☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)

กระทู้สนทนา
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32547492

โลกเรานี้ก็แปลกจังเลยนะ บางทีก็กลม บางทีก็แบน ติ๊นารู้สึกว่ามันกลมก็ตอนที่เกือบจ๊ะเอ๋กับคุณดุลยรัฐนั่นเอง และตอนนี้กำลังรู้สึกกลับกัน  รู้สึกเหมือนกับว่าโลกมันแบน แบนเพราะคนสองคนไม่เคยได้เจอหน้ากันเลยราวกับอยู่คนละฟากฝั่งโลก  ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้สมควรเจอกันมาตั้งนานแล้ว

สองคนที่ว่า  คือตะนอยกับดนัยนั่นเอง

ติ๊นาแปลงร่างมาเป็นกุ๊กด้วยความจำเป็น  ตอนอยู่ที่ร้านอาหาร กำลังหั่นพอร์คชอปชิ้นแรกอยู่แท้ ๆ  แต่ความกลมของโลกมันดันทำให้ติ๊นาเสียการทรงตัวไปเสียก่อน ดีนะที่แค่เสียการทรงตัว  ข้าวของก็แค่ร่วงหลุดมือ  แต่ถ้าเป็นการเสียทรง  มันคงออกอาการมากกว่านั้น  นางฟ้าคงล้มคะมำก้อนเมฆไปแล้วเป็นแน่

โลกกลมหนอโลกกลม

จะว่าไปแล้ว  ก็เหมือนกับเทวดาท่านจะมาช่วยนะ  เพราะถ้าท่านมาช่วยตะแคงก้อนเมฆไม่ทัน  ป่านนี้นางฟ้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้

ติ๊นาตักผัดผักรวมมิตรใส่จาน เมี่อเสร็จสิ้นเมนูสุดท้าย  ผัดผักรวมมื้อนี้ น่าจะเรียกว่าผัดสามสหายมากกว่า  เพราะบรรดาผักมีอยู่แค่บล็อกโคลี่ แครอท และพริกหวานเขียวแดงแค่นั้น สองเมนูแรกปรุงเสร็จไปก่อนหน้านี้แล้วเพราะเป็นเมนูง่าย ๆ   ใช้เวลาไม่กี่นาที  ไข่เจียวหมูสับก็แค่ห้านาที  แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับอีกถ้วย  ขึ้นเตาด้วยไฟอ่อนไม่ถึงสิบห้านาที ก็เสร็จแล้ว

มื้อค่ำฉุกเฉินคืนนี้ ทำได้แต่เพียงเมนูธรรมดา ๆ แค่นั้น   เพราะเสบียงในตู้เย็นมีแค่นั้นจริง ๆ

ได้ยินเสียงคนสองคนที่โต๊ะอาหารคุยกันแล้ว  ติ๊นาได้แต่แอบยิ้มปลื้มปริ่มอยู่คนเดียว  ตะนอยกลับตาลปัตรเป็นคนละคน จากที่เป็นคนพูดน้อยต่อยฉับ!  คืนนี้กลายเป็นมดตะนอยฉอดฉับ!ไปเสียแล้ว  เฮ๊อะ!  พอถูกคอถูกใจกับใคร  เป็นต้องออกอาการแบบนี้ทุกทีเชียวนะ  เจ้าฟันแหลม

"ไง.. เหนื่อยม้ายย..ย.."  เสียงดนัยเอ่ยทักมาทางเบื้องหลัง

ติ๊นาได้โอกาสหันไปส่งจานผัดสามสหายให้พอดี  "ไม่เห็นต้องเหนื่อยเลย  แค่ปรุง ๆ ผัด ๆ แค่นั้นเอง  นอกนั้นมีลูกมือฝึกหัดมาคอยช่วยอยู่แล้วนี่"

"โอเค...  ถือว่าเป็นคำชมเรื่องแรก  แล้วอีกเรื่อง...   เป็นไงบ้าง? ฝีมือหั่นผักของผม"

"ผลงานมันต้องเป็นยังงั้นอยู่แล้วล่ะ  สำหรับคนมือไม้แข็ง"

"ไม่จริงอ่ะ"

"แน่ะ!  เดี๋ยวไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ แล้วนะ  ... คุณดนัย"

"ยอมรับได้ไง" ดนัยยังคงค้าน "ถ้ามือไม้แข็ง  คงไม่มีใครมากุมมือแน่นหนึบหร๊อกก.. "

พูดเสร็จ เขาก็หันหลังขวับ! เดินหายไปกับจานผัดรวมมิตรเสียดื้อ ๆ  แหม๊..  ดีนะที่เก็บตะหลิวลงอ่างเตรียมล้างแล้ว มันน่ามันเขี้ยวซะจริง ๆ แต่ก็นั่นแหละนะ  หากยังกุมด้ามตะหลิวอยู่ ติ๊นาจะทำอะไรเขางั้นเหรอ?  บ้า! ใครจะกล้าไปทำอะไร  แล้วหงุดหงิดทำไม?  ไม่ได้หงุดหงิด  แค่ร้อนใบหน้ายุบยับกับคันมือยุบยิบแค่นั้นเอง

