G.K.Line
14.
เพียงพลอยฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยทำมานานหลายปี แม้ไม่ได้ส่องกระจกแต่เธอก็รับรู้ได้ว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้คงกำลังเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย หัวใจพองโตเต้นไปตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างมีชีวิตชีวา
นานจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้คือเมื่อใด อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดเสียจนเด็กสาวไม่คุ้นเคย ของกินของใช้แปลกตาวางขายกันเกลื่อนกลาด ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่หนาแน่นกว่าแต่ก่อนมาก
แม้จะอึดอัดและชวนเวียนหัว ทว่าเด็กสาวกลับยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานวัดในค่ำคืนนี้ ที่สำคัญคือเธอได้มาเดินเที่ยวกับคนที่รู้สึกพิเศษสุดซึ้งด้วยอย่างบรรพต หมอหนุ่มเองก็รู้ดีว่าเพียงพลอยไม่เคยออกมาข้างนอกแบบนี้นานแล้ว เขาจึงดูแลเอาอกเอาใจ พาเดินเที่ยวชมไปจนทั่วงาน
“น่ารักจัง”
คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายสัตว์เลี้ยง บนแผงมีกรงลวดขนาดย่อมวางซ้อนกันอยู่สิบกว่าใบ แต่ละใบก็มีกระต่ายหลายหลากสีอยู่ในนั้นกรงละตัว ทั้งหมดยังเป็นกระต่ายเด็กตัวเล็กๆ น่ารัก บ้างก็กำลังนอน บ้างก็กำลังกัดแทะอะไรง่วนอยู่ เด็กสาวก้มลงสนใจกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่นั่งนิ่ง หันหน้ามายังเธอราวกับกำลังจ้องตากันอยู่
“พลอยอยากได้สักตัวมั้ย จะได้เอาไว้เป็นเพื่อนให้คลายเหงาได้ด้วย”
ดวงตากลมดำใสแจ๋วจ้องไม่กะพริบ เด็กสาวมองลึกลงไปในความไร้เดียงสาของมันราวกับอยากรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
“อืม ไม่ดีกว่าค่ะ” เป็นคำตอบที่บรรพตรู้สึกผิดคาด เพราะเห็นว่าเธอให้ความสนอกสนใจบรรดาสัตว์ตัวเล็กในกรงเหล่านั้นไม่น้อย
“พลอยไม่อยากเลี้ยงเหรอ” หมอหนุ่มถามซ้ำ
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พลอยอยากเลี้ยง อยากมีเพื่อน แต่พลอยไม่รู้ว่าตัวเองจะเลี้ยงมันได้ดีรึเปล่า กลัวว่าจะทำให้มันไม่มีความสุข แล้วอีกอย่างพลอยคิดว่าบางทีการจับมันมาขังอยู่ในกรงแบบนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการก็ได้” ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาก่อนบอกเสียงค่อย
“สิ่งมีชีวิตย่อมต้องการอิสระ ถ้าต้องถูกจับขังในกรงก็คงไม่ต่างอะไรกันกับพลอย ที่ตอนนี้มีชีวิตเหมือนกับถูกจับให้อยู่แค่ในบ้านน่ะค่ะ”
แววตาของเด็กสาวหม่นลงวูบ คำอธิบายเหตุผลที่ตัดสินใจไม่ซื้อกระต่ายตัวน้อยกลับไปเลี้ยงที่บ้านของเธอ แสดงให้เห็นว่าเพียงพลอยเป็นคนคิดเยอะ และคิดค่อนข้างซับซ้อนในหลายๆ เรื่อง
บ่อยครั้งที่เหตุผลของเธอทำให้เขาถึงกับอึ้งเพราะคาดไม่ถึงเอาเหมือนกัน ที่เธอคิดแบบนี้ก็คงเป็นเพราะเห็นกระต่ายพวกนั้นถูกขังอยู่ในกรงทำให้พวกมันต้องมีชีวิตอยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยม โหยหาความอิสระของโลกภายนอก
