ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32420744
.............
.............
เสร็จสิ้นจากมื้อค่ำสองพี่น้อง
ติ๊นาได้แต่จดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์ ขณะนั่งอยู่กับม้าหวายในสวนข้างบ้าน
วันนี้ดนัยยังไม่โทรศัพท์มาหาเลยตั้งแต่เลิกประชุม ตอนนี้สองทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าเขาได้เจอกับพี่ชายหรือเปล่า หรือได้เจอกันแล้ว และต่างก็ออกไปทานข้าวด้วยกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่รู้ดนัยเล่าเรื่องติ๊นาให้พี่ชายฟังหรือเปล่า หรือกลายเป็นว่า คุณดุลยรัฐเล่าเรื่องติ๊นาให้ดนัยฟังเสียเอง หรือต่างคนต่างเล่าจนแย่งกันพูดก็ไม่รู้ แล้วพอต่างคนต่างรู้เรื่องของติ๊นา แล้วทั้งสองจะรู้สึกกันอย่างไรหนอ แต่เอ.. หรือว่าพวกเขายังไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ ยังไม่ได้แม้แต่โทรศัพท์คุยกันด้วยซ้ำไป ถ้ายังไม่ได้คุยกัน แล้วเขายังจะพยายามโทรศัพท์ถึงกันอยู่อีกไหม?
โอ๊ยย.. มึนหัว
ณ เวลานี้
ติ๊นาบอกกับตัวเองได้เพียงแค่ ต้องปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามทางของมันก่อน พวกเขาจะพบปะเจอกันอย่างไร เจอกันแล้วจะพูดถึงติ๊นาหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่สถานการณ์แล้วล่ะ
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า.. สถานการณ์มันเดินต่อไปอย่างไร ถึงไหนแล้ว เออนะ .. ก็แล้วทำไมเราไม่โทรถามดนัยล่ะ
เอาไงดีหนอ? กด? หรือไม่กดดี?
ต้องกดสิ
แชะ!
สัญญาณติด! แต่ต้องรอเกือบยี่สิบวินาที จึงได้ยินเสียงดนัย "จ๊ะเอ๋ โทษทีที่รับช้า พอดีโป๊อยู่"
"
นี่! รีบไปใส่ให้เรียบร้อยเลยนะ"
"เรียบร้อยแล้วค้าบ.. เรียบร้อยก่อนรับสายไง" ดนัยยืนยัน "ว่าไงครับผม นี่กะว่าจะโทรหาอยู่นะ ไม่ได้ลืม อย่าเพิ่งยกไม้เรียวนะคุณครู"
"ยังไม่ทันได้ว่าอะไรเล๊ยย.. ร้อนตัวซะแล้ว"
ติ๊นาอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อได้ยินเสียงเขา
แต่จู่ ๆ สมองก็เหมือนกับนิ่งไปเสียเฉย ๆ เมื่อนึกถึงสคริปที่ตัวเองแพลนเอาไว้ เพื่อที่จะเคลียร์ปัญหาอึมครึม
ฝืนใจรวบรวมสมาธิ และตั้งสติได้ ติ๊นาคล้ายกับได้ยินเสียงจากที่ใดที่หนึ่งกระซิบส่งกำลังใจดังแว่วมาหา
. . . . เข้มแข็งไว้ติ๊นา ความจริงก็คือความจริง เราต้องพร้อมเสมอสำหรับความจริง . . . .
. . . . และที่สำคัญ ติ๊นาต้องเป็นติ๊นาคนเดิม แม้สถานการณ์จะไม่ใช่สถานการณ์เดิม . . . .
แล้วติ๊นาก็กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน ด้วยสมาธิตั้งมั่น
ติ๊นาเริ่มต้นด้วยการชวนดนัยคุยเรื่องเหตุการณ์ประจำวัน
...เรื่องประชุมเป็นไงหรอตะเอง ....เลิกประชุมกี่โมง .... เห็นข้อความที่ติ๊นาบอกกลับบ้านก่อนนะหรือเปล่า ...กลับถึงบ้านแล้วเหรอ ... ทานข้าวหรือยัง ... ทานกับอะไร ... อร่อยมั๊ย ... ทานกับใคร... คำถามสุดท้าย ติ๊นาแกล้งทำเป็นเผลอถาม ดนัยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อย
"ติ๊นาจ๋า.. ถามจริงเหอะ ติ๊นากำลังระแวงอะไรอยู่เหรอ?"
