ความเดิมตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32547492
โลกเรานี้ก็แปลกจังเลยนะ บางทีก็กลม บางทีก็แบน ติ๊นารู้สึกว่ามันกลมก็ตอนที่เกือบจ๊ะเอ๋กับคุณดุลยรัฐนั่นเอง และตอนนี้กำลังรู้สึกกลับกัน รู้สึกเหมือนกับว่าโลกมันแบน แบนเพราะคนสองคนไม่เคยได้เจอหน้ากันเลยราวกับอยู่คนละฟากฝั่งโลก ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้สมควรเจอกันมาตั้งนานแล้ว
สองคนที่ว่า คือตะนอยกับดนัยนั่นเอง
ติ๊นาแปลงร่างมาเป็นกุ๊กด้วยความจำเป็น ตอนอยู่ที่ร้านอาหาร กำลังหั่นพอร์คชอปชิ้นแรกอยู่แท้ ๆ แต่ความกลมของโลกมันดันทำให้ติ๊นาเสียการทรงตัวไปเสียก่อน ดีนะที่แค่เสียการทรงตัว ข้าวของก็แค่ร่วงหลุดมือ แต่ถ้าเป็นการเสียทรง มันคงออกอาการมากกว่านั้น นางฟ้าคงล้มคะมำก้อนเมฆไปแล้วเป็นแน่
โลกกลมหนอโลกกลม
จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับเทวดาท่านจะมาช่วยนะ เพราะถ้าท่านมาช่วยตะแคงก้อนเมฆไม่ทัน ป่านนี้นางฟ้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ติ๊นาตักผัดผักรวมมิตรใส่จาน เมี่อเสร็จสิ้นเมนูสุดท้าย ผัดผักรวมมื้อนี้ น่าจะเรียกว่าผัดสามสหายมากกว่า เพราะบรรดาผักมีอยู่แค่บล็อกโคลี่ แครอท และพริกหวานเขียวแดงแค่นั้น สองเมนูแรกปรุงเสร็จไปก่อนหน้านี้แล้วเพราะเป็นเมนูง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที ไข่เจียวหมูสับก็แค่ห้านาที แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับอีกถ้วย ขึ้นเตาด้วยไฟอ่อนไม่ถึงสิบห้านาที ก็เสร็จแล้ว
มื้อค่ำฉุกเฉินคืนนี้ ทำได้แต่เพียงเมนูธรรมดา ๆ แค่นั้น เพราะเสบียงในตู้เย็นมีแค่นั้นจริง ๆ
ได้ยินเสียงคนสองคนที่โต๊ะอาหารคุยกันแล้ว ติ๊นาได้แต่แอบยิ้มปลื้มปริ่มอยู่คนเดียว ตะนอยกลับตาลปัตรเป็นคนละคน จากที่เป็นคนพูดน้อยต่อยฉับ! คืนนี้กลายเป็นมดตะนอยฉอดฉับ!ไปเสียแล้ว เฮ๊อะ! พอถูกคอถูกใจกับใคร เป็นต้องออกอาการแบบนี้ทุกทีเชียวนะ เจ้าฟันแหลม
"ไง.. เหนื่อยม้ายย..ย.." เสียงดนัยเอ่ยทักมาทางเบื้องหลัง
ติ๊นาได้โอกาสหันไปส่งจานผัดสามสหายให้พอดี "ไม่เห็นต้องเหนื่อยเลย แค่ปรุง ๆ ผัด ๆ แค่นั้นเอง นอกนั้นมีลูกมือฝึกหัดมาคอยช่วยอยู่แล้วนี่"
