(ต่อ)
.............
เสร็จสิ้นจากการประชุม บ่ายสองโมง
พวกเราสามนางเอกกับหนึ่งหนุ่มผู้ติดตามก็ได้เวลากลับกรุงเทพกัน จริง ๆ แล้ว
ติ๊นาเสร็จภาระกิจของตัวเองตั้งแต่พักทานข้าวมื้อกลางวันแล้ว แต่พอประชุมกันต่อ ติ๊นาก็นึกอยากนั่งฟังด้วย เลยต้องร่วมเป็นหนึ่งในการประชุมไปโดยหลวตัว ซึ่งในนั้นมีฝ่ายบัญชีคืออุ้ม ฝ่ายจัดซื้อคือติ๊ก ร่วมกันสกรีนข้อมูลและสรุปขั้นตอนการสั่งซื้อวัสดุเบื้องต้นกับสองบริษัทคู่สัญญา ส่วนคุณธนชาติหัวหน้านั้น รีบกลับกรุงเทพตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว
เมื่อเสร็จสรรพในขั้นตอนทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราก็พากันออกมาสู่ลานจอดรถเพื่อเดินทางกลับ
รถตู้ความเร็วสูงของบริษัท ก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางสู่ห้วงอวกาศ
ที่ติ๊นาต้องพูดอย่างนั้นก็เพราะเมื่อตอนขามา ขณะที่รถกำลังวิ่งหน้าตั้ง พวกเราคล้ายกับอยู่ในห้วงอวกาศประมาณนั้นเลย ความรู้สึกเบาโหวง... ไร้น้ำหนัก ชวนให้นึกถึงฉากในหนังอาร์มาเก็ดดอนเลย
อุ้มปรามน้องคนขับด้วยความนุ่มนวลผสมข่วนด้วยเล็บ "เมื่อเช้าเรารีบก็ใช่อ่ะนะ แต่ขากลับเนี่ย ไม่รีบแล้วล่ะน้องป๋อง อยากนั่งรถสัมผัสสายลม สัมผัสนก สัมผัสต้นไม้ ดอกไม้ตามรายทางไปแบบเพลิน ๆ ไม่อยากลอยไปบนฟ้า รึกระเด็นออกนอกโลกนะจ๊ะ"
"
เต็มที่เลยป๋อง! เส้นมอเตอร์เวย์เขาไม่มีหรอก ต้นม้งต้นไม้รายทาง" ติ๊นาส่งเสียงบอกป๋องคนขับรถ
อร๊ายย...ย..
เพื่อนซี้ผู้เปี่ยมด้วยคำจำนรรจาหันขวับมาแทบจะทันทีทันใด ดีนะ.. ที่นั่งมันข้ามเบาะกั้นสองตัว ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าแม่คุณเธอจะผวาข้ามเบาะมากัดคอติ๊นาหรือเปล่า
เสียงจากเบาะข้างหลังหัวเราะกันคิกคัก
ติ๊นาเสริมตามเข้าไปอีก บอกให้ป๋องดูตามสภาพถนนอำนวย หากอำนวยก็ตามอำนาจเท้ากับคันเร่งเลย ไม่ได้แกล้งยั่วอารมณ์แม่คุณอุ้มแต่อย่างใด แค่เกรงว่าจะกลับไปไม่ทันนัดกับ'
คุณดุลยรัฐ' แค่นั้นเอง
ติ๊นานั่งอมยิ้ม หัวเราะในลำคอ ลอยหน้าลอยตาแต่พองาม แม่คุณเพื่อนสะบัดค้อนตอบมาแทบหลบไม่ทัน โชคดีที่มันไม่กระเด็นไปใส่กระจกหน้าต่างรถ
แล้วรถตู้ก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น เมื่อเข้าสู่ถนนสุขุมวิทเมนหลัก ทุกคนเงียบเสียงราวกับนัดกันไว้ ดีมาก... ติ๊นาจะได้มีสมาธิอ่านข้อความไลน์ในโทรศัพท์
สามข้อความของคนที่หนึ่ง เป็นการส่งมาจากดนัย
‘....คิดถึงนะ....
