รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 20

กระทู้สนทนา
G.K.Line

          20.

                วันก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวง แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องลงมาปลุกให้หมู่บ้านฟ้าใหม่กลับมามีชีวิตชีวาจากการหลับใหลอีกครั้ง
 

                หกนาฬิกา

                สิบสองชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

                บรรพตนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงนอนในบ้านของตนเอง

                วิภาดาลุกจากที่นอน จัดแจงธุระส่วนตัว แต่งตัวด้วยชุดทะมัดทะแมงและเคลื่อนไหวได้คล่องตัวที่สุดเท่าที่จะหาได้

                ศักดากำลังบรรจงปรุงอาหารเช้าสุดฝีมือ เพื่อรอแขกคนพิเศษประจำวันของเขามาลิ้มรสด้วยกัน

                สมานอบอุ่นร่างกายเพื่อปลุกให้กล้ามเนื้อและร่างกายทุกส่วนตื่นตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
 

                แปดนาฬิกา

                สิบชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

                บรรพตเหม่อมองเพดานและโคมไฟในห้องบนเตียงนอน ใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ราวกับคนไร้ความรู้สึก สมองที่กำลังทำงานอย่างหนักคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆ ในหัว

                วิภาดาและศักดารับประทานอาหารเช้าด้วยกันบนโต๊ะอาหาร เรื่องในอดีต เรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ เรื่องสัพเพเหระต่างๆ ถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อพูดคุยราวกับทั้งคู่ต้องการรู้จักกันมากกว่านี้ให้มากที่สุดในเวลาที่เหลืออยู่ สีหน้าและน้ำเสียงของทั้งคู่ทำให้บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความสุข

                สมานหยิบสร้อยล็อกเก็ตรูปหัวใจออกมาจากหีบไม้เก่าๆ เมื่อเปิดมันออก ด้านหนึ่งเป็นรูปของเหม่ยชิง อีกด้านหนึ่งเป็นรูปเด็กแฝดที่เกิดจากพันธุกรรมของหญิงคนรัก สายตาเพ่งพิศรูปทั้งสองเนิ่นนานคล้ายต้องการสื่อใจไปให้ถึงบุคคลในภาพนั้น
 

                สิบนาฬิกา

                แปดชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

                บรรพตนั่งอยู่บนเตียงนอน ข้อศอกทั้งสองข้างวางอยู่บนหน้าขาของตนเอง มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน สายตามองนิ่งตรงไปด้านหน้าอย่างไร้จุดสนใจ สีหน้าท่าทางราวคนไร้ความรู้สึก

                วิภาดาและศักดาช่วยกันเก็บกวาดและล้างถ้วยชามหลังจัดการอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เป็นอาหารเช้าสุดวิเศษที่ให้มากกว่าความอิ่มท้อง จนต้องใช้เวลาไปกับอาหารมื้อนี้มากโขกว่าปกติ

                สมานสวมล็อกเก็ตไว้กับตัว เดินไปหยิบอาวุธมาวางเรียงกันตรงหน้า ทั้งมีดสั้น ปืนพก ลูกกระสุนปืน ตรวจสอบสภาพ ความพร้อม และจำนวนของลูกกระสุนที่มีอยู่ ก่อนจะเริ่มลับมีดและถอดชิ้นส่วนปืนพกเพื่อทำความสะอาด
 

                สิบสองนาฬิกา

                หกชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

                บรรพตนั่งอยู่บนเตียงนอนในท่าเดิม มองออกไปนอกหน้าต่าง โลกภายนอกสว่างจ้าจนต้องหยีตา ไอร้อนในช่วงเวลานี้แผ่ขยายเข้ามาจนถึงตัวแล้ว เหลียวมองนาฬิกาแขวนผนังเพื่อยืนยันเวลาอีกครั้งหนึ่ง

                ศักดากำลังถอดทำความสะอาดชิ้นส่วนรีวอลเวอร์ โคลท์ ไพธ่อน ปืนคู่ทุกข์คู่ยากเพียงกระบอกเดียวที่ได้รับจากคนสำคัญ คืนนี้จะเป็นอีกหนึ่งคืนที่เขาต้องฝากชีวิตและความหวังทั้งหมดไว้กับมัน วิภาดาเองก็กำลังตรวจสอบและทำความสะอาดชุดมีดซัดของตนเองอยู่ข้างกันกับชายคนรัก

                สมานประกอบปืน ทดลองเหนี่ยวไกสองสามครั้ง ฟังเสียงนกสับว่าลื่นไหลมีอะไรติดขัดหรือไม่ เก็บมีดสั้นเข้าฝัก ตรวจสอบจำนวนกระสุนปืนเพื่อยืนยันให้มั่นใจอีกครั้งหนึ่ง

                จังหวะการยิงปืน การใช้กระสุนปืน ล้วนต้องวางแผน เพราะมันมีผลต่อความอยู่รอดในการต่อสู้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะศึกหนักที่ความเป็นความตายเท่าๆ กันเป็นเดิมพันอย่างในคืนนี้ ยิ่งต้องระมัดระวังและละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ
 

                สิบสี่นาฬิกา

                สี่ชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

                บรรพตนั่งอยู่บนเตียงนอน มองรูปคู่ของเขาและเพียงพลอยในโทรศัพท์มือถือ แม้จะเคยถ่ายด้วยกันไว้หลายรูป แต่ก็มีเพียงไม่กี่รูปเท่านั้นที่คมชัดเพราะต้องถ่ายในเวลากลางคืน และก็มีเพียงรูปเดียวในไม่กี่รูปที่เด็กสาวยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ดูเหมือนว่าเธอจะแพ้กล้องถ่ายรูปจนออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

