[ บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/40789979 ]
[ บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/40799747 ]
[ บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/40811467 ]
[ บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/40820564 ]
[ บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/40824378 ]
[ บทที่ 6
https://ppantip.com/topic/40833653 ]
[ บทที่ 7
https://ppantip.com/topic/40852026 ]
บทที่ 8 ...
.
.
ช้อนส้อมร่วงหลุดมือ มีดหั่นออกฤทธิ์ร้ายกว่านั้น พอหล่นลงจานสเต็ก ปลายมีดก็พาลตวัดน้ำซ็อสดีดขึ้นมาจนเลอะเสื้อยืดสีม่วง เสียงหวีดร้องราวกับเห็นผีเข้ามีดหั่นของติ๊นา นั่นคือต้นเหตุแห่งความตกใจของดนัย
"ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรค่ะ ไม่มีอะไร" ติ๊นาลุกจากม้านั่ง สาละวนเก็บสิ่งของ เก็บไม่เว้นแม้แต่กระดาษทิชชู่ซึ่งหล่นลงกับพื้น ตอนนี้ อยู่ ๆ นิ้วมือทั้งสิบก็คล้ายกับไม่เคยตัดเล็บมาเป็นปี หยิบจับอะไรดูมันเก้งก้าง สะเปะสะปะไปหมดทุกอย่าง หยิบโน่นร่วง หยิบนี่หล่นแทบจะทุกสิ่ง โอยย..
ดนัยลุกยืนอยู่อีกฟากโต๊ะ "เดี๋ยวผมจะพาไปห้องน้ำนะ เลอะไปหมดแล้ว ดูสิ"
"ไม่เป็นไรหรอก ติ๊นาจัดการได้" เหลือบมองตาดนัยแล้ว ได้แต่เอ่ยคำขอโทษขอโพย "โทษทีนะตะเอง ติ๊นาซุ่มซ่ามไปน่ะ"
"ไม่เห็นต้องขอโทษอะไร ก็แค่อุบัติเหตุแค่นั้นเอง"
ใช่! อุบัติเหตุ แต่มันไม่แค่นั้นแล้วล่ะ
ติ๊นาเก็บความเรียบร้อยเสร็จสรรพก็เอ่ยปากขอตัว ไม่ลืมที่จะคว้าเสื้อสูทติดมือมาด้วยขณะคล้องกระเป๋าสะพายกับไหล่ พอตั้งท่าได้ ก็ก้าวเดินมุ่งสู่ห้องน้ำทันที เสียงเรียกของดนัยฟังไม่ได้ศัพท์ ดังตามหลังมาอย่างเป็นห่วง ขอโทษนะตะเอง.. ตอนนี้ติ๊นาหูอื้อ ซ้ำยังตาลายแทบจะมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำ คงไม่ได้ยินเสียงตะเองแล้วล่ะ
โชคดีที่หน้าห้องน้ำมีแผงกั้นระหว่างสุภาพสตรีกับสุภาพบุรุษมิดชิด คงไม่มีรายการจ๊ะเอ๋กับใครเข้าอีกนะ รีบตรงเข้าหาแผงอ่างล้างมือยาวเหยียดหน้าห้องน้ำสะอาด ทั้งล้างมือ ทั้งกวักน้ำใส่รอยเลอะ ตามด้วยกระดาษซับ ๆ ๆ ๆ ขยี้ ๆ ๆ ๆ จุดเปรอะเปื้อน เสื้อเริ่มเปียกน้ำจนชุ่มเย็น แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม หันซ้ายหันขวาไปมาอยู่กับที่ ตัดสินใจเข้าห้องน้ำว่างห้องหนึ่ง นั่งลงกับชักโครกขาวสะอาด กลิ่นหอม สมองมึนงงอยู่กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และคิดว่ากำลังจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกแน่ ๆ
โอย...ย... เอาไงดี
บอกกับตัวเองในใจได้เลยว่า ยังไม่พร้อมกับการเผชิญหน้ากันแบบนี้ ชายหนุ่มสองพี่น้องยังไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องเจอกันโดยมีติ๊นาอยู่ตรงกลางเช่นนี้ ถ้าไม่มีติ๊นาอยู่ด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่วันนี้ เวลานี้ มันกำลังจะเป็นการเจอกันแบบสามคนอลเวงเสียแล้ว
คนที่น่าจะอยู่ในสถานการณ์เป็นปกติต่อไปได้ เพราะด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใด ๆ มีเพียงดนัยเท่านั้น คุณดุลยรัฐนี่สิ นึกภาพไม่ออกว่าชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายจะรักษาสถานการณ์ให้ดำเนินต่อไปด้วยวิธีไหน น่าเป็นห่วงก็แต่คุณดุลยรัฐนี่ล่ะ แต่เอ๊ะ ไม่ใช่สิ! ติ๊นาต่างหากที่น่าเป็นห่วงกว่าใคร ๆ มิใช่หรือ?