ตัวเธอเองก็ต้องซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด เฝ้ามองรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของแสงสว่าง ซึ่งเห็นแล้วจึงทำให้นึกย้อนกลับมาถึงตัวเองว่าก็เป็นเหมือนกระต่ายพวกนั้นเช่นกัน
สัตว์ที่ถูกเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์จะขาดสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและหาอาหารไม่เป็น ดังนั้นหากเอาไปปล่อยหรือเลี้ยงดูไม่ดีพอ ก็จะยิ่งทำให้พวกมันต้องจบชีวิตเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
หมอหนุ่มคิด ครั้นแล้วจึงยิ้มกว้างให้ดูสดใสขึ้นเพื่อกลบความเศร้าหมองที่เริ่มก่อตัว เห็นท่าทีแบบนั้นของเพียงพลอย มือใหญ่จึงยกขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวอย่างรักใคร่ก่อนพาเธอเดินออกจากหน้าร้านแห่งนั้นไป เพราะไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไรได้ดีมากไปกว่านี้
เพียงพลอยเดินเกาะแขนบรรพตออกมาจากร้านแต่โดยดี ขณะสาวเท้าไปด้วยกันเด็กสาวเหลียวมองดูผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอะเจอผู้คนเยอะแยะแบบนี้ นึกขอบคุณผู้ชายคนข้างๆ ที่พาเธอออกมาสู่โลกภายนอก โลกซึ่งเธอเองยังนึกหวาดระแวง แต่ก็อุ่นใจที่ข้างกายยังมีเขาคอยใส่ใจ
“สวัสดีครับ คุณหมอ” บรรพตยิ้มรับเมื่อมีใครคนหนึ่งกล่าวทักทาย เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูทะมัดทะแมง ไหล่ตรง กำยำ สมกับเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ข้างกายมีหญิงสาวคนหนึ่งมาด้วยกัน แววตาเฉี่ยวมีเสน่ห์ดูมั่นใจในตัวเอง ดูยังไงทั้งคู่ก็เหมาะสมกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“สวัสดีครับ เอ้อ คุณ...” อดีตนายแพทย์ค้างคำ พยายามนึกให้ออกว่าคนที่ทักทายเป็นใคร
“ผมศักดา เป็นลูกของคุณไพบูลย์ครับ” ผู้ทักทายขยายความไขข้อข้องใจคู่สนทนา
“อ้อ ลูกชายคุณไพบูลย์นี่เอง สวัสดีครับ” หมอหนุ่มจำคุณไพบูลย์ได้เพราะเคยตรวจอาการไข้ให้ถึงในบ้านของชายสูงวัยคนนั้นครั้งหนึ่ง และครั้งนั้นเขายังได้ชื่นชมภาพวาดของอาจารย์สอนศิลปะที่ประดับไว้บนผนังบ้านด้วย
“วิภาดาค่ะ เพิ่งย้ายมาไม่นาน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” หญิงสาวที่มาด้วยกันแนะนำตัวบ้าง หมอหนุ่มตอบรับพร้อมค้อมตัวให้เล็กน้อย
หลังแนะนำตัวและพูดคุยกันพอเป็นพิธีแล้ว บรรพตตัดสินใจตัดบทเพราะไม่อยากให้เพียงพลอยรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้
และในจังหวะที่เดินสวนกัน เพียงพลอยก็แอบลอบมองไปยังคนทั้งคู่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ศักดาเหลียวกลับมามองเธอเช่นกัน เพียงชั่วครู่ที่ประสานสายตากันพอดีนั่นเอง
มันคงคล้ายความรู้สึกของกบเวลาถูกงูจ้อง รู้ว่ามีอันตรายแต่ก็ไม่สามารถขยับหนีได้ หรือราวกับเหยื่อที่ไร้แรงต่อต้านกำลังถูกนักล่าจ้องสังหาร ความรู้สึกแบบนั้นแผ่พุ่งเข้าเกาะกุมตัวของเด็กสาวจนคล้ายเรี่ยวแรงจะหดหายไปหมด