"ทำไมอ่ะ.. ทำไมตะเองถามอย่างนั้น" ติ๊นาลุกยืนขึ้นจากม้าหวายข้างบ้าน ก้าวเท้าเดินวนไปมาอยู่กับที่
ดนัยเงียบไปพักหนึ่ง "มันฟังแล้วเหมือนกับติ๊นากำลังหึงเลย รู้ตัวรึเปล่า"
"ไม่รู้สิ เขาเรียกว่าหึงเหรอ?"
"
ช่าย!" เสียงหนักแน่นนั้นฟังเหมือนคำยืนยันของใครอีกคนเสียจริง "แต่ว่า.. มันก็รู้สึกดีนะ ที่มีคนคอยหึงคอยหวงเราอยู่ใกล้ ๆ ถามจริง.. หึงจริง ๆ เหรอ?"
"
ช่าย!" ติ๊นาแกล้งเลียนเสียงของเขา เน้นให้หนักอึ้งไม่แพ้กัน
"โฮ๊ะ ๆ .. แหม่.. อยากหอมหน้าผากจังเลย ไม่ใช่สิ อยากหอมแก้มมากกว่า"
กลับตาลปัตรอีกเรื่องเสียแล้ว
คิดว่าจะได้ยินเสียงกระเง้ากระงอด ผิดคาดเสียแล้ว ติ๊นา
โอเค. ถึงจะอย่างไรเสีย เรื่องก็ยังเป็นขั้วบวกอยู่ "
นี่! เห็นว่าพิกัดอยู่ไกลใช่ไหมถึงกล้าพูดยังงี้ ทีอยู่ต่อหน้า เช๊อะ! ทำได้แค่ลูบมือ"
ดนัยหัวเราะเสียงดัง ติ๊นาก็หัวเราะตามไปด้วย โดยเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า ตัวตนของตัวเองกำลังกลับมาแล้ว
เราคุยเรื่องมื้อค่ำของกันและกันเป็นเรื่องต่อมา ดนัยบอกว่า ขากลับจากที่ทำงาน เขาแวะทานข้าวก่อนถึงคอนโดมิเนียมที่พัก และเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวใหม่เมื่อตอนที่ติ๊นาโทรศัพท์มาหา สักครู่นี้เอง
ติ๊นาถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้รู้แล้วว่า.. ดนัยยังไม่ได้เจอกับพี่ชาย
ถ้าเจอกัน เขาคงเผลอคุยให้ติ๊นาฟังไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งแล้วล่ะ แม้แต่การไปทานข้าวด้วยกัน หรือหากไปทานข้าวด้วยกันไม่ได้ ดนัยก็คงเล่าเหตุผลให้ฟังเรียบร้อยแล้วแน่นอน สคริปที่ติ๊นาตั้งใจจะถามตรง ๆ ว่า.. เขาได้เจอกับพี่ชายแล้วหรือยัง เจอแล้วเป็นยังไงกันบ้าง หรือหากไม่ได้เจอกัน ติ๊นาก็จะหยุดการไถ่ถาม สคริปเหล่านั้น ไม่ต้องใช้แล้วล่ะ
"ตะเอง...... " ติ๊นาโยนเสียงให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ "สมมุติตะเองมีความสุขที่มีคนคอยหวง คอยห่วง แล้วถ้าตะเองมีคนสองคนที่คอยหวง คอยห่วงอย่างนั้น ตะเองจะรู้สึกกับแต่ละคนนั้น ยังไง? "
ดนัยนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง "คงไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นมั้ง เพราะดนัยมีติ๊นาคนเดียว แต่ถึงจะมีใครแอบเพิ่มเข้ามา ดนัยก็ยังยืนยันคำเดียวว่า ดนัยมีติ๊นาคนเดียว มีคนคอยหวง คอยห่วงแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว จริง ๆ นะ"