และแล้วอาหารมื้อเย็นก็พร้อมเสร็จสรรพ  สำหรับเราสามคน

ตะนอยดูเหมือนจะหิวมากกว่าใคร ๆ เพราะข้าวสวยจานที่สองตามติดมาในเวลาอันรวดเร็ว  ติ๊นาแอบยิ้มคนเดียว  เราสามคนดูเหมือนจะเสียเวลาอยู่กับอาหารบนโต๊ะมากกว่าการสนทนากัน  ดนัยเองก็คุยน้อยลง ติ๊นาเลยต้องปล่อยให้บรรยากาศสบาย ๆ อร่อย ๆ เป็นไปอย่างนั้น

แต่พอสักพัก

ติ๊นาก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้  เมื่อเห็นอาการเอร็ดอร่อยของตะนอยเบื้องหน้า "เป็นไงจ๊ะ?สาวน้อย   ไหนบอกว่าชักจะเบื่อเนื้อหมูแล้วไง"

ตะนอยเงยหน้า "ก็เพราะเบื่อไง ถึงต้องรีบกำจัดมันให้หมดจากตู้เย็น" พูดไป เคี้ยวอาหารไป

"งั้นพรุ่งนี้  พี่ต้องแวะซุปเปอร์เอามาเติมใหม่แล้วล่ะ"

คราวนี้ตะนอยเงยหน้าขวับ!แทบจะทันใด "ถีอว่าตะนอยขอแล้วกันนะ อย่าเพิ่งหอบเข้าบ้านมาอีกเลยพี่นา กับข้าวที่โรงบาลก็มีแต่หมูกับไก่ พอเจอเมนูจำพวกใส่กุ้งใส่ปลาหมึกบ้าง กุ้งก็แคระแกร็นยังกะกุ้งเอธิโอเปีย  ปลาหมึกก็เหี่ยวห่อยังกะปลาหมึกย่างงานวัด" คนฟังได้แต่หัวเราะกันเบา ๆ

"แล้วทำไมไม่ออกไปหาอะไรทานข้างนอกล่ะ" ดนัยได้จังหวะคุยด้วย

"ยิ่งยุ่งยากไปใหญ่ค่ะ  พี่ดนัย"

"ทำไมล่ะ?"

"เวลาก็มีจำกัด ออกไปทั้ง ๆ สวมยูนิฟอร์มด้วย มันไม่สะดวกค่ะ"

"ดีแล้วล่ะ" ติ๊นาได้โอกาสแทรกบ้าง "ทานในโรงบาลแบบนั้น จะได้คิดถึงฝีมือพี่ไง"

"ถ้ามีแต่เมนูแบบนี้  จ้างให้ก็ไม่คิดถึงแล้วล่ะ  วันนี้หยวนให้เฉย ๆ นะ   ถือว่าฉุกละหุก"

"แล้วอร่อยไหมจ๊ะ?"

"งั้น ๆ แหละ"

"เอาข้าวอีกจานมั๊ย?  เดี๋ยวพี่จะตักให้"

"เอา! เอ๊ย พอแล้ว"

ติ๊นากับดนัยหัวเราะพร้อมกัน ตะนอยคงเขินหนัก รีบขอตัวลุกออกจากโต๊ะหายไปทางห้องครัว  ติ๊นาอิ่มก่อนหน้าคุณเจ้าชายไม่กี่คำ  รายการกับข้าวธรรมดา ๆ สำหรับมื้อค่ำคืนนี้  แม้จะไม่ถึงกับหมดเกลี้ยง แต่ก็แทบจะไม่เหลือหลอ

เรื่องรสชาติของอาหาร เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องบรรยากาศไปเสียแล้ว สำหรับค่ำคืนนี้  ติ๊นาสัมผัสได้อย่างชัดเจนกับความอบอุ่นรอบตัว  ทุกสิ่งลงตัวและเป็นไปตามธรรมชาติด้วยตัวของมันเอง  และที่สำคัญไปกว่านั้น ติ๊นามีความรู้สึกอิ่มเอม เป็นปลื้มเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง  นั่นคือการได้พบปะรู้จักกันของคนสองคน  ระหว่างตะนอยกับดนัย

หลายครั้งหลายหนแล้วที่ทั้งสองคลาดกัน มีครั้งหนึ่ง ตะนอยเคยไปนั่งรอติ๊นาก่อนเลิกงาน และวันนั้นติ๊นาเองก็นัดแนะทุกคนล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันสามคน ทั้งติ๊นา ดนัย พร้อมทั้งตะนอย แต่ก็ปรากฎว่าดนัยมีประชุมด่วนพอดี  วันนั้นจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะ วันนี้ฤกษ์คงไม่ดี