สัญชาตญาณลึกๆ ในตัวกำลังบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มที่เพิ่งคุยกันเป็นตัวอันตราย แม้ภายนอกของเขาจะดูเหมือนกับผู้ชายปกติทั่วๆ ไป แต่เพียงพลอยรู้สึกได้ถึงอะไรที่มากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม มือทั้งสองเกร็งบีบแขนพร้อมเบียดตัวแทรกเข้าไปแนบชิดกับบรรพตอย่างลืมตัว
“พลอย เป็นอะไรรึเปล่า” บรรพตที่สังเกตเห็นความผิดปกติเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เด็กสาวหน้าซีดลง ตัวสั่นราวลูกนกเปียกฝน หลบตาลงต่ำคล้ายกำลังหวาดหวั่นต่ออะไรบางอย่างอยู่
“พลอยรู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ พี่พต”
“อืม พลอยไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวงานแบบนี้นี่นะ เดินนานๆ คงเหนื่อย แถมโดนน้ำค้างตอนกลางคืนอีกอาจจะทำให้ไม่สบายตัว ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นั่งพักสักหน่อยคงจะดีขึ้น แล้วเราค่อยเดินเที่ยวกันต่อก็ได้ค่ะ”
เป็นเพราะอยากให้เวลาแห่งความปกติสุขนี้ยืดยาวออกไปอีกหน่อยทำให้เด็กสาวตอบไปแบบนั้น เธออยากใช้เวลาอยู่กับชายคนรักแบบนี้มากขึ้นอีกสักนิด แม้เพียงแค่ชั่วนาทีก็ยังดี
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ พลอยต้องบอกพี่นะ ห้ามดื้อ ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด” เสียงนุ่มกำชับอย่างห่วงใย เรียกความตื้นตันเต็มแน่นในหัวใจของเด็กสาว
“ค่ะ” รับคำเขาเสียงแผ่ว
ในเวลาที่ความรู้สึกกริ่งเกรงประหลาดนั้นได้คลายลงมากจนเธอหายจากวิตกกังวลถึงมันแล้ว คนทั้งคู่ยังอยู่ในงานอีกครู่ใหญ่ๆ แม้รู้ว่ามีตัวอันตรายอยู่ไม่ห่าง แต่เพียงพลอยก็มีความสุขเกินกว่าที่จะมัวไปคิดถึงเรื่องนั้น
เธอใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติบนโลกใบนี้มานานเหลือเกิน นานจนเธอลืมเลือนความหมายของการดำรงอยู่ไปแล้ว สำหรับคนอย่างเธอ ถ้าหากในตอนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด ขอเพียงให้ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ ได้ซึมซับเอาช่วงวินาทีที่แสนวิเศษสุดกับชายคนรักก็เพียงพอแล้ว
และเมื่อสมควรแก่เวลา แม้รู้ว่าแฟนสาวยังอยากจะอยู่ต่อแต่บรรพตก็จำต้องพาเธอกลับ เพราะเกรงว่าพ่อของเธอจะเป็นห่วงลูกสาวสุดที่รัก ความจริงแล้วเขายังอดแปลกใจไม่ได้ที่คุณสมานยอมให้เพียงพลอยออกมาเที่ยวด้วยกันกับเขา เพราะปกติแล้วแม้แต่จะออกมานอกบ้าน เธอก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ที่พ่อยอมให้พลอยออกมากับพี่พต แสดงว่าพ่อไว้ใจพี่พตน่ะค่ะ”
นั่นเป็นคำตอบเมื่อตอนหัวค่ำของเด็กสาว เธอพูดพร้อมยิ้มแก้มปริ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าดีใจขนาดไหนเมื่อได้เห็นว่าคนที่เธอรักทั้งสองลงรอยกันได้ในที่สุด