เหมือนสวนดอกไม้ข้างบ้านจะสว่างไสวขึ้นด้วยแสงเดือน .. แสงดาว .. และแสงหิ่งห้อยระยิบระยับ
คำพูดซื่อ ๆ ใส ๆ ตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องมีสคริป บางทีฟังแล้ว มันตรึงใจกว่าคำพูดโรเมโอกับจูเลียตอีกนะ
"นี่ถือว่าเป็นคำสารภาพอะไรสักอย่าง หรือเปล่า"
"ไม่รู้สิ.. ไม่รู้พูดออกไปได้ไง คงเหมือนที่ติ๊นาพูดนั่นล่ะ ถ้าอยู่ต่อหน้า ก็คงได้แต่ลูบมือแค่นั้นแหละ"
ติ๊นาหัวเราะเบา ๆ .. น่าหยิกให้เนื้อเขียวจริง ๆ เล๊ยย.. คุณเจ้าชาย
"
โห....คืนนี้ท้องฟ้าสีชมพูจังเลย พี่นาดูสิ" เสียงตะนอยดังมาจากประตูหน้าบ้าน "
ฟ้าแจ่ม เดือนจ้า ดาวระยิบระยับไปหมดเลย"
ติ๊นาแหงนดูตามที่ตะนอยบอก มองเห็นแต่ผืนฟ้ามืดมิดและเงาเมฆทะมึน เพราะฝนกำลังตั้งเค้ามา
"ปะเดี๋ยวจะมีน้ำมนต์สีชมพูพรมมาด้วยนะ พี่นายืนรอแป๊บ ตะนอยขอไปนอนก่อนล่ะ"
"แน่จริงรอก่อนสิ
ยัยฟันแหลม!"
.............
.............
(มีต่อ)
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
http://ppantip.com/topic/32420744
.............
.............
เสร็จสิ้นจากมื้อค่ำสองพี่น้อง
ติ๊นาได้แต่จดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์ ขณะนั่งอยู่กับม้าหวายในสวนข้างบ้าน
วันนี้ดนัยยังไม่โทรศัพท์มาหาเลยตั้งแต่เลิกประชุม ตอนนี้สองทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าเขาได้เจอกับพี่ชายหรือเปล่า หรือได้เจอกันแล้ว และต่างก็ออกไปทานข้าวด้วยกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่รู้ดนัยเล่าเรื่องติ๊นาให้พี่ชายฟังหรือเปล่า หรือกลายเป็นว่า คุณดุลยรัฐเล่าเรื่องติ๊นาให้ดนัยฟังเสียเอง หรือต่างคนต่างเล่าจนแย่งกันพูดก็ไม่รู้ แล้วพอต่างคนต่างรู้เรื่องของติ๊นา แล้วทั้งสองจะรู้สึกกันอย่างไรหนอ แต่เอ.. หรือว่าพวกเขายังไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ ยังไม่ได้แม้แต่โทรศัพท์คุยกันด้วยซ้ำไป ถ้ายังไม่ได้คุยกัน แล้วเขายังจะพยายามโทรศัพท์ถึงกันอยู่อีกไหม? โอ๊ยย.. มึนหัว
ณ เวลานี้
ติ๊นาบอกกับตัวเองได้เพียงแค่ ต้องปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามทางของมันก่อน พวกเขาจะพบปะเจอกันอย่างไร เจอกันแล้วจะพูดถึงติ๊นาหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่สถานการณ์แล้วล่ะ
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า.. สถานการณ์มันเดินต่อไปอย่างไร ถึงไหนแล้ว เออนะ .. ก็แล้วทำไมเราไม่โทรถามดนัยล่ะ
เอาไงดีหนอ? กด? หรือไม่กดดี?
ต้องกดสิ
แชะ!
สัญญาณติด! แต่ต้องรอเกือบยี่สิบวินาที จึงได้ยินเสียงดนัย "จ๊ะเอ๋ โทษทีที่รับช้า พอดีโป๊อยู่"
"นี่! รีบไปใส่ให้เรียบร้อยเลยนะ"
"เรียบร้อยแล้วค้าบ.. เรียบร้อยก่อนรับสายไง" ดนัยยืนยัน "ว่าไงครับผม นี่กะว่าจะโทรหาอยู่นะ ไม่ได้ลืม อย่าเพิ่งยกไม้เรียวนะคุณครู"
"ยังไม่ทันได้ว่าอะไรเล๊ยย.. ร้อนตัวซะแล้ว"
ติ๊นาอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อได้ยินเสียงเขา
แต่จู่ ๆ สมองก็เหมือนกับนิ่งไปเสียเฉย ๆ เมื่อนึกถึงสคริปที่ตัวเองแพลนเอาไว้ เพื่อที่จะเคลียร์ปัญหาอึมครึม
ฝืนใจรวบรวมสมาธิ และตั้งสติได้ ติ๊นาคล้ายกับได้ยินเสียงจากที่ใดที่หนึ่งกระซิบส่งกำลังใจดังแว่วมาหา
. . . . เข้มแข็งไว้ติ๊นา ความจริงก็คือความจริง เราต้องพร้อมเสมอสำหรับความจริง . . . .
. . . . และที่สำคัญ ติ๊นาต้องเป็นติ๊นาคนเดิม แม้สถานการณ์จะไม่ใช่สถานการณ์เดิม . . . .
แล้วติ๊นาก็กลับคืนมาสู่ปัจจุบัน ด้วยสมาธิตั้งมั่น
ติ๊นาเริ่มต้นด้วยการชวนดนัยคุยเรื่องเหตุการณ์ประจำวัน ...เรื่องประชุมเป็นไงหรอตะเอง ....เลิกประชุมกี่โมง .... เห็นข้อความที่ติ๊นาบอกกลับบ้านก่อนนะหรือเปล่า ...กลับถึงบ้านแล้วเหรอ ... ทานข้าวหรือยัง ... ทานกับอะไร ... อร่อยมั๊ย ... ทานกับใคร... คำถามสุดท้าย ติ๊นาแกล้งทำเป็นเผลอถาม ดนัยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อย
"ติ๊นาจ๋า.. ถามจริงเหอะ ติ๊นากำลังระแวงอะไรอยู่เหรอ?"
"ทำไมอ่ะ.. ทำไมตะเองถามอย่างนั้น" ติ๊นาลุกยืนขึ้นจากม้าหวายข้างบ้าน ก้าวเท้าเดินวนไปมาอยู่กับที่
ดนัยเงียบไปพักหนึ่ง "มันฟังแล้วเหมือนกับติ๊นากำลังหึงเลย รู้ตัวรึเปล่า"
"ไม่รู้สิ เขาเรียกว่าหึงเหรอ?"
"ช่าย!" เสียงหนักแน่นนั้นฟังเหมือนคำยืนยันของใครอีกคนเสียจริง "แต่ว่า.. มันก็รู้สึกดีนะ ที่มีคนคอยหึงคอยหวงเราอยู่ใกล้ ๆ ถามจริง.. หึงจริง ๆ เหรอ?"
"ช่าย!" ติ๊นาแกล้งเลียนเสียงของเขา เน้นให้หนักอึ้งไม่แพ้กัน
"โฮ๊ะ ๆ .. แหม่.. อยากหอมหน้าผากจังเลย ไม่ใช่สิ อยากหอมแก้มมากกว่า"
กลับตาลปัตรอีกเรื่องเสียแล้ว
คิดว่าจะได้ยินเสียงกระเง้ากระงอด ผิดคาดเสียแล้ว ติ๊นา
โอเค. ถึงจะอย่างไรเสีย เรื่องก็ยังเป็นขั้วบวกอยู่ "นี่! เห็นว่าพิกัดอยู่ไกลใช่ไหมถึงกล้าพูดยังงี้ ทีอยู่ต่อหน้า เช๊อะ! ทำได้แค่ลูบมือ"
ดนัยหัวเราะเสียงดัง ติ๊นาก็หัวเราะตามไปด้วย โดยเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า ตัวตนของตัวเองกำลังกลับมาแล้ว
เราคุยเรื่องมื้อค่ำของกันและกันเป็นเรื่องต่อมา ดนัยบอกว่า ขากลับจากที่ทำงาน เขาแวะทานข้าวก่อนถึงคอนโดมิเนียมที่พัก และเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวใหม่เมื่อตอนที่ติ๊นาโทรศัพท์มาหา สักครู่นี้เอง
ติ๊นาถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้รู้แล้วว่า.. ดนัยยังไม่ได้เจอกับพี่ชาย
ถ้าเจอกัน เขาคงเผลอคุยให้ติ๊นาฟังไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งแล้วล่ะ แม้แต่การไปทานข้าวด้วยกัน หรือหากไปทานข้าวด้วยกันไม่ได้ ดนัยก็คงเล่าเหตุผลให้ฟังเรียบร้อยแล้วแน่นอน สคริปที่ติ๊นาตั้งใจจะถามตรง ๆ ว่า.. เขาได้เจอกับพี่ชายแล้วหรือยัง เจอแล้วเป็นยังไงกันบ้าง หรือหากไม่ได้เจอกัน ติ๊นาก็จะหยุดการไถ่ถาม สคริปเหล่านั้น ไม่ต้องใช้แล้วล่ะ
"ตะเอง...... " ติ๊นาโยนเสียงให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ "สมมุติตะเองมีความสุขที่มีคนคอยหวง คอยห่วง แล้วถ้าตะเองมีคนสองคนที่คอยหวง คอยห่วงอย่างนั้น ตะเองจะรู้สึกกับแต่ละคนนั้น ยังไง? "
ดนัยนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง "คงไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นมั้ง เพราะดนัยมีติ๊นาคนเดียว แต่ถึงจะมีใครแอบเพิ่มเข้ามา ดนัยก็ยังยืนยันคำเดียวว่า ดนัยมีติ๊นาคนเดียว มีคนคอยหวง คอยห่วงแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว จริง ๆ นะ"
เหมือนสวนดอกไม้ข้างบ้านจะสว่างไสวขึ้นด้วยแสงเดือน .. แสงดาว .. และแสงหิ่งห้อยระยิบระยับ
คำพูดซื่อ ๆ ใส ๆ ตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องมีสคริป บางทีฟังแล้ว มันตรึงใจกว่าคำพูดโรเมโอกับจูเลียตอีกนะ
"นี่ถือว่าเป็นคำสารภาพอะไรสักอย่าง หรือเปล่า"
"ไม่รู้สิ.. ไม่รู้พูดออกไปได้ไง คงเหมือนที่ติ๊นาพูดนั่นล่ะ ถ้าอยู่ต่อหน้า ก็คงได้แต่ลูบมือแค่นั้นแหละ"
ติ๊นาหัวเราะเบา ๆ .. น่าหยิกให้เนื้อเขียวจริง ๆ เล๊ยย.. คุณเจ้าชาย
"โห....คืนนี้ท้องฟ้าสีชมพูจังเลย พี่นาดูสิ" เสียงตะนอยดังมาจากประตูหน้าบ้าน "ฟ้าแจ่ม เดือนจ้า ดาวระยิบระยับไปหมดเลย"
ติ๊นาแหงนดูตามที่ตะนอยบอก มองเห็นแต่ผืนฟ้ามืดมิดและเงาเมฆทะมึน เพราะฝนกำลังตั้งเค้ามา
"ปะเดี๋ยวจะมีน้ำมนต์สีชมพูพรมมาด้วยนะ พี่นายืนรอแป๊บ ตะนอยขอไปนอนก่อนล่ะ"
"แน่จริงรอก่อนสิ ยัยฟันแหลม!"
.............
.............
(มีต่อ)