"โอเค... ถือว่าเป็นคำชมเรื่องแรก แล้วอีกเรื่อง... เป็นไงบ้าง? ฝีมือหั่นผักของผม"
"ผลงานมันต้องเป็นยังงั้นอยู่แล้วล่ะ สำหรับคนมือไม้แข็ง"
"ไม่จริงอ่ะ"
"แน่ะ! เดี๋ยวไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ แล้วนะ ... คุณดนัย"
"ยอมรับได้ไง" ดนัยยังคงค้าน "ถ้ามือไม้แข็ง คงไม่มีใครมากุมมือแน่นหนึบหร๊อกก.. "
พูดเสร็จ เขาก็หันหลังขวับ! เดินหายไปกับจานผัดรวมมิตรเสียดื้อ ๆ แหม๊.. ดีนะที่เก็บตะหลิวลงอ่างเตรียมล้างแล้ว มันน่ามันเขี้ยวซะจริง ๆ แต่ก็นั่นแหละนะ หากยังกุมด้ามตะหลิวอยู่ ติ๊นาจะทำอะไรเขางั้นเหรอ? บ้า! ใครจะกล้าไปทำอะไร แล้วหงุดหงิดทำไม? ไม่ได้หงุดหงิด แค่ร้อนใบหน้ายุบยับกับคันมือยุบยิบแค่นั้นเอง
และแล้วอาหารมื้อเย็นก็พร้อมเสร็จสรรพ สำหรับเราสามคน
ตะนอยดูเหมือนจะหิวมากกว่าใคร ๆ เพราะข้าวสวยจานที่สองตามติดมาในเวลาอันรวดเร็ว ติ๊นาแอบยิ้มคนเดียว เราสามคนดูเหมือนจะเสียเวลาอยู่กับอาหารบนโต๊ะมากกว่าการสนทนากัน ดนัยเองก็คุยน้อยลง ติ๊นาเลยต้องปล่อยให้บรรยากาศสบาย ๆ อร่อย ๆ เป็นไปอย่างนั้น
แต่พอสักพัก
ติ๊นาก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นอาการเอร็ดอร่อยของตะนอยเบื้องหน้า "เป็นไงจ๊ะ?สาวน้อย ไหนบอกว่าชักจะเบื่อเนื้อหมูแล้วไง"
ตะนอยเงยหน้า "ก็เพราะเบื่อไง ถึงต้องรีบกำจัดมันให้หมดจากตู้เย็น" พูดไป เคี้ยวอาหารไป
"งั้นพรุ่งนี้ พี่ต้องแวะซุปเปอร์เอามาเติมใหม่แล้วล่ะ"
คราวนี้ตะนอยเงยหน้าขวับ!แทบจะทันใด "ถีอว่าตะนอยขอแล้วกันนะ อย่าเพิ่งหอบเข้าบ้านมาอีกเลยพี่นา กับข้าวที่โรงบาลก็มีแต่หมูกับไก่ พอเจอเมนูจำพวกใส่กุ้งใส่ปลาหมึกบ้าง กุ้งก็แคระแกร็นยังกะกุ้งเอธิโอเปีย ปลาหมึกก็เหี่ยวห่อยังกะปลาหมึกย่างงานวัด" คนฟังได้แต่หัวเราะกันเบา ๆ
"แล้วทำไมไม่ออกไปหาอะไรทานข้างนอกล่ะ" ดนัยได้จังหวะคุยด้วย
"ยิ่งยุ่งยากไปใหญ่ค่ะ พี่ดนัย"
"ทำไมล่ะ?"
"เวลาก็มีจำกัด ออกไปทั้ง ๆ สวมยูนิฟอร์มด้วย มันไม่สะดวกค่ะ"
"ดีแล้วล่ะ" ติ๊นาได้โอกาสแทรกบ้าง "ทานในโรงบาลแบบนั้น จะได้คิดถึงฝีมือพี่ไง"
"ถ้ามีแต่เมนูแบบนี้ จ้างให้ก็ไม่คิดถึงแล้วล่ะ วันนี้หยวนให้เฉย ๆ นะ ถือว่าฉุกละหุก"
"แล้วอร่อยไหมจ๊ะ?"