บรรยากาศสองข้างทางดูสงบ ถนนที่ทอดยาวออกจากงานไปสู่ถนนสายหลักร้างผู้คนไม่เหมือนช่วงหัวค่ำ บรรพตดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วก็แอบตกใจที่มันล่วงเลยมามาก ไม่นึกว่าจะดึกขนาดนี้แล้ว
ลมที่พัดเอื่อยเป็นจังหวะส่งผลให้หญ้าคาสูงท่วมหัวสองข้างทางพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น แมลงกลางคืนส่งเสียงร้องดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ที ช่วยทำให้ถนนไม่เงียบจนเกินไป อย่างน้อยพวกมันก็กำลังส่งเสียงให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังสัญจรอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง ยังมีพวกมันที่พร้อมใจกันเดินไปส่งให้จนถึงปากทาง
เพียงพลอยและบรรพตก้าวเดินเคียงคู่ไปตามทาง ปล่อยให้ตัวตนกลมกลืนไปกับความมืดและสรรพเสียงของธรรมชาติ ตอนนี้คนทั้งคู่อยากอยู่ด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแบบนี้ไปตลอด ใจนั้นนึกอยากให้ถนนสายนี้ยืดยาวออกไปไม่รู้จบ แม้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ แต่มือทั้งสองที่กำลังเกาะกุมกันอยู่กลับส่งผ่านทุกความรู้สึกได้ดีเสียยิ่งกว่า
สวบ...
เสียงแปลกแยกดังมาจากข้างทาง เสียงหญ้าแหวกและเสียงย่ำดิน เสียงเสียดสีของใบไม้ ใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างทาง แม้บรรพตจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เพียงพลอยกลับได้ยินและแยกแยะมันได้ชัดเจนราวกับตาเห็น
“พี่พต หนีเร็ว”
ไม่ใช่ความรู้สึกกลัว ไม่ได้มาจากความรู้สึกว่าถูกคุกคาม และยิ่งไม่ใช่ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ได้รับจากนักล่าอสุรกาย มันเกิดขึ้นก่อนสมองจะคิดวิเคราะห์แยกแยะด้วยซ้ำ เป็นไปตามสัญชาตญาณของร่างกายที่เพียงรับรู้ว่าต้องหนีเท่านั้น เพียงพลอยคว้าข้อมือของบรรพต กึ่งลากกึ่งจูงออกวิ่งให้เร็วที่สุด
“มีอะไรพลอย เกิดอะไรขึ้น”
เหตุการณ์พลิกผันเร็วเกินไปจนชายหนุ่มไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็แปลกใจที่เด็กสาวท่าทางขี้โรคเมื่อสักครู่กลับมีเรี่ยวแรงและความเร็วได้ถึงเพียงนี้ ทว่ายังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไรต่อจากนั้น ร่างหนึ่งก็กระโดดออกมาจากในเงามืดขวางหน้าพวกเขาเอาไว้
“ฮิๆๆ ในที่สุดก็เจอกันจนได้”
ร่างเล็กที่กำลังยืนปิดทางหนีของทั้งคู่เปล่งเสียงพูดออกมา แม้น้ำเสียงจะมีความน่าเกลียดและกระหายเลือดแฝงอยู่ แต่เพียงพลอยก็คุ้นหูเป็นอย่างดี ทว่าคนที่คุ้นหูเสียงพูดและการหัวเราะแบบนี้เสียยิ่งกว่ากลับเป็นบรรพตนั่นเอง
“คิดถึงเหลือเกิน เหม่ยหลิน ไม่สิ ตอนนี้เธอชื่อเพียงพลอยสินะ”
มันพูดอะไรบางอย่างคล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองก่อนเดินเนิบนาบเข้ามาหา เสียงที่ถูกเปล่งออกมาจากร่างนิรนามเป็นเสียงเดียวกันกับเพียงพลอยไม่ผิดเพี้ยน ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือใบหน้าและรูปร่างของมันต่างหาก
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 14
14.
เพียงพลอยฉีกยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยทำมานานหลายปี แม้ไม่ได้ส่องกระจกแต่เธอก็รับรู้ได้ว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้คงกำลังเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย หัวใจพองโตเต้นไปตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างมีชีวิตชีวา
นานจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้คือเมื่อใด อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดเสียจนเด็กสาวไม่คุ้นเคย ของกินของใช้แปลกตาวางขายกันเกลื่อนกลาด ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่หนาแน่นกว่าแต่ก่อนมาก
แม้จะอึดอัดและชวนเวียนหัว ทว่าเด็กสาวกลับยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานวัดในค่ำคืนนี้ ที่สำคัญคือเธอได้มาเดินเที่ยวกับคนที่รู้สึกพิเศษสุดซึ้งด้วยอย่างบรรพต หมอหนุ่มเองก็รู้ดีว่าเพียงพลอยไม่เคยออกมาข้างนอกแบบนี้นานแล้ว เขาจึงดูแลเอาอกเอาใจ พาเดินเที่ยวชมไปจนทั่วงาน
“น่ารักจัง”
คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายสัตว์เลี้ยง บนแผงมีกรงลวดขนาดย่อมวางซ้อนกันอยู่สิบกว่าใบ แต่ละใบก็มีกระต่ายหลายหลากสีอยู่ในนั้นกรงละตัว ทั้งหมดยังเป็นกระต่ายเด็กตัวเล็กๆ น่ารัก บ้างก็กำลังนอน บ้างก็กำลังกัดแทะอะไรง่วนอยู่ เด็กสาวก้มลงสนใจกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่นั่งนิ่ง หันหน้ามายังเธอราวกับกำลังจ้องตากันอยู่
“พลอยอยากได้สักตัวมั้ย จะได้เอาไว้เป็นเพื่อนให้คลายเหงาได้ด้วย”
ดวงตากลมดำใสแจ๋วจ้องไม่กะพริบ เด็กสาวมองลึกลงไปในความไร้เดียงสาของมันราวกับอยากรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
“อืม ไม่ดีกว่าค่ะ” เป็นคำตอบที่บรรพตรู้สึกผิดคาด เพราะเห็นว่าเธอให้ความสนอกสนใจบรรดาสัตว์ตัวเล็กในกรงเหล่านั้นไม่น้อย
“พลอยไม่อยากเลี้ยงเหรอ” หมอหนุ่มถามซ้ำ
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พลอยอยากเลี้ยง อยากมีเพื่อน แต่พลอยไม่รู้ว่าตัวเองจะเลี้ยงมันได้ดีรึเปล่า กลัวว่าจะทำให้มันไม่มีความสุข แล้วอีกอย่างพลอยคิดว่าบางทีการจับมันมาขังอยู่ในกรงแบบนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการก็ได้” ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาก่อนบอกเสียงค่อย
“สิ่งมีชีวิตย่อมต้องการอิสระ ถ้าต้องถูกจับขังในกรงก็คงไม่ต่างอะไรกันกับพลอย ที่ตอนนี้มีชีวิตเหมือนกับถูกจับให้อยู่แค่ในบ้านน่ะค่ะ”
แววตาของเด็กสาวหม่นลงวูบ คำอธิบายเหตุผลที่ตัดสินใจไม่ซื้อกระต่ายตัวน้อยกลับไปเลี้ยงที่บ้านของเธอ แสดงให้เห็นว่าเพียงพลอยเป็นคนคิดเยอะ และคิดค่อนข้างซับซ้อนในหลายๆ เรื่อง
บ่อยครั้งที่เหตุผลของเธอทำให้เขาถึงกับอึ้งเพราะคาดไม่ถึงเอาเหมือนกัน ที่เธอคิดแบบนี้ก็คงเป็นเพราะเห็นกระต่ายพวกนั้นถูกขังอยู่ในกรงทำให้พวกมันต้องมีชีวิตอยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยม โหยหาความอิสระของโลกภายนอก
