบจริงจังว่าอยากจะตกแต่งห้องทำงานใหม่อยู่เหมือนกัน ห้องเก่าเน้นหินอ่อนมากไป
จนเหมือนกับอยู่ในถ้ำยุคหิน โชคดีที่ฝ้าเพดานไม่ใช่หินอ่อน ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ต่างไปจากมนุษย์ผู้อยู่ในกล่องหินดีๆนี่เอง
“คุณดุลยรัฐพูดซะมองเห็นภาพเลยค่ะ” ติ๊นาหัวเราะพอดูดี
“มันทำให้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ คุณติ๊นา”
“ตั้งใจตกแต่งตั้งแต่แรกอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“ใช่ครับ” รอยยิ้มกว้างนั้นสะดุดตาติ๊นาเหลือเกิน “เวลาต้อนรับลูกค้า อยากโชว์สินค้าตัวเองมากไปหน่อย เลยกลายเป็นว่าบล็อก
ชีวิตตัวเองอยู่แต่กับโลกหินอ่อนไปซะยังงั้น” เขาหัวเราะเบาๆ
ติ๊นาพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองหัวเราะตาม ด้วยเกรงว่าอาจจะเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกแย่ๆของเขา
ในใจติ๊นาเองนั้นก็เริ่มคอยจับจังหวะเพื่อจะเข้าเรื่องของตัวเอง เพราะดูท่าทีแล้วคุณดุลยรัฐยังไม่แม้แต่จะถามสักคำเลยว่าติ๊นามี
เรื่องอะไรถึงอยากพบตัวเขา คงไม่คิดไปถึงว่า ติ๊นาจะชวนไปดินเน่อร์กันสองคนหรอกนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะได้รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของ
ดนัย ติ๊นาคงไม่ติดขัดอะไร แต่ตอนนี้ ติ๊นาคงทำอย่างนั้นไม่ได้เสียแล้ว
คุณดุลยรัฐวกกลับไปถึงเรื่องอยากได้ห้องทำงานใหม่ ติ๊นาพอจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงรีบชิงพูดถึงสถานการณ์ภาระหน้าที่ที่มี
อยู่ในขณะนี้ รวมถึงกำลังจะตามมาอีกในไม่ช้า เดี๋ยวนี้เริ่มกลับมืด มาทำงานแต่เช้า พร้อมทั้งจะต้องเดินทางเพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน
ที่หาดตะวันรอนบางเสร่อีกด้วย
พูดไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า คุณดุลยรัฐเป็นเพื่อนกับหัวหน้าตัวเอง ติ๊นาหัวใจหล่นวูบ ความเคลื่อนไหวของงาน คุณธนชาติรับรู้
ความเป็นไปทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ภาระติ๊นาจะยุ่งเหยิงหรือไม่ อย่างไร ย่อมอยู่ในสายตาหัวหน้าเช่นกัน และเมื่อความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตา
อย่างนั้น มันจะยากเย็นอะไรกับการถูกถ่ายทอดมาถึงคุณดุลยรัฐ แค่เรื่องลาพักร้อนของติ๊นาเพื่อกลับต่างจังหวัดแค่นั้น เรื่องราวยังถูกผูกโยง
ไปเป็นเรื่องลาเที่ยวตามประสาชายหนุ่มหญิงสาวคนรักกันไปได้เลย สองคนนี้ต้องบอกเล่ารื่องราวสู่กันและกันแน่นอน
อ้อ .... แล้วอีกเรื่องนะ ดูเหมือนคำอวยพรของหัวหน้าจะบ่งบอกเอาไว้ว่า คุณดุลยรัฐก็จะไปต่างจังหวัดเหมือนกัน