                นิ้วมือเลื่อนสไลด์บนหน้าจอโทรศัพท์ รูปที่บันทึกไว้ในนั้นเล่าเรื่องราวที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แม้จะเป็นเพียงเวลาไม่นานแต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก รอยยิ้มเจือจางปรากฏที่มุมปากของหมอหนุ่ม

                วิภาดาและศักดาทานอาหารง่ายๆ อีกมื้อหนึ่ง โดยครั้งนี้หญิงสาวเป็นคนแสดงฝีมือครัวเองบ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นายตำรวจได้ทานอาหารฝีมือหญิงคนรัก มันอร่อยกว่าที่เขาคิดไว้มากกระทั่งแสดงความแปลกใจออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนจนเธอถึงกับออกอาการงอน

                ทั้งคู่ใช้เวลาในช่วงนี้ปรึกษาและให้กำลังใจซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ ในสถานการณ์เหมือนตกเป็นรองทุกประตู อีกทั้งยังมองไม่เห็นทางชนะ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

                สมานวอร์มอัพร่างกายอีกครั้งเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานที่สุด อย่างน้อยให้เคลื่อนไหวไหลลื่นอย่างเต็มประสิทธิภาพ คล่องตัวขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี หลังจากนั้นจึงนั่งนิ่งๆ เพื่อทำสมาธิให้จิตใจสงบ และจดจ่อกับการต่อสู้ครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึง

                ในหัวสมองจินตนาการรูปแบบการต่อสู้หลายๆ รูปแบบไว้ ทั้งจังหวะรุกรับ จังหวะเหนี่ยวไกปืน การสู้กับคู่ต่อสู้ในความคิดก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนที่เขาทำมาตั้งแต่วัยหนุ่มเช่นกัน  เพราะมันจะทำให้ร่างกายปรับตัวเรียนรู้วิธีการตอบโต้และเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะรวดเร็วกว่าการเคลื่อนไหวโดยผ่านการคิดจากสมอง
 

                สิบหกนาฬิกา

                สองชั่วโมงก่อนเวลานัดหมาย

          บรรพตลุกจากเตียงนอน หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องในสมองจนละเลยที่จะใส่ใจกับการอาบน้ำแต่งตัวให้ดูเนี้ยบ เดินไปยังโต๊ะทำงานก่อนจะเปิดลิ้นชักออกมา สายตาจ้องมองสิ่งที่เก็บอยู่ในนั้น ความสับสนปรากฏขึ้นอีกครั้งในใจ สิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากคืนนี้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

                วิภาดาสวมชุดสำหรับต่อสู้ เป็นชุดสีดำแนบเนื้อรัดรูป เนื้อผ้าเบาคล่องตัว และมีช่องสำหรับเก็บมีดซัดเต็มไปหมด แล้วจึงสวมชุดไปรเวททับอีกชั้นหนึ่ง ศักดาคาดเข็มขัดซองปืนและสวมเชื้อแจ็คเก็ตทับไว้เช่นเดียวกัน

                ทั้งคู่จ้องตาและจับมือซึ่งกันและกันไว้เนิ่นนานราวกับว่านี่จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายแล้วที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขแบบนี้

                สมานตรวจสอบอาวุธทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนจะคาดทุกชิ้นไว้กับตัว เขาหยิบกล่องเหล็กใบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากกล่องเหล็กใบเดิม เปิดกล่องเหล็กใบเล็กนั้นออกมาตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในก่อนจะปิดฝามันกลับไว้อย่างเก่า
 

                สิบแปดนาฬิกา

                เวลานัดหมาย

                ศักดาและวิภาดามาพร้อมหน้ากันอยู่ในบ้านของสมานซึ่งรอคอยเวลานี้อยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก

                “สรุปว่าหมอบรรพตไม่มาสินะคะ”

                ไร้เงาหมอหนุ่มจริงอย่างว่า เขาไม่ได้มาตามที่เคยคุยกันไว้ สำหรับศักดาแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดคาดอะไรมากนัก แม้ว่าในใจนายตำรวจเองยังแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าหมอหนุ่มอาจจะมาเพราะความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อเพียงพลอย แต่การที่เขาไม่มาถือเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเป็น เพราะอย่างน้อยเขาเองก็จะปลอดภัยและไม่เป็นตัวถ่วงคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ตอนนี้

                นายตำรวจหันไปมองสมาน สีหน้าของผู้เฒ่ากลับเรียบเฉยไม่แสดงอาการยินดียินร้ายอะไรเลย หรือเป็นเพราะชายชราเองก็รู้สึกผิดหวังที่อดีตนายแพทย์ไม่ปรากฏตัวรวมทีมด้วย จนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรกันแน่

          “เอาเถอะ ถึงตอนนี้แล้วก็คิดเสียว่ามีสามคนก็ยังดีกว่ามีตัวถ่วงเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็แล้วกัน”ศักดาตัดบทเพื่อรักษาบรรยากาศไว้เพราะรู้ดีว่าการที่ใครสักคนไม่มา แม้ว่าคนๆ นั้นจะดูไร้ประโยชน์ขนาดไหนก็ตาม มันก็มักจะมีผลต่อความรู้สึกของสมาชิกโดยรวมอยู่ดี

          “นั