"งั้น ๆ แหละ"
"เอาข้าวอีกจานมั๊ย? เดี๋ยวพี่จะตักให้"
"เอา! เอ๊ย พอแล้ว"
ติ๊นากับดนัยหัวเราะพร้อมกัน ตะนอยคงเขินหนัก รีบขอตัวลุกออกจากโต๊ะหายไปทางห้องครัว ติ๊นาอิ่มก่อนหน้าคุณเจ้าชายไม่กี่คำ รายการกับข้าวธรรมดา ๆ สำหรับมื้อค่ำคืนนี้ แม้จะไม่ถึงกับหมดเกลี้ยง แต่ก็แทบจะไม่เหลือหลอ
เรื่องรสชาติของอาหาร เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องบรรยากาศไปเสียแล้ว สำหรับค่ำคืนนี้ ติ๊นาสัมผัสได้อย่างชัดเจนกับความอบอุ่นรอบตัว ทุกสิ่งลงตัวและเป็นไปตามธรรมชาติด้วยตัวของมันเอง และที่สำคัญไปกว่านั้น ติ๊นามีความรู้สึกอิ่มเอม เป็นปลื้มเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง นั่นคือการได้พบปะรู้จักกันของคนสองคน ระหว่างตะนอยกับดนัย
หลายครั้งหลายหนแล้วที่ทั้งสองคลาดกัน มีครั้งหนึ่ง ตะนอยเคยไปนั่งรอติ๊นาก่อนเลิกงาน และวันนั้นติ๊นาเองก็นัดแนะทุกคนล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันสามคน ทั้งติ๊นา ดนัย พร้อมทั้งตะนอย แต่ก็ปรากฎว่าดนัยมีประชุมด่วนพอดี วันนั้นจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะ วันนี้ฤกษ์คงไม่ดี
คืนนี้
หากจะถือว่า ฤกษ์ที่ร้านอาหารเป็นฤกษ์ไม่ดี แต่ที่บ้าน ติ๊นาว่าฤกษ์ซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุดและดีที่สุด อยู่ที่บ้านหลังนี้นี่เอง
พอจัดเก็บโต๊ะอาหารรวมทั้งเก็บความเรียบร้อยในห้องครัวเสร็จ ขั้นตอนการล้าง ตะนอยก็จัดการแย่งไปเป็นหน้าที่ของตัวเองคนเดียว ซ้ำยังกำชับให้ติ๊นาออกไปดูแลแขกคนสำคัญในสวนข้างบ้าน เรื่องในบ้านตอนนี้ปล่อยตะนอยคนเดียวพอ
ดนัยส่งยิ้มหวานมาจากม้านั่งหวายข้างบ้านเมื่อเห็นติ๊นาเดินออกมาตามหา เขาชี้บอกติ๊นาที่ม้านั่งอีกตัวข้างกัน แหม ... ทำเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเองเลยนะ
แต่ติ๊นาก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น
"อย่าแต๊ะอั๋งนะ เดี๋ยวตะนอยเห็นเข้ามันจะไม่ดี"
"โธ่เอ๊ยย... คุณติ๊นา" ดนัยโคลงศีรษะไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม "พูดจริงหรือล้อเล่นเนี่ย"
"ล้อเล่นเฉย ๆ"
"ชักจะตามติ๊นาไม่ทันขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรเล่น ไม่รู้อะไรจริง"
"ตะเองอิ่มซะจนเครียดน่ะสิ" ติ๊นาสัพยอก จับเข่าของเขาเขย่าเบาๆ "ทานไอศกรีมมั๊ย? มีนะ ในตู้เย็น"
"ไม่อ่ะ อิ่มตื้อเลย" ดนัยส่ายหน้า " เอ่อ เมื่อตอนทานข้าว ตะนอยพูดถึงเรื่องแม่บ่นคิดถึง แม่บ่นว่าไงนะ?"