เอ๊ะ มันยังไงๆนะนี่
“เดี๋ยวก่อนนะคะ ... เดี๋ยวก่อนค่ะคุณดุลยรัฐ” ติ๊นาขัดจังหวะชายหนุ่มเบื้องหน้า “เมื่อกี้คุณดุลยรัฐว่าอะไรนะคะ”
เขายิ้มกว้างอีกแล้ว ติ๊นานึกได้แล้วล่ะว่ารอยยิ้มแจ่มใสนี้สะดุดตาเพราะอะไร.... เพราะมันคล้ายกับรอยยิ้มของดนัยนั่นเอง
“คุณดุลยรัฐว่าไงนะคะ”
“อ้อ .... ผมคงลืมชวนคุณติ๊นา แต่เผลอพูดไปซะเหมือนกับว่าคุณติ๊นาตกลงไปต่างจังหวัดกับผมแล้ว”
ติ๊นาหัวใจหวิวโหวงคล้ายกับจะเป็นลม “ไปต่างจังหวัด?.... ไปไหน ยังไงหรือคะ”
“คุณติ๊นาคงลืมไปแล้วมั้ง ผมเคยบอกว่าจะไปต่างจังหวัดสามสี่วัน และจะชวนน้องชายไปเยี่ยมแม่ด้วย จำได้ไหมครับ”
‘.... และจะชวนน้องชายไปเยี่ยมแม่ด้วย ....’ ได้ยินประโยคนี้เข้า ติ๊นานั่งตัวแข็งทื่อจนแทบลืมหายใจ
“แล้ว... ว .... แล้วคุณดุลยรัฐก็จะชวนติ๊นาไปด้วย อย่างนั้นใช่ไหมคะ” ติ๊นาเริ่มตะกุกตะกัก
“ใช่ครับ”
โอยย....ตายแล้ว
รอยยิ้มคุ้นชินสายตาเบื้องหน้า คล้ายกับรอยยิ้มเยือกเย็นของท่านเค้าท์แดร็กคูล่าไปเสียแล้ว มันช่างเหน็บหนาวเข้าไปจนถึงขั้ว
หัวใจโดยไม่รู้ตัว ติ๊นามึนศีรษะไปชั่วขณะ พยายามตั้งสติดึงสมาธิกลับมาใหม่
“งั้นคุณดุลยรัฐก็รู้ว่าติ๊นาลาพักร้อนสิคะ” ติ๊นากลั้นหายใจ
คนถูกถามมองมา “ใช่ครับ”
หัวใจติ๊นาเต้นรวยริน “เอ่อ... ขอประทานโทษนะคะ หากติ๊นาจะถามว่า....คุณดุลยรัฐรู้ได้ยังไงคะ”
“รู้จากหัวหน้าคุณติ๊นาน่ะครับ”
นั่นไง คิดแล้วไม่มีผิด
คุณดุลยรัฐพูดต่อ “อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมละลาบละล้วงนะครับ คือว่า ..... เอ่อ ..... ผมเป็นเพื่อนกับธนชาติมาตั้งแต่เรียนมัธยมด้วย
กันแล้ว แต่ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะเราเห็นว่ามันไม่เหมาะ เรื่องงานก็ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว เราไม่อยากให้เกิดข้อครหาในการทำ
ธุรกิจร่วมกัน ส่วนเรื่องที่ผมทราบว่าคุณติ๊นาลาพักร้อนนั้น ผมเป็นคนสอบถามจากธนชาติเขาเอง”
ติ๊นาหายใจระรวยขณะตั้งใจฟังเขาพูดต่อ
“ผมทราบว่าคุณติ๊นาขอลาพักงานสามวัน วันที่สี่ก็เป็นวันอาทิตย์ เลยคิดว่าจะชวนคุณติ๊นาแวะที่บ้านผมด้วยหลังจากเสร็จจากการ
พักผ่อนตามแพลนของคุณติ๊นาเอง ไม่ใช่ชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดตามที่คิดไว้แต่แรกแล้วล่ะครับ พอดีทราบว่าคุณติ๊นาเองก็จะไปเยี่ยมคุณแม่
เหมือนกัน ที่ผมชวนแวะอย่างนั้น ก็เพราะเป็นเส้นทางผ่านขากลับกรุงเทพอยู่แล้ว แวะซักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงจะไม่เป็นไรกระมังครับ” คราว
นี้คุณดุลยรัฐเปิดยิ้มแค่มุมปาก “ผมอยากให้ดนัยได้แวะบ้าน พร้อมหน้ากับคุณติ๊นาด้วย”
....