ตัวเธอเองก็ต้องซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด เฝ้ามองรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของแสงสว่าง ซึ่งเห็นแล้วจึงทำให้นึกย้อนกลับมาถึงตัวเองว่าก็เป็นเหมือนกระต่ายพวกนั้นเช่นกัน
สัตว์ที่ถูกเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์จะขาดสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและหาอาหารไม่เป็น ดังนั้นหากเอาไปปล่อยหรือเลี้ยงดูไม่ดีพอ ก็จะยิ่งทำให้พวกมันต้องจบชีวิตเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
หมอหนุ่มคิด ครั้นแล้วจึงยิ้มกว้างให้ดูสดใสขึ้นเพื่อกลบความเศร้าหมองที่เริ่มก่อตัว เห็นท่าทีแบบนั้นของเพียงพลอย มือใหญ่จึงยกขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวอย่างรักใคร่ก่อนพาเธอเดินออกจากหน้าร้านแห่งนั้นไป เพราะไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำอะไรได้ดีมากไปกว่านี้
เพียงพลอยเดินเกาะแขนบรรพตออกมาจากร้านแต่โดยดี ขณะสาวเท้าไปด้วยกันเด็กสาวเหลียวมองดูผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอะเจอผู้คนเยอะแยะแบบนี้ นึกขอบคุณผู้ชายคนข้างๆ ที่พาเธอออกมาสู่โลกภายนอก โลกซึ่งเธอเองยังนึกหวาดระแวง แต่ก็อุ่นใจที่ข้างกายยังมีเขาคอยใส่ใจ
“สวัสดีครับ คุณหมอ” บรรพตยิ้มรับเมื่อมีใครคนหนึ่งกล่าวทักทาย เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูทะมัดทะแมง ไหล่ตรง กำยำ สมกับเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ข้างกายมีหญิงสาวคนหนึ่งมาด้วยกัน แววตาเฉี่ยวมีเสน่ห์ดูมั่นใจในตัวเอง ดูยังไงทั้งคู่ก็เหมาะสมกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“สวัสดีครับ เอ้อ คุณ...” อดีตนายแพทย์ค้างคำ พยายามนึกให้ออกว่าคนที่ทักทายเป็นใคร
“ผมศักดา เป็นลูกของคุณไพบูลย์ครับ” ผู้ทักทายขยายความไขข้อข้องใจคู่สนทนา
“อ้อ ลูกชายคุณไพบูลย์นี่เอง สวัสดีครับ” หมอหนุ่มจำคุณไพบูลย์ได้เพราะเคยตรวจอาการไข้ให้ถึงในบ้านของชายสูงวัยคนนั้นครั้งหนึ่ง และครั้งนั้นเขายังได้ชื่นชมภาพวาดของอาจารย์สอนศิลปะที่ประดับไว้บนผนังบ้านด้วย
“วิภาดาค่ะ เพิ่งย้ายมาไม่นาน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” หญิงสาวที่มาด้วยกันแนะนำตัวบ้าง หมอหนุ่มตอบรับพร้อมค้อมตัวให้เล็กน้อย
หลังแนะนำตัวและพูดคุยกันพอเป็นพิธีแล้ว บรรพตตัดสินใจตัดบทเพราะไม่อยากให้เพียงพลอยรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้
และในจังหวะที่เดินสวนกัน เพียงพลอยก็แอบลอบมองไปยังคนทั้งคู่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ศักดาเหลียวกลับมามองเธอเช่นกัน เพียงชั่วครู่ที่ประสานสายตากันพอดีนั่นเอง
มันคงคล้ายความรู้สึกของกบเวลาถูกงูจ้อง รู้ว่ามีอันตรายแต่ก็ไม่สามารถขยับหนีได้ หรือราวกับเหยื่อที่ไร้แรงต่อต้านกำลังถูกนักล่าจ้องสังหาร ความรู้สึกแบบนั้นแผ่พุ่งเข้าเกาะกุมตัวของเด็กสาวจนคล้ายเรี่ยวแรงจะหดหายไปหมด