ติ๊นาเพิ่งนึกได้เหมือนกัน "อ๋อ.. แม่ไม่ได้เจอหน้าเราทั้งคู่จะครบปีแล้ว เลยอยากเจอทั้งสองคน เห็นว่ายังงั้น"
"ดีจัง ผมจะได้โผล่ไปเสริมด้วยอีกคน"
ติ๊นามองสบตากับคนพูด "แน่ใจนะ"
"แน่สิ ดูตาผมสิ สายตาเป็นสิ่งยืนยันคำพูดนะ ติ๊นาดูสิ"
นั่นล่ะ ที่ติ๊นาทุบตุบ!เข้าให้เต็มหัวเข่า แต่แปลกนะที่คนโดนทุบไม่แสดงอาการอะไร นอกจากหัวเราะในลำคอ
เราคุยกันอีกหลายเรื่องราว ทั้งเรื่องการงานที่ต่างฝ่ายต่างบอกเล่าสู่กันฟัง เรื่องของดนัยหนักไปทางผู้คน ผิดกับเรื่องของติ๊นาที่หนักไปทางลายเส้น โทนสี จินตภาพซึ่งอธิบายแล้วน่าเวียนหัว เวลาผ่านไปแทบไม่รู้สึกตัวจนตะนอยโผล่มาในชุดนอนมิดชิด พอคุยกันสามคนได้ชั่วครู่ ดนัยก็ขอตัว เพราะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว ไหนจะต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีกเป็นชั่วโมง
ทั้งดนัยและตะนอยร่ำลากันอย่างสนิทสนม ติ๊นายืนยิ้มมองดูคนทั้งสองอย่างมีความสุข ดนัยอ้อยอิ่งอยู่สักพัก ติ๊นาเลยต้องเร่งให้รีบกลับ และในที่สุด ‘แขกคนสำคัญ’ตามที่ตะนอยเรียก ก็ขับรถหายลับไป
"พี่ดนัยน่ารักดีนะ ดูพี่เค้าวางตัวสบาย ๆ ซื่อ ๆ และที่สำคัญ ดูมีความจริงใจสุด ๆ" ตะนอยพูดตามหลังแขก
ติ๊นาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองหน้าตะนอย และเหมือนน้องสาวฟันแหลมจะรู้สึกตัวอะไรบางอย่าง
"โอ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดนะค๊าา.. ตะนอยพูดถึง
'ว่าที่พี่เขย'นะ ไม่ได้หมายถึง
'ว่าที่แฟนตะนอย'ซะหน่อย"
เจ้าตัวแสบนี่ก็อีกคน ที่พอพูดเสร็จก็มักจะหลบเลี่ยงพลังตีกลับได้อย่างรู้ทัน ดูสิ! โกยอ้าวเข้าบ้านแทบจะสะดุดเหลี่ยมประตู
เฮ๊อะ!.. เข้ากันเป็นปี่เป็นทรัมเป็ตเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกัน
....
....
☻ รักต้องเลือก ☻(ต่อ)
http://ppantip.com/topic/32547492
โลกเรานี้ก็แปลกจังเลยนะ บางทีก็กลม บางทีก็แบน ติ๊นารู้สึกว่ามันกลมก็ตอนที่เกือบจ๊ะเอ๋กับคุณดุลยรัฐนั่นเอง และตอนนี้กำลังรู้สึกกลับกัน รู้สึกเหมือนกับว่าโลกมันแบน แบนเพราะคนสองคนไม่เคยได้เจอหน้ากันเลยราวกับอยู่คนละฟากฝั่งโลก ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้สมควรเจอกันมาตั้งนานแล้ว
สองคนที่ว่า คือตะนอยกับดนัยนั่นเอง
ติ๊นาแปลงร่างมาเป็นกุ๊กด้วยความจำเป็น ตอนอยู่ที่ร้านอาหาร กำลังหั่นพอร์คชอปชิ้นแรกอยู่แท้ ๆ แต่ความกลมของโลกมันดันทำให้ติ๊นาเสียการทรงตัวไปเสียก่อน ดีนะที่แค่เสียการทรงตัว ข้าวของก็แค่ร่วงหลุดมือ แต่ถ้าเป็นการเสียทรง มันคงออกอาการมากกว่านั้น นางฟ้าคงล้มคะมำก้อนเมฆไปแล้วเป็นแน่
โลกกลมหนอโลกกลม
จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับเทวดาท่านจะมาช่วยนะ เพราะถ้าท่านมาช่วยตะแคงก้อนเมฆไม่ทัน ป่านนี้นางฟ้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ติ๊นาตักผัดผักรวมมิตรใส่จาน เมี่อเสร็จสิ้นเมนูสุดท้าย ผัดผักรวมมื้อนี้ น่าจะเรียกว่าผัดสามสหายมากกว่า เพราะบรรดาผักมีอยู่แค่บล็อกโคลี่ แครอท และพริกหวานเขียวแดงแค่นั้น สองเมนูแรกปรุงเสร็จไปก่อนหน้านี้แล้วเพราะเป็นเมนูง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที ไข่เจียวหมูสับก็แค่ห้านาที แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับอีกถ้วย ขึ้นเตาด้วยไฟอ่อนไม่ถึงสิบห้านาที ก็เสร็จแล้ว
มื้อค่ำฉุกเฉินคืนนี้ ทำได้แต่เพียงเมนูธรรมดา ๆ แค่นั้น เพราะเสบียงในตู้เย็นมีแค่นั้นจริง ๆ
ได้ยินเสียงคนสองคนที่โต๊ะอาหารคุยกันแล้ว ติ๊นาได้แต่แอบยิ้มปลื้มปริ่มอยู่คนเดียว ตะนอยกลับตาลปัตรเป็นคนละคน จากที่เป็นคนพูดน้อยต่อยฉับ! คืนนี้กลายเป็นมดตะนอยฉอดฉับ!ไปเสียแล้ว เฮ๊อะ! พอถูกคอถูกใจกับใคร เป็นต้องออกอาการแบบนี้ทุกทีเชียวนะ เจ้าฟันแหลม
"ไง.. เหนื่อยม้ายย..ย.." เสียงดนัยเอ่ยทักมาทางเบื้องหลัง
ติ๊นาได้โอกาสหันไปส่งจานผัดสามสหายให้พอดี "ไม่เห็นต้องเหนื่อยเลย แค่ปรุง ๆ ผัด ๆ แค่นั้นเอง นอกนั้นมีลูกมือฝึกหัดมาคอยช่วยอยู่แล้วนี่"
"โอเค... ถือว่าเป็นคำชมเรื่องแรก แล้วอีกเรื่อง... เป็นไงบ้าง? ฝีมือหั่นผักของผม"
"ผลงานมันต้องเป็นยังงั้นอยู่แล้วล่ะ สำหรับคนมือไม้แข็ง"
"ไม่จริงอ่ะ"
"แน่ะ! เดี๋ยวไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ แล้วนะ ... คุณดนัย"
"ยอมรับได้ไง" ดนัยยังคงค้าน "ถ้ามือไม้แข็ง คงไม่มีใครมากุมมือแน่นหนึบหร๊อกก.. "
พูดเสร็จ เขาก็หันหลังขวับ! เดินหายไปกับจานผัดรวมมิตรเสียดื้อ ๆ แหม๊.. ดีนะที่เก็บตะหลิวลงอ่างเตรียมล้างแล้ว มันน่ามันเขี้ยวซะจริง ๆ แต่ก็นั่นแหละนะ หากยังกุมด้ามตะหลิวอยู่ ติ๊นาจะทำอะไรเขางั้นเหรอ? บ้า! ใครจะกล้าไปทำอะไร แล้วหงุดหงิดทำไม? ไม่ได้หงุดหงิด แค่ร้อนใบหน้ายุบยับกับคันมือยุบยิบแค่นั้นเอง
และแล้วอาหารมื้อเย็นก็พร้อมเสร็จสรรพ สำหรับเราสามคน
ตะนอยดูเหมือนจะหิวมากกว่าใคร ๆ เพราะข้าวสวยจานที่สองตามติดมาในเวลาอันรวดเร็ว ติ๊นาแอบยิ้มคนเดียว เราสามคนดูเหมือนจะเสียเวลาอยู่กับอาหารบนโต๊ะมากกว่าการสนทนากัน ดนัยเองก็คุยน้อยลง ติ๊นาเลยต้องปล่อยให้บรรยากาศสบาย ๆ อร่อย ๆ เป็นไปอย่างนั้น
แต่พอสักพัก
ติ๊นาก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นอาการเอร็ดอร่อยของตะนอยเบื้องหน้า "เป็นไงจ๊ะ?สาวน้อย ไหนบอกว่าชักจะเบื่อเนื้อหมูแล้วไง"
ตะนอยเงยหน้า "ก็เพราะเบื่อไง ถึงต้องรีบกำจัดมันให้หมดจากตู้เย็น" พูดไป เคี้ยวอาหารไป
"งั้นพรุ่งนี้ พี่ต้องแวะซุปเปอร์เอามาเติมใหม่แล้วล่ะ"
คราวนี้ตะนอยเงยหน้าขวับ!แทบจะทันใด "ถีอว่าตะนอยขอแล้วกันนะ อย่าเพิ่งหอบเข้าบ้านมาอีกเลยพี่นา กับข้าวที่โรงบาลก็มีแต่หมูกับไก่ พอเจอเมนูจำพวกใส่กุ้งใส่ปลาหมึกบ้าง กุ้งก็แคระแกร็นยังกะกุ้งเอธิโอเปีย ปลาหมึกก็เหี่ยวห่อยังกะปลาหมึกย่างงานวัด" คนฟังได้แต่หัวเราะกันเบา ๆ
"แล้วทำไมไม่ออกไปหาอะไรทานข้างนอกล่ะ" ดนัยได้จังหวะคุยด้วย
"ยิ่งยุ่งยากไปใหญ่ค่ะ พี่ดนัย"
"ทำไมล่ะ?"
"เวลาก็มีจำกัด ออกไปทั้ง ๆ สวมยูนิฟอร์มด้วย มันไม่สะดวกค่ะ"
"ดีแล้วล่ะ" ติ๊นาได้โอกาสแทรกบ้าง "ทานในโรงบาลแบบนั้น จะได้คิดถึงฝีมือพี่ไง"
"ถ้ามีแต่เมนูแบบนี้ จ้างให้ก็ไม่คิดถึงแล้วล่ะ วันนี้หยวนให้เฉย ๆ นะ ถือว่าฉุกละหุก"
"แล้วอร่อยไหมจ๊ะ?"
"งั้น ๆ แหละ"
"เอาข้าวอีกจานมั๊ย? เดี๋ยวพี่จะตักให้"
"เอา! เอ๊ย พอแล้ว"
ติ๊นากับดนัยหัวเราะพร้อมกัน ตะนอยคงเขินหนัก รีบขอตัวลุกออกจากโต๊ะหายไปทางห้องครัว ติ๊นาอิ่มก่อนหน้าคุณเจ้าชายไม่กี่คำ รายการกับข้าวธรรมดา ๆ สำหรับมื้อค่ำคืนนี้ แม้จะไม่ถึงกับหมดเกลี้ยง แต่ก็แทบจะไม่เหลือหลอ
เรื่องรสชาติของอาหาร เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องบรรยากาศไปเสียแล้ว สำหรับค่ำคืนนี้ ติ๊นาสัมผัสได้อย่างชัดเจนกับความอบอุ่นรอบตัว ทุกสิ่งลงตัวและเป็นไปตามธรรมชาติด้วยตัวของมันเอง และที่สำคัญไปกว่านั้น ติ๊นามีความรู้สึกอิ่มเอม เป็นปลื้มเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง นั่นคือการได้พบปะรู้จักกันของคนสองคน ระหว่างตะนอยกับดนัย
หลายครั้งหลายหนแล้วที่ทั้งสองคลาดกัน มีครั้งหนึ่ง ตะนอยเคยไปนั่งรอติ๊นาก่อนเลิกงาน และวันนั้นติ๊นาเองก็นัดแนะทุกคนล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันสามคน ทั้งติ๊นา ดนัย พร้อมทั้งตะนอย แต่ก็ปรากฎว่าดนัยมีประชุมด่วนพอดี วันนั้นจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะ วันนี้ฤกษ์คงไม่ดี
คืนนี้
หากจะถือว่า ฤกษ์ที่ร้านอาหารเป็นฤกษ์ไม่ดี แต่ที่บ้าน ติ๊นาว่าฤกษ์ซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุดและดีที่สุด อยู่ที่บ้านหลังนี้นี่เอง
พอจัดเก็บโต๊ะอาหารรวมทั้งเก็บความเรียบร้อยในห้องครัวเสร็จ ขั้นตอนการล้าง ตะนอยก็จัดการแย่งไปเป็นหน้าที่ของตัวเองคนเดียว ซ้ำยังกำชับให้ติ๊นาออกไปดูแลแขกคนสำคัญในสวนข้างบ้าน เรื่องในบ้านตอนนี้ปล่อยตะนอยคนเดียวพอ
ดนัยส่งยิ้มหวานมาจากม้านั่งหวายข้างบ้านเมื่อเห็นติ๊นาเดินออกมาตามหา เขาชี้บอกติ๊นาที่ม้านั่งอีกตัวข้างกัน แหม ... ทำเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเองเลยนะ
แต่ติ๊นาก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น
"อย่าแต๊ะอั๋งนะ เดี๋ยวตะนอยเห็นเข้ามันจะไม่ดี"
"โธ่เอ๊ยย... คุณติ๊นา" ดนัยโคลงศีรษะไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม "พูดจริงหรือล้อเล่นเนี่ย"
"ล้อเล่นเฉย ๆ"
"ชักจะตามติ๊นาไม่ทันขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรเล่น ไม่รู้อะไรจริง"
"ตะเองอิ่มซะจนเครียดน่ะสิ" ติ๊นาสัพยอก จับเข่าของเขาเขย่าเบาๆ "ทานไอศกรีมมั๊ย? มีนะ ในตู้เย็น"
"ไม่อ่ะ อิ่มตื้อเลย" ดนัยส่ายหน้า " เอ่อ เมื่อตอนทานข้าว ตะนอยพูดถึงเรื่องแม่บ่นคิดถึง แม่บ่นว่าไงนะ?"