คืนนี้

หากจะถือว่า ฤกษ์ที่ร้านอาหารเป็นฤกษ์ไม่ดี แต่ที่บ้าน  ติ๊นาว่าฤกษ์ซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุดและดีที่สุด อยู่ที่บ้านหลังนี้นี่เอง

พอจัดเก็บโต๊ะอาหารรวมทั้งเก็บความเรียบร้อยในห้องครัวเสร็จ ขั้นตอนการล้าง ตะนอยก็จัดการแย่งไปเป็นหน้าที่ของตัวเองคนเดียว ซ้ำยังกำชับให้ติ๊นาออกไปดูแลแขกคนสำคัญในสวนข้างบ้าน  เรื่องในบ้านตอนนี้ปล่อยตะนอยคนเดียวพอ

ดนัยส่งยิ้มหวานมาจากม้านั่งหวายข้างบ้านเมื่อเห็นติ๊นาเดินออกมาตามหา  เขาชี้บอกติ๊นาที่ม้านั่งอีกตัวข้างกัน  แหม ... ทำเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเองเลยนะ

แต่ติ๊นาก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น

"อย่าแต๊ะอั๋งนะ  เดี๋ยวตะนอยเห็นเข้ามันจะไม่ดี"

"โธ่เอ๊ยย... คุณติ๊นา" ดนัยโคลงศีรษะไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม "พูดจริงหรือล้อเล่นเนี่ย"

"ล้อเล่นเฉย ๆ"

"ชักจะตามติ๊นาไม่ทันขึ้นทุกวัน  เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรเล่น  ไม่รู้อะไรจริง"

"ตะเองอิ่มซะจนเครียดน่ะสิ" ติ๊นาสัพยอก จับเข่าของเขาเขย่าเบาๆ "ทานไอศกรีมมั๊ย? มีนะ  ในตู้เย็น"

"ไม่อ่ะ อิ่มตื้อเลย" ดนัยส่ายหน้า " เอ่อ เมื่อตอนทานข้าว ตะนอยพูดถึงเรื่องแม่บ่นคิดถึง  แม่บ่นว่าไงนะ?"

ติ๊นาเพิ่งนึกได้เหมือนกัน "อ๋อ.. แม่ไม่ได้เจอหน้าเราทั้งคู่จะครบปีแล้ว เลยอยากเจอทั้งสองคน เห็นว่ายังงั้น"

"ดีจัง  ผมจะได้โผล่ไปเสริมด้วยอีกคน"

ติ๊นามองสบตากับคนพูด "แน่ใจนะ"

"แน่สิ ดูตาผมสิ  สายตาเป็นสิ่งยืนยันคำพูดนะ  ติ๊นาดูสิ"

นั่นล่ะ ที่ติ๊นาทุบตุบ!เข้าให้เต็มหัวเข่า  แต่แปลกนะที่คนโดนทุบไม่แสดงอาการอะไร  นอกจากหัวเราะในลำคอ

เราคุยกันอีกหลายเรื่องราว ทั้งเรื่องการงานที่ต่างฝ่ายต่างบอกเล่าสู่กันฟัง  เรื่องของดนัยหนักไปทางผู้คน ผิดกับเรื่องของติ๊นาที่หนักไปทางลายเส้น โทนสี  จินตภาพซึ่งอธิบายแล้วน่าเวียนหัว เวลาผ่านไปแทบไม่รู้สึกตัวจนตะนอยโผล่มาในชุดนอนมิดชิด  พอคุยกันสามคนได้ชั่วครู่  ดนัยก็ขอตัว เพราะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว  ไหนจะต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีกเป็นชั่วโมง

ทั้งดนัยและตะนอยร่ำลากันอย่างสนิทสนม ติ๊นายืนยิ้มมองดูคนทั้งสองอย่างมีความสุข  ดนัยอ้อยอิ่งอยู่สักพัก ติ๊นาเลยต้องเร่งให้รีบกลับ และในที่สุด ‘แขกคนสำคัญ’ตามที่ตะนอยเรียก ก็ขับรถหายลับไป

"พี่ดนัยน่ารักดีนะ  ดูพี่เค้าวางตัวสบาย ๆ ซื่อ ๆ และที่สำคัญ ดูมีความจริงใจสุด ๆ" ตะนอยพูดตามหลังแขก

ติ๊นาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองหน้าตะนอย และเหมือนน้องสาวฟันแหลมจะรู้สึกตัวอะไรบางอย่าง

"โอ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดนะค๊าา..  ตะนอยพูดถึง'ว่าที่พี่เขย'นะ  ไม่ได้หมายถึง'ว่าที่แฟนตะนอย'ซะหน่อย"

เจ้าตัวแสบนี่ก็อีกคน  ที่พอพูดเสร็จก็มักจะหลบเลี่ยงพลังตีกลับได้อย่างรู้ทัน  ดูสิ!  โกยอ้าวเข้าบ้านแทบจะสะดุดเหลี่ยมประตู

เฮ๊อะ!.. เข้ากันเป็นปี่เป็นทรัมเป็ตเลยนะ   ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกัน

....

....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่