สัญชาตญาณลึกๆ ในตัวกำลังบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มที่เพิ่งคุยกันเป็นตัวอันตราย แม้ภายนอกของเขาจะดูเหมือนกับผู้ชายปกติทั่วๆ ไป แต่เพียงพลอยรู้สึกได้ถึงอะไรที่มากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม มือทั้งสองเกร็งบีบแขนพร้อมเบียดตัวแทรกเข้าไปแนบชิดกับบรรพตอย่างลืมตัว
“พลอย เป็นอะไรรึเปล่า” บรรพตที่สังเกตเห็นความผิดปกติเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เด็กสาวหน้าซีดลง ตัวสั่นราวลูกนกเปียกฝน หลบตาลงต่ำคล้ายกำลังหวาดหวั่นต่ออะไรบางอย่างอยู่
“พลอยรู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ พี่พต”
“อืม พลอยไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวงานแบบนี้นี่นะ เดินนานๆ คงเหนื่อย แถมโดนน้ำค้างตอนกลางคืนอีกอาจจะทำให้ไม่สบายตัว ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นั่งพักสักหน่อยคงจะดีขึ้น แล้วเราค่อยเดินเที่ยวกันต่อก็ได้ค่ะ”
เป็นเพราะอยากให้เวลาแห่งความปกติสุขนี้ยืดยาวออกไปอีกหน่อยทำให้เด็กสาวตอบไปแบบนั้น เธออยากใช้เวลาอยู่กับชายคนรักแบบนี้มากขึ้นอีกสักนิด แม้เพียงแค่ชั่วนาทีก็ยังดี
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ พลอยต้องบอกพี่นะ ห้ามดื้อ ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด” เสียงนุ่มกำชับอย่างห่วงใย เรียกความตื้นตันเต็มแน่นในหัวใจของเด็กสาว
“ค่ะ” รับคำเขาเสียงแผ่ว
ในเวลาที่ความรู้สึกกริ่งเกรงประหลาดนั้นได้คลายลงมากจนเธอหายจากวิตกกังวลถึงมันแล้ว คนทั้งคู่ยังอยู่ในงานอีกครู่ใหญ่ๆ แม้รู้ว่ามีตัวอันตรายอยู่ไม่ห่าง แต่เพียงพลอยก็มีความสุขเกินกว่าที่จะมัวไปคิดถึงเรื่องนั้น
เธอใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติบนโลกใบนี้มานานเหลือเกิน นานจนเธอลืมเลือนความหมายของการดำรงอยู่ไปแล้ว สำหรับคนอย่างเธอ ถ้าหากในตอนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด ขอเพียงให้ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ ได้ซึมซับเอาช่วงวินาทีที่แสนวิเศษสุดกับชายคนรักก็เพียงพอแล้ว
และเมื่อสมควรแก่เวลา แม้รู้ว่าแฟนสาวยังอยากจะอยู่ต่อแต่บรรพตก็จำต้องพาเธอกลับ เพราะเกรงว่าพ่อของเธอจะเป็นห่วงลูกสาวสุดที่รัก ความจริงแล้วเขายังอดแปลกใจไม่ได้ที่คุณสมานยอมให้เพียงพลอยออกมาเที่ยวด้วยกันกับเขา เพราะปกติแล้วแม้แต่จะออกมานอกบ้าน เธอก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ที่พ่อยอมให้พลอยออกมากับพี่พต แสดงว่าพ่อไว้ใจพี่พตน่ะค่ะ”
นั่นเป็นคำตอบเมื่อตอนหัวค่ำของเด็กสาว เธอพูดพร้อมยิ้มแก้มปริ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าดีใจขนาดไหนเมื่อได้เห็นว่าคนที่เธอรักทั้งสองลงรอยกันได้ในที่สุด