ติ๊นาเพิ่งนึกได้เหมือนกัน "อ๋อ.. แม่ไม่ได้เจอหน้าเราทั้งคู่จะครบปีแล้ว เลยอยากเจอทั้งสองคน เห็นว่ายังงั้น"
"ดีจัง ผมจะได้โผล่ไปเสริมด้วยอีกคน"
ติ๊นามองสบตากับคนพูด "แน่ใจนะ"
"แน่สิ ดูตาผมสิ สายตาเป็นสิ่งยืนยันคำพูดนะ ติ๊นาดูสิ"
นั่นล่ะ ที่ติ๊นาทุบตุบ!เข้าให้เต็มหัวเข่า แต่แปลกนะที่คนโดนทุบไม่แสดงอาการอะไร นอกจากหัวเราะในลำคอ
เราคุยกันอีกหลายเรื่องราว ทั้งเรื่องการงานที่ต่างฝ่ายต่างบอกเล่าสู่กันฟัง เรื่องของดนัยหนักไปทางผู้คน ผิดกับเรื่องของติ๊นาที่หนักไปทางลายเส้น โทนสี จินตภาพซึ่งอธิบายแล้วน่าเวียนหัว เวลาผ่านไปแทบไม่รู้สึกตัวจนตะนอยโผล่มาในชุดนอนมิดชิด พอคุยกันสามคนได้ชั่วครู่ ดนัยก็ขอตัว เพราะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว ไหนจะต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีกเป็นชั่วโมง
ทั้งดนัยและตะนอยร่ำลากันอย่างสนิทสนม ติ๊นายืนยิ้มมองดูคนทั้งสองอย่างมีความสุข ดนัยอ้อยอิ่งอยู่สักพัก ติ๊นาเลยต้องเร่งให้รีบกลับ และในที่สุด ‘แขกคนสำคัญ’ตามที่ตะนอยเรียก ก็ขับรถหายลับไป
"พี่ดนัยน่ารักดีนะ ดูพี่เค้าวางตัวสบาย ๆ ซื่อ ๆ และที่สำคัญ ดูมีความจริงใจสุด ๆ" ตะนอยพูดตามหลังแขก
ติ๊นาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองหน้าตะนอย และเหมือนน้องสาวฟันแหลมจะรู้สึกตัวอะไรบางอย่าง
"โอ๊ะ! อย่าเข้าใจผิดนะค๊าา.. ตะนอยพูดถึง'ว่าที่พี่เขย'นะ ไม่ได้หมายถึง'ว่าที่แฟนตะนอย'ซะหน่อย"
เจ้าตัวแสบนี่ก็อีกคน ที่พอพูดเสร็จก็มักจะหลบเลี่ยงพลังตีกลับได้อย่างรู้ทัน ดูสิ! โกยอ้าวเข้าบ้านแทบจะสะดุดเหลี่ยมประตู
เฮ๊อะ!.. เข้ากันเป็นปี่เป็นทรัมเป็ตเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกัน
....
....