หรือว่าติ๊นาคิดมากไปเอง คิดไปถึงขั้นที่ว่าคุณดุลยรัฐเป็นคนรักของตัวเองอีกคน แน่ใจแล้วหรือว่า? คุณดุลยรัฐก็คิดแบบเดียวกัน
ไม่รู้สิ
แต่วันนั้น วันที่ไปทานข้าวกลางวันกับเขามา ยังจำคำพูดก่อนจากกันได้ดีว่า...
. . .
แม้เราจะเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง และเพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ได้ทานข้าวด้วยกัน แต่ผมรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานานแล้วนะครับคุณติ๊นา นับต่อแต่นี้ไป หากคุณติ๊นาคิดว่าผมไม่ใช่คนน่ารำคาญ ผมขออนุญาตได้ไหมครับ ขออนุญาตมารับคุณติ๊นาไปทานข้าวกันอีกตามแต่คุณติ๊นาจะสะดวก หากวันไหนไม่สะดวกก็บอกผมได้นะครับ ผมจะได้ไม่รบกวนคุณติ๊นา . . .
. . .
อยากบอกคุณติ๊นาว่า ผมมีความสุขจังเลยครับวันนี้ ขอบคุณสำหรับการให้เกียรติกับมื้อกลางวันวันนี้ครับ . . .
นั่นเป็นการสื่อความนัยระดับไหนกันหนอ.. ถึงจะไม่ทราบตื้นลึกหนาบางในใจเขา ติ๊นาก็พอจะซึมซับบางอย่างได้ระดับหนึ่งเหมือนกันนะ ซึมซับกับอาการและสายตาของเขาในวันนั้นได้ดีว่า เราก็เป็นผู้หญิงคนพิเศษคนหนึ่งสำหรับเขาเหมือนกัน และติ๊นาก็ไม่สนใจด้วยว่า เขาจะมีผู้หญิงแบบนี้อีกกี่คน หรือไม่มีเลย
ถ้าอย่างนั้น
วันนี้ก็ยังไม่สมควรที่จะต้องเจอกันแบบสามคนอลเวงน่ะสิ
"ติ๊นา ! ติ๊นาเสร็จธุระหรือยังจ๊ะ" เสียงรียกของดนัยดังแว่วอยู่ข้างนอก
รีบรวบรวมสติลุกขึ้นสวมเสื้อสูทปิดทับเสื้อยืดฉ่ำน้ำ เก็บปกเสื้อยืดสีม่วงไม่ให้เห็น กลัดกระดุมเสื้อสูทจนครบทุกเม็ดก่อนย่องออกจากห้องน้ำ คิดภาวนาในใจอยู่คนเดียวว่า หากดนัยหรือแม้แต่ใครก็ตามมองผ่านมา ขอให้พวกเขามองผ่านไปด้วยเถิด เสื้อสูทคงพอเบี่ยงเบนให้มองข้ามได้นี่นา
โชคดีจริง ๆ กับแผงกั้นส่วนที่เป็นอ่างล้างมือ ส่วนนี้เองที่เป็นกำแพงบังตาให้เป็นอย่างดี ติ๊นาค่อย ๆ เดินตัวลีบหลบไปตามซอกมืดจนทะลุออกไปสู่ลานจอดรถกว้าง มองเห็นเด็กรับรถคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล
พอเดินเข้าไปถึงเด็กรับรถ ก็รีบแจ้งให้เขาทราบว่า พอดีออกมาสูดอากาศข้างนอกเพื่อรอแฟนไปด้วย เดี๋ยวแฟนก็คงจะตามมา ช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับพี่สักพักด้วยนะ คุยอะไรก็ได้ แล้วคอยมองเข้าไปในร้านให้หน่อยว่ามีใครมาตามหรือเปล่า เด็กหนุ่มคนนั้นรับทราบด้วยความเข้าใจเป็นอันดี ติ๊นายืนหันหลังให้กับร้านอาหารเป็นการจงใจ อย่างน้อยใครก็ตามที่มองมาแล้ว จะเห็นได้ก็แต่ด้านหลังของติ๊นาเท่านั้นเอง ลูกค้าร้านอาหารก็ค่อนข้างเดินกันขวักไขว่ ระหว่างลานจอดรถและทางเดินสู่ห้องน้ำ โชคดีจัง
หัวใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ สมาธิที่สับสนไม่เป็นขบวน ทำให้ติ๊นาคิดอะไรไม่ออก ขณะนี้คล้ายกับเหลือเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ที่พาให้ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่า สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ชวนเด็กหนุ่มคนนั้นคุยด้วยอยู่ไม่นาน เสียงเรียกของดนัยจากทางเบื้องหลังก็ดังแว่วมา
เด็กหนุ่มรับรถเอ่ยถามมาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อติ๊นาหรือเปล่าครับ? แฟนพี่กำลังเรียกอยู่โน่นแล้วครับ"
"เขาออกมาคนเดียวหรือเปล่าจ๊ะ?"
"มองเห็นคนเดียวครับ"
ติ๊นาขอบใจเขา ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งสู่รถของดนัยที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล ไม่ได้ยินเสียงเรียกจากดนัยตามมาอีกแต่อย่างใด พอก้าวเดินมาจนถึงรถของเขา ติ๊นาอ้อมไปทางฝั่งประตูด้านคนขับและเงยหน้ามองไปทางดนัย แม้เขาจะอยู่ในจุดมุมมืดแต่เห็นได้ชัดว่า เขากำลังเดินมุ่งหน้ามาหา
"ติ๊นา.. ใช่ติ๊นารึเปล่าครับ?"
"ใช่จ้ะ ตะเอง"
ดนัยก้าวเท้ายาวจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง และในที่สุด ก็มาหยุดยืนอยู่คนละฝั่งกับตัวรถ
"ติ๊นาสวมเสื้อทับทำไม มันยิ่งทำให้หายใจไม่สะดวก แล้วทำไมถึงมาที่รถนี่"
"ติ๊นาลืมไป เผลอคิดว่าตัวเองเอารถมา เลยกะว่าจะมาค้นหายาดมหน่อยน่ะ" แปลกใจกับคำพูดของตัวเองจังเลย คล้ายกับมันลื่นไหลออกมาเองโดยไม่ต้องเสียเวลาลำดับความคิด
"ตอนนั้นคิดว่ามองเห็นที่หน้าห้องน้ำแล้วนะ แต่ก็ไม่ถนัดและไม่แน่ใจ แล้วติ๊นาก็สวมเสื้อสูทนี้ทับด้วย เลยทำให้มองผ่านไป ขอโทษนะที่ปล่อยให้ติ๊นาต้องเดินมาถึงนี่คนเดียว"
นั่นล่ะ!! ที่ติ๊นาอยากให้เป็นไปตามนั้น ..คุณเจ้าชาย
"ต้องขอโทษทำไม ก็แค่อุบัติเหตุเอง"
"เอ๊ะ คล้าย ๆ คำพูดของผมตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารนะ"
เราหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย "สงสัยวันนี้ฤกษ์ไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ติ๊นาว่าไหม?" ดนัยมองสบตามา
"ใช่"
"งั้นเราเปลี่ยนร้านกันดีไหม?"
"ก็ดีนะ แล้วตะเองทานอะไรรึยัง?"
"โถ.. ใครจะกลืนอะไรลง รอติ๊นากลับจากห้องน้ำอยู่ตั้งนานจนต้องไปตาม พอตามแล้วก็ค้นหาอีก ค้นหาจนมาเจออยู่นี่ไง"
"ขอโทษนะ ตะเอง"
"ไม่ต้องขอโทษหรอก"
". . . มั น ก็ แ ค่ อุ บั ติ เ ห ตุ เ อ ง . . ."
คราวนี้ เหมือนเราจะตั้งใจพูดพร้อมกัน ก่อนที่จะตามด้วยเสียงหัวเราะด้วยความแจ่มใสขึ้นสำหรับติ๊นา อ้อ สำหรับดนัยด้วย
"โอ๊ะ !!" ดนัยเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ตอนนี้ผมให้พี่ชายเฝ้าโต๊ะอยู่ เพราะเกรงว่าทางร้านจะหาว่าเราเบี้ยวค่าอาหาร เดี๋ยวผมจะติดเครื่องรถให้ก่อนนะ วันนี้คงไม่ได้แนะนำตัวให้รู้จักกันแล้วล่ะ"
พูดจบ ดนัยก็กดรีโหมดเปิดประตูรถให้ เขาเดินอ้อมมาทางฝั่งคนขับ มุดเข้าไปนั่งสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมกับเปิดแอร์ ติ๊นาเดินไปอีกฝั่ง ค้อมหัวเข้าไปนั่งลงที่เบาะด้านข้างคนขับ เสียงถอนหายใจค่อนข้างหนักของติ๊นา ทำให้ดนัยหันมามอง
"เสียฤกษ์ไปนิด แต่ร้านใหม่คงฤกษ์ใหม่ สดใสแน่ โอเคร. รอแป๊บ เดี๋ยวผมมา"
"ฝากขอโทษพี่ชายตะเองด้วยนะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ" ดนัยยิ้มแย้ม "วันนี้ยังไม่พร้อมที่จะรู้จักกันซะหน่อย" เขาเปิดประตูก้าวลงจากรถ และค่อย ๆ ลับหลังห่างออกไป
เฮ้อ ..
คำพูดของดนัย แม้จะเป็นคำพูดเสมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์ยังเป็นปกติดี แต่ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะติ๊นาเองหรือเปล่าหนอ ที่ทำให้การพบปะกันไม่ลงตัว อย่างที่ชายหนุ่มสองพี่น้องคาดหวังไว้
ดีแล้วล่ะ ก็ติ๊นาอยากให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่นา
.............
.............
(มีต่อ)
☻ รักต้องเลือก ☻ บทที่ 8 ...
[ บทที่ 2 https://ppantip.com/topic/40799747 ]
[ บทที่ 3 https://ppantip.com/topic/40811467 ]
[ บทที่ 4 https://ppantip.com/topic/40820564 ]
[ บทที่ 5 https://ppantip.com/topic/40824378 ]
[ บทที่ 6 https://ppantip.com/topic/40833653 ]
[ บทที่ 7 https://ppantip.com/topic/40852026 ]
บทที่ 8 ...
"ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรค่ะ ไม่มีอะไร" ติ๊นาลุกจากม้านั่ง สาละวนเก็บสิ่งของ เก็บไม่เว้นแม้แต่กระดาษทิชชู่ซึ่งหล่นลงกับพื้น ตอนนี้ อยู่ ๆ นิ้วมือทั้งสิบก็คล้ายกับไม่เคยตัดเล็บมาเป็นปี หยิบจับอะไรดูมันเก้งก้าง สะเปะสะปะไปหมดทุกอย่าง หยิบโน่นร่วง หยิบนี่หล่นแทบจะทุกสิ่ง โอยย..
ดนัยลุกยืนอยู่อีกฟากโต๊ะ "เดี๋ยวผมจะพาไปห้องน้ำนะ เลอะไปหมดแล้ว ดูสิ"
"ไม่เป็นไรหรอก ติ๊นาจัดการได้" เหลือบมองตาดนัยแล้ว ได้แต่เอ่ยคำขอโทษขอโพย "โทษทีนะตะเอง ติ๊นาซุ่มซ่ามไปน่ะ"
"ไม่เห็นต้องขอโทษอะไร ก็แค่อุบัติเหตุแค่นั้นเอง"
ใช่! อุบัติเหตุ แต่มันไม่แค่นั้นแล้วล่ะ
ติ๊นาเก็บความเรียบร้อยเสร็จสรรพก็เอ่ยปากขอตัว ไม่ลืมที่จะคว้าเสื้อสูทติดมือมาด้วยขณะคล้องกระเป๋าสะพายกับไหล่ พอตั้งท่าได้ ก็ก้าวเดินมุ่งสู่ห้องน้ำทันที เสียงเรียกของดนัยฟังไม่ได้ศัพท์ ดังตามหลังมาอย่างเป็นห่วง ขอโทษนะตะเอง.. ตอนนี้ติ๊นาหูอื้อ ซ้ำยังตาลายแทบจะมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำ คงไม่ได้ยินเสียงตะเองแล้วล่ะ
โชคดีที่หน้าห้องน้ำมีแผงกั้นระหว่างสุภาพสตรีกับสุภาพบุรุษมิดชิด คงไม่มีรายการจ๊ะเอ๋กับใครเข้าอีกนะ รีบตรงเข้าหาแผงอ่างล้างมือยาวเหยียดหน้าห้องน้ำสะอาด ทั้งล้างมือ ทั้งกวักน้ำใส่รอยเลอะ ตามด้วยกระดาษซับ ๆ ๆ ๆ ขยี้ ๆ ๆ ๆ จุดเปรอะเปื้อน เสื้อเริ่มเปียกน้ำจนชุ่มเย็น แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม หันซ้ายหันขวาไปมาอยู่กับที่ ตัดสินใจเข้าห้องน้ำว่างห้องหนึ่ง นั่งลงกับชักโครกขาวสะอาด กลิ่นหอม สมองมึนงงอยู่กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และคิดว่ากำลังจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกแน่ ๆ
โอย...ย... เอาไงดี
บอกกับตัวเองในใจได้เลยว่า ยังไม่พร้อมกับการเผชิญหน้ากันแบบนี้ ชายหนุ่มสองพี่น้องยังไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องเจอกันโดยมีติ๊นาอยู่ตรงกลางเช่นนี้ ถ้าไม่มีติ๊นาอยู่ด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่วันนี้ เวลานี้ มันกำลังจะเป็นการเจอกันแบบสามคนอลเวงเสียแล้ว
คนที่น่าจะอยู่ในสถานการณ์เป็นปกติต่อไปได้ เพราะด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใด ๆ มีเพียงดนัยเท่านั้น คุณดุลยรัฐนี่สิ นึกภาพไม่ออกว่าชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายจะรักษาสถานการณ์ให้ดำเนินต่อไปด้วยวิธีไหน น่าเป็นห่วงก็แต่คุณดุลยรัฐนี่ล่ะ แต่เอ๊ะ ไม่ใช่สิ! ติ๊นาต่างหากที่น่าเป็นห่วงกว่าใคร ๆ มิใช่หรือ?
หรือว่าติ๊นาคิดมากไปเอง คิดไปถึงขั้นที่ว่าคุณดุลยรัฐเป็นคนรักของตัวเองอีกคน แน่ใจแล้วหรือว่า? คุณดุลยรัฐก็คิดแบบเดียวกัน
ไม่รู้สิ
แต่วันนั้น วันที่ไปทานข้าวกลางวันกับเขามา ยังจำคำพูดก่อนจากกันได้ดีว่า...
. . . แม้เราจะเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง และเพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ได้ทานข้าวด้วยกัน แต่ผมรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานานแล้วนะครับคุณติ๊นา นับต่อแต่นี้ไป หากคุณติ๊นาคิดว่าผมไม่ใช่คนน่ารำคาญ ผมขออนุญาตได้ไหมครับ ขออนุญาตมารับคุณติ๊นาไปทานข้าวกันอีกตามแต่คุณติ๊นาจะสะดวก หากวันไหนไม่สะดวกก็บอกผมได้นะครับ ผมจะได้ไม่รบกวนคุณติ๊นา . . .
. . . อยากบอกคุณติ๊นาว่า ผมมีความสุขจังเลยครับวันนี้ ขอบคุณสำหรับการให้เกียรติกับมื้อกลางวันวันนี้ครับ . . .
นั่นเป็นการสื่อความนัยระดับไหนกันหนอ.. ถึงจะไม่ทราบตื้นลึกหนาบางในใจเขา ติ๊นาก็พอจะซึมซับบางอย่างได้ระดับหนึ่งเหมือนกันนะ ซึมซับกับอาการและสายตาของเขาในวันนั้นได้ดีว่า เราก็เป็นผู้หญิงคนพิเศษคนหนึ่งสำหรับเขาเหมือนกัน และติ๊นาก็ไม่สนใจด้วยว่า เขาจะมีผู้หญิงแบบนี้อีกกี่คน หรือไม่มีเลย
ถ้าอย่างนั้น
วันนี้ก็ยังไม่สมควรที่จะต้องเจอกันแบบสามคนอลเวงน่ะสิ
"ติ๊นา ! ติ๊นาเสร็จธุระหรือยังจ๊ะ" เสียงรียกของดนัยดังแว่วอยู่ข้างนอก
รีบรวบรวมสติลุกขึ้นสวมเสื้อสูทปิดทับเสื้อยืดฉ่ำน้ำ เก็บปกเสื้อยืดสีม่วงไม่ให้เห็น กลัดกระดุมเสื้อสูทจนครบทุกเม็ดก่อนย่องออกจากห้องน้ำ คิดภาวนาในใจอยู่คนเดียวว่า หากดนัยหรือแม้แต่ใครก็ตามมองผ่านมา ขอให้พวกเขามองผ่านไปด้วยเถิด เสื้อสูทคงพอเบี่ยงเบนให้มองข้ามได้นี่นา
โชคดีจริง ๆ กับแผงกั้นส่วนที่เป็นอ่างล้างมือ ส่วนนี้เองที่เป็นกำแพงบังตาให้เป็นอย่างดี ติ๊นาค่อย ๆ เดินตัวลีบหลบไปตามซอกมืดจนทะลุออกไปสู่ลานจอดรถกว้าง มองเห็นเด็กรับรถคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล
พอเดินเข้าไปถึงเด็กรับรถ ก็รีบแจ้งให้เขาทราบว่า พอดีออกมาสูดอากาศข้างนอกเพื่อรอแฟนไปด้วย เดี๋ยวแฟนก็คงจะตามมา ช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับพี่สักพักด้วยนะ คุยอะไรก็ได้ แล้วคอยมองเข้าไปในร้านให้หน่อยว่ามีใครมาตามหรือเปล่า เด็กหนุ่มคนนั้นรับทราบด้วยความเข้าใจเป็นอันดี ติ๊นายืนหันหลังให้กับร้านอาหารเป็นการจงใจ อย่างน้อยใครก็ตามที่มองมาแล้ว จะเห็นได้ก็แต่ด้านหลังของติ๊นาเท่านั้นเอง ลูกค้าร้านอาหารก็ค่อนข้างเดินกันขวักไขว่ ระหว่างลานจอดรถและทางเดินสู่ห้องน้ำ โชคดีจัง
หัวใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ สมาธิที่สับสนไม่เป็นขบวน ทำให้ติ๊นาคิดอะไรไม่ออก ขณะนี้คล้ายกับเหลือเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น ที่พาให้ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่า สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ชวนเด็กหนุ่มคนนั้นคุยด้วยอยู่ไม่นาน เสียงเรียกของดนัยจากทางเบื้องหลังก็ดังแว่วมา
เด็กหนุ่มรับรถเอ่ยถามมาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อติ๊นาหรือเปล่าครับ? แฟนพี่กำลังเรียกอยู่โน่นแล้วครับ"
"เขาออกมาคนเดียวหรือเปล่าจ๊ะ?"
"มองเห็นคนเดียวครับ"
ติ๊นาขอบใจเขา ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งสู่รถของดนัยที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล ไม่ได้ยินเสียงเรียกจากดนัยตามมาอีกแต่อย่างใด พอก้าวเดินมาจนถึงรถของเขา ติ๊นาอ้อมไปทางฝั่งประตูด้านคนขับและเงยหน้ามองไปทางดนัย แม้เขาจะอยู่ในจุดมุมมืดแต่เห็นได้ชัดว่า เขากำลังเดินมุ่งหน้ามาหา
"ติ๊นา.. ใช่ติ๊นารึเปล่าครับ?"
"ใช่จ้ะ ตะเอง"
ดนัยก้าวเท้ายาวจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง และในที่สุด ก็มาหยุดยืนอยู่คนละฝั่งกับตัวรถ
"ติ๊นาสวมเสื้อทับทำไม มันยิ่งทำให้หายใจไม่สะดวก แล้วทำไมถึงมาที่รถนี่"
"ติ๊นาลืมไป เผลอคิดว่าตัวเองเอารถมา เลยกะว่าจะมาค้นหายาดมหน่อยน่ะ" แปลกใจกับคำพูดของตัวเองจังเลย คล้ายกับมันลื่นไหลออกมาเองโดยไม่ต้องเสียเวลาลำดับความคิด
"ตอนนั้นคิดว่ามองเห็นที่หน้าห้องน้ำแล้วนะ แต่ก็ไม่ถนัดและไม่แน่ใจ แล้วติ๊นาก็สวมเสื้อสูทนี้ทับด้วย เลยทำให้มองผ่านไป ขอโทษนะที่ปล่อยให้ติ๊นาต้องเดินมาถึงนี่คนเดียว"
นั่นล่ะ!! ที่ติ๊นาอยากให้เป็นไปตามนั้น ..คุณเจ้าชาย
"ต้องขอโทษทำไม ก็แค่อุบัติเหตุเอง"
"เอ๊ะ คล้าย ๆ คำพูดของผมตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารนะ"
เราหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย "สงสัยวันนี้ฤกษ์ไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ติ๊นาว่าไหม?" ดนัยมองสบตามา
"ใช่"
"งั้นเราเปลี่ยนร้านกันดีไหม?"
"ก็ดีนะ แล้วตะเองทานอะไรรึยัง?"
"โถ.. ใครจะกลืนอะไรลง รอติ๊นากลับจากห้องน้ำอยู่ตั้งนานจนต้องไปตาม พอตามแล้วก็ค้นหาอีก ค้นหาจนมาเจออยู่นี่ไง"
"ขอโทษนะ ตะเอง"
"ไม่ต้องขอโทษหรอก"
". . . มั น ก็ แ ค่ อุ บั ติ เ ห ตุ เ อ ง . . ."
คราวนี้ เหมือนเราจะตั้งใจพูดพร้อมกัน ก่อนที่จะตามด้วยเสียงหัวเราะด้วยความแจ่มใสขึ้นสำหรับติ๊นา อ้อ สำหรับดนัยด้วย
"โอ๊ะ !!" ดนัยเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ตอนนี้ผมให้พี่ชายเฝ้าโต๊ะอยู่ เพราะเกรงว่าทางร้านจะหาว่าเราเบี้ยวค่าอาหาร เดี๋ยวผมจะติดเครื่องรถให้ก่อนนะ วันนี้คงไม่ได้แนะนำตัวให้รู้จักกันแล้วล่ะ"
พูดจบ ดนัยก็กดรีโหมดเปิดประตูรถให้ เขาเดินอ้อมมาทางฝั่งคนขับ มุดเข้าไปนั่งสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมกับเปิดแอร์ ติ๊นาเดินไปอีกฝั่ง ค้อมหัวเข้าไปนั่งลงที่เบาะด้านข้างคนขับ เสียงถอนหายใจค่อนข้างหนักของติ๊นา ทำให้ดนัยหันมามอง
"เสียฤกษ์ไปนิด แต่ร้านใหม่คงฤกษ์ใหม่ สดใสแน่ โอเคร. รอแป๊บ เดี๋ยวผมมา"
"ฝากขอโทษพี่ชายตะเองด้วยนะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ" ดนัยยิ้มแย้ม "วันนี้ยังไม่พร้อมที่จะรู้จักกันซะหน่อย" เขาเปิดประตูก้าวลงจากรถ และค่อย ๆ ลับหลังห่างออกไป
เฮ้อ ..
คำพูดของดนัย แม้จะเป็นคำพูดเสมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์ยังเป็นปกติดี แต่ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะติ๊นาเองหรือเปล่าหนอ ที่ทำให้การพบปะกันไม่ลงตัว อย่างที่ชายหนุ่มสองพี่น้องคาดหวังไว้
ดีแล้วล่ะ ก็ติ๊นาอยากให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่นา
.............
.............
(มีต่อ)