บรรยากาศสองข้างทางดูสงบ ถนนที่ทอดยาวออกจากงานไปสู่ถนนสายหลักร้างผู้คนไม่เหมือนช่วงหัวค่ำ บรรพตดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วก็แอบตกใจที่มันล่วงเลยมามาก ไม่นึกว่าจะดึกขนาดนี้แล้ว
ลมที่พัดเอื่อยเป็นจังหวะส่งผลให้หญ้าคาสูงท่วมหัวสองข้างทางพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น แมลงกลางคืนส่งเสียงร้องดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ที ช่วยทำให้ถนนไม่เงียบจนเกินไป อย่างน้อยพวกมันก็กำลังส่งเสียงให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังสัญจรอยู่บนเส้นทางนี้เพียงลำพัง ยังมีพวกมันที่พร้อมใจกันเดินไปส่งให้จนถึงปากทาง
เพียงพลอยและบรรพตก้าวเดินเคียงคู่ไปตามทาง ปล่อยให้ตัวตนกลมกลืนไปกับความมืดและสรรพเสียงของธรรมชาติ ตอนนี้คนทั้งคู่อยากอยู่ด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแบบนี้ไปตลอด ใจนั้นนึกอยากให้ถนนสายนี้ยืดยาวออกไปไม่รู้จบ แม้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ แต่มือทั้งสองที่กำลังเกาะกุมกันอยู่กลับส่งผ่านทุกความรู้สึกได้ดีเสียยิ่งกว่า
สวบ...
เสียงแปลกแยกดังมาจากข้างทาง เสียงหญ้าแหวกและเสียงย่ำดิน เสียงเสียดสีของใบไม้ ใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างทาง แม้บรรพตจะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เพียงพลอยกลับได้ยินและแยกแยะมันได้ชัดเจนราวกับตาเห็น
“พี่พต หนีเร็ว”
ไม่ใช่ความรู้สึกกลัว ไม่ได้มาจากความรู้สึกว่าถูกคุกคาม และยิ่งไม่ใช่ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ได้รับจากนักล่าอสุรกาย มันเกิดขึ้นก่อนสมองจะคิดวิเคราะห์แยกแยะด้วยซ้ำ เป็นไปตามสัญชาตญาณของร่างกายที่เพียงรับรู้ว่าต้องหนีเท่านั้น เพียงพลอยคว้าข้อมือของบรรพต กึ่งลากกึ่งจูงออกวิ่งให้เร็วที่สุด
“มีอะไรพลอย เกิดอะไรขึ้น”
เหตุการณ์พลิกผันเร็วเกินไปจนชายหนุ่มไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็แปลกใจที่เด็กสาวท่าทางขี้โรคเมื่อสักครู่กลับมีเรี่ยวแรงและความเร็วได้ถึงเพียงนี้ ทว่ายังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไรต่อจากนั้น ร่างหนึ่งก็กระโดดออกมาจากในเงามืดขวางหน้าพวกเขาเอาไว้
“ฮิๆๆ ในที่สุดก็เจอกันจนได้”
ร่างเล็กที่กำลังยืนปิดทางหนีของทั้งคู่เปล่งเสียงพูดออกมา แม้น้ำเสียงจะมีความน่าเกลียดและกระหายเลือดแฝงอยู่ แต่เพียงพลอยก็คุ้นหูเป็นอย่างดี ทว่าคนที่คุ้นหูเสียงพูดและการหัวเราะแบบนี้เสียยิ่งกว่ากลับเป็นบรรพตนั่นเอง
“คิดถึงเหลือเกิน เหม่ยหลิน ไม่สิ ตอนนี้เธอชื่อเพียงพลอยสินะ”
มันพูดอะไรบางอย่างคล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองก่อนเดินเนิบนาบเข้ามาหา เสียงที่ถูกเปล่งออกมาจากร่างนิรนามเป็นเสียงเดียวกันกับเพียงพลอยไม่ผิดเพี้ยน ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือใบหน้าและรูปร่างของมันต่างหาก