’ ตามด้วยสติ๊กเกอร์
‘....ตอนเย็นทานข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวมารับที่บริษัทหลังเลิกงานจ้า....
’ ตามด้วยสติ๊กเกอร์อีก
‘....คิดถึง คิดถึง คิดถึง....
’ แล้วก็ยังตามด้วยสติ๊กเกอร์อีก
อ่านไปยิ้มไป น่ารักจังเลย.. แต่ถ้าเราไม่กดไปกวนก่อนนะ เจ้าชายพระองค์นี้ก็จะเงียบทุกที
ไม่เหมือนคนที่สองนี้เลย
....
ขอให้กลับโดยสวัสดิภาพนะครับ ถึงจะเย็นยังไงก็รอได้ครับ เพราะผมต้งใจนำตัวอย่างหินอ่อนเปอร์เซียมาให้คุณติ๊นาดู จะได้ใช้ประกอบการดีไซน์ห้องครัวและห้องน้ำโดยสมบูรณ์....
ดุลยรัฐ
แม้จะเป็นข้อความเดียว แม้จะไม่มีสติ๊กเกอร์ และแม้จะเป็นข้อความเป็นการเป็นงานเสมอ แต่ก็ทำให้ติ๊นายิ้มได้อย่างชื่นฉ่ำหัวใจ คนอะไร ไว้ท่าที ไว้เชิงชายสุด ๆ ตั้งแต่รู้จักกันมาแค่ชวนทานข้าวด้วยกันซักมื้อก็ยังไม่เคยได้ยิน ทั้ง ๆ ที่โทรศัพท์มาหาเกือบจะวันเว้นวัน เรื่องราวสนทนาในสายก็มีแต่เรื่องการงาน แต่รู้นะว่าแอบซ่อนอะไรลาง ๆ อยู่ เห็นจบการสนทนาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทุกที
อาการเก็บงำแต่พองามของผู้ชาย บางครั้งมันก็ดูมีเสน่ห์เหมือนกันนะ
"ป๋องเอ๊ย... ใส่เกียร์พิเศษเหาะไปเลย มีคนนั่งทุรนทุรายอยากให้ถึงบริษัทไว ๆ แล้วเนี่ย"
อุ้มข่วนข้ามเบาะมาตามเคย ติ๊นายิ้มหน้าแป้นใส่ ก่อนจะหันมามองกระจกหน้าต่างรถ ทำทีไม่ใส่ใจอะไร
ตั้งแต่ได้รู้จักกันกับดนัยมาหกเดือน แม้จะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นที่ได้รู้จักกัน แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขที่สุด สุขกับการได้ค้นพบสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน
ดนัยทำงานในตำแหน่งรองผู้จัดการแผนกลูกค้าสัมพันธ์ในห้างใหญ่ห้างหนึ่ง ใกล้กับที่ทำงานของติ๊นา เรารู้จักกันโดยผ่านทางเพื่อน ชายหนุ่มผู้ซึ่งต้องคอยกำชับอะไรให้อยู่เสมอ ๆ ดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ และเพราะความง่าย ความสบายจนเคยชินนี้เอง ที่ทำให้เขาหลงลืมแม้แต่การทักทายสื่อสารกับติ๊นา จนติ๊นาต้องคอยสะกิดให้รู้ตัวเสมอ
เราไปกันได้ด้วยดี มีเวลาดูหนังฟังเพลง กินข้าวด้วยกันในวันหยุด มีอะไรสื่อสารถึงกันและกัน ...ด้วยความห่วงใยซึ่งกันและกัน
แต่ตอนนี้สิ
ตอนนี้มีผู้ชายอีกคนแทรกเข้ามาเงียบ ๆ ถึงแม้ติ๊นาจะนึกถึงดนัยเพื่อเป็นการปรามตัวเอง แต่มันก็ไม่เคยทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สักที บางครั้งยังเคยตำหนิตัวเองอย่างแรง ๆ เพื่อจะให้สำนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง แต่พอมีเรื่องของงานซึ่งต้องได้เกี่ยวข้องกับเขาอีก ติ๊นาก็เผลอเคลิ้มไปกับเจ้าของบริษัทแปรรูปหินอ่อนรายนี้ทุกที
แบบนี้เขาเรียกนอกใจดนัยหรือเปล่าหนอ
คงไม่หรอก
เราแค่เพียงถูกชะตากับเขา ก็แค่นั้นเองนี่นา
ในที่สุด
พวกเราก็กลับมาถึงสำนักงานใหญ่ลาดพร้าวในเวลาบ่ายสามโมงเศษ ทุกคนต่างยังเกาะกลุ่มกันอยู่ จนกระทั่งขึ้นลิฟต์และแยกย้ายกันไปตามแผนกของตัวเอง ติ๊นาก็ปลีกตัวมุ่งสู่อาณาเขตของตัวเองเช่นกัน
ที่ล็อบบี้ต้อนรับแขกหน้าแผนกของติ๊นานั้น ชายหนุ่มร่างสูงคุ้นตาคนหนึ่งลุกจากเก้าอี้บุหนัง เขาส่งยิ้มทักทายมาก่อน ติ๊นายิ้มตอบขณะเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขา ไม่ห่างกัน
"ปลอดภัยสำหรับการเดินทางนะครับ"เขาทักทายมา
ติ๊นาขอบคุณ ก่อนจะเชื้อเชิญให้เข้าไปคุยกันที่ห้องทำงานส่วนตัว อดชำเลืองมองนาฬิกาซึ่งสวมอยู่กับข้อมือไม่ได้ ตอนนี้อีกสิบนาทีจะสี่โมงเย็น ต้องรีบคุยธุระกับคุณดุลยรัฐให้เสร็จก่อนสี่โมงครึ่งแล้วล่ะ เพราะไม่เช่นนั้น ดนัยจะขึ้นมารอติ๊นาเลิกงานที่ล็อบบี้สี่โมงครึ่ง เหมือนเช่นที่เขามาประจำ
นึกถึงตรงนี้ขึ้นมา ติ๊นาได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ
☻ รักต้องเลือก ☻
.............
เสร็จสิ้นจากการประชุม บ่ายสองโมง
พวกเราสามนางเอกกับหนึ่งหนุ่มผู้ติดตามก็ได้เวลากลับกรุงเทพกัน จริง ๆ แล้ว ติ๊นาเสร็จภาระกิจของตัวเองตั้งแต่พักทานข้าวมื้อกลางวันแล้ว แต่พอประชุมกันต่อ ติ๊นาก็นึกอยากนั่งฟังด้วย เลยต้องร่วมเป็นหนึ่งในการประชุมไปโดยหลวตัว ซึ่งในนั้นมีฝ่ายบัญชีคืออุ้ม ฝ่ายจัดซื้อคือติ๊ก ร่วมกันสกรีนข้อมูลและสรุปขั้นตอนการสั่งซื้อวัสดุเบื้องต้นกับสองบริษัทคู่สัญญา ส่วนคุณธนชาติหัวหน้านั้น รีบกลับกรุงเทพตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว
เมื่อเสร็จสรรพในขั้นตอนทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราก็พากันออกมาสู่ลานจอดรถเพื่อเดินทางกลับ
รถตู้ความเร็วสูงของบริษัท ก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางสู่ห้วงอวกาศ
ที่ติ๊นาต้องพูดอย่างนั้นก็เพราะเมื่อตอนขามา ขณะที่รถกำลังวิ่งหน้าตั้ง พวกเราคล้ายกับอยู่ในห้วงอวกาศประมาณนั้นเลย ความรู้สึกเบาโหวง... ไร้น้ำหนัก ชวนให้นึกถึงฉากในหนังอาร์มาเก็ดดอนเลย
อุ้มปรามน้องคนขับด้วยความนุ่มนวลผสมข่วนด้วยเล็บ "เมื่อเช้าเรารีบก็ใช่อ่ะนะ แต่ขากลับเนี่ย ไม่รีบแล้วล่ะน้องป๋อง อยากนั่งรถสัมผัสสายลม สัมผัสนก สัมผัสต้นไม้ ดอกไม้ตามรายทางไปแบบเพลิน ๆ ไม่อยากลอยไปบนฟ้า รึกระเด็นออกนอกโลกนะจ๊ะ"
"เต็มที่เลยป๋อง! เส้นมอเตอร์เวย์เขาไม่มีหรอก ต้นม้งต้นไม้รายทาง" ติ๊นาส่งเสียงบอกป๋องคนขับรถ
อร๊ายย...ย..
เพื่อนซี้ผู้เปี่ยมด้วยคำจำนรรจาหันขวับมาแทบจะทันทีทันใด ดีนะ.. ที่นั่งมันข้ามเบาะกั้นสองตัว ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าแม่คุณเธอจะผวาข้ามเบาะมากัดคอติ๊นาหรือเปล่า
เสียงจากเบาะข้างหลังหัวเราะกันคิกคัก
ติ๊นาเสริมตามเข้าไปอีก บอกให้ป๋องดูตามสภาพถนนอำนวย หากอำนวยก็ตามอำนาจเท้ากับคันเร่งเลย ไม่ได้แกล้งยั่วอารมณ์แม่คุณอุ้มแต่อย่างใด แค่เกรงว่าจะกลับไปไม่ทันนัดกับ'คุณดุลยรัฐ' แค่นั้นเอง
ติ๊นานั่งอมยิ้ม หัวเราะในลำคอ ลอยหน้าลอยตาแต่พองาม แม่คุณเพื่อนสะบัดค้อนตอบมาแทบหลบไม่ทัน โชคดีที่มันไม่กระเด็นไปใส่กระจกหน้าต่างรถ
แล้วรถตู้ก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น เมื่อเข้าสู่ถนนสุขุมวิทเมนหลัก ทุกคนเงียบเสียงราวกับนัดกันไว้ ดีมาก... ติ๊นาจะได้มีสมาธิอ่านข้อความไลน์ในโทรศัพท์
สามข้อความของคนที่หนึ่ง เป็นการส่งมาจากดนัย ‘....คิดถึงนะ....’ ตามด้วยสติ๊กเกอร์
‘....ตอนเย็นทานข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวมารับที่บริษัทหลังเลิกงานจ้า....’ ตามด้วยสติ๊กเกอร์อีก
‘....คิดถึง คิดถึง คิดถึง....’ แล้วก็ยังตามด้วยสติ๊กเกอร์อีก
อ่านไปยิ้มไป น่ารักจังเลย.. แต่ถ้าเราไม่กดไปกวนก่อนนะ เจ้าชายพระองค์นี้ก็จะเงียบทุกที
ไม่เหมือนคนที่สองนี้เลย
....ขอให้กลับโดยสวัสดิภาพนะครับ ถึงจะเย็นยังไงก็รอได้ครับ เพราะผมต้งใจนำตัวอย่างหินอ่อนเปอร์เซียมาให้คุณติ๊นาดู จะได้ใช้ประกอบการดีไซน์ห้องครัวและห้องน้ำโดยสมบูรณ์.... ดุลยรัฐ
แม้จะเป็นข้อความเดียว แม้จะไม่มีสติ๊กเกอร์ และแม้จะเป็นข้อความเป็นการเป็นงานเสมอ แต่ก็ทำให้ติ๊นายิ้มได้อย่างชื่นฉ่ำหัวใจ คนอะไร ไว้ท่าที ไว้เชิงชายสุด ๆ ตั้งแต่รู้จักกันมาแค่ชวนทานข้าวด้วยกันซักมื้อก็ยังไม่เคยได้ยิน ทั้ง ๆ ที่โทรศัพท์มาหาเกือบจะวันเว้นวัน เรื่องราวสนทนาในสายก็มีแต่เรื่องการงาน แต่รู้นะว่าแอบซ่อนอะไรลาง ๆ อยู่ เห็นจบการสนทนาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทุกที
อาการเก็บงำแต่พองามของผู้ชาย บางครั้งมันก็ดูมีเสน่ห์เหมือนกันนะ
"ป๋องเอ๊ย... ใส่เกียร์พิเศษเหาะไปเลย มีคนนั่งทุรนทุรายอยากให้ถึงบริษัทไว ๆ แล้วเนี่ย"
อุ้มข่วนข้ามเบาะมาตามเคย ติ๊นายิ้มหน้าแป้นใส่ ก่อนจะหันมามองกระจกหน้าต่างรถ ทำทีไม่ใส่ใจอะไร
ตั้งแต่ได้รู้จักกันกับดนัยมาหกเดือน แม้จะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นที่ได้รู้จักกัน แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขที่สุด สุขกับการได้ค้นพบสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน
ดนัยทำงานในตำแหน่งรองผู้จัดการแผนกลูกค้าสัมพันธ์ในห้างใหญ่ห้างหนึ่ง ใกล้กับที่ทำงานของติ๊นา เรารู้จักกันโดยผ่านทางเพื่อน ชายหนุ่มผู้ซึ่งต้องคอยกำชับอะไรให้อยู่เสมอ ๆ ดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ และเพราะความง่าย ความสบายจนเคยชินนี้เอง ที่ทำให้เขาหลงลืมแม้แต่การทักทายสื่อสารกับติ๊นา จนติ๊นาต้องคอยสะกิดให้รู้ตัวเสมอ
เราไปกันได้ด้วยดี มีเวลาดูหนังฟังเพลง กินข้าวด้วยกันในวันหยุด มีอะไรสื่อสารถึงกันและกัน ...ด้วยความห่วงใยซึ่งกันและกัน
แต่ตอนนี้สิ
ตอนนี้มีผู้ชายอีกคนแทรกเข้ามาเงียบ ๆ ถึงแม้ติ๊นาจะนึกถึงดนัยเพื่อเป็นการปรามตัวเอง แต่มันก็ไม่เคยทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สักที บางครั้งยังเคยตำหนิตัวเองอย่างแรง ๆ เพื่อจะให้สำนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง แต่พอมีเรื่องของงานซึ่งต้องได้เกี่ยวข้องกับเขาอีก ติ๊นาก็เผลอเคลิ้มไปกับเจ้าของบริษัทแปรรูปหินอ่อนรายนี้ทุกที
แบบนี้เขาเรียกนอกใจดนัยหรือเปล่าหนอ
คงไม่หรอก
เราแค่เพียงถูกชะตากับเขา ก็แค่นั้นเองนี่นา
ในที่สุด
พวกเราก็กลับมาถึงสำนักงานใหญ่ลาดพร้าวในเวลาบ่ายสามโมงเศษ ทุกคนต่างยังเกาะกลุ่มกันอยู่ จนกระทั่งขึ้นลิฟต์และแยกย้ายกันไปตามแผนกของตัวเอง ติ๊นาก็ปลีกตัวมุ่งสู่อาณาเขตของตัวเองเช่นกัน
ที่ล็อบบี้ต้อนรับแขกหน้าแผนกของติ๊นานั้น ชายหนุ่มร่างสูงคุ้นตาคนหนึ่งลุกจากเก้าอี้บุหนัง เขาส่งยิ้มทักทายมาก่อน ติ๊นายิ้มตอบขณะเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขา ไม่ห่างกัน
"ปลอดภัยสำหรับการเดินทางนะครับ"เขาทักทายมา
ติ๊นาขอบคุณ ก่อนจะเชื้อเชิญให้เข้าไปคุยกันที่ห้องทำงานส่วนตัว อดชำเลืองมองนาฬิกาซึ่งสวมอยู่กับข้อมือไม่ได้ ตอนนี้อีกสิบนาทีจะสี่โมงเย็น ต้องรีบคุยธุระกับคุณดุลยรัฐให้เสร็จก่อนสี่โมงครึ่งแล้วล่ะ เพราะไม่เช่นนั้น ดนัยจะขึ้นมารอติ๊นาเลิกงานที่ล็อบบี้สี่โมงครึ่ง เหมือนเช่นที่เขามาประจำ
นึกถึงตรงนี้ขึ้นมา ติ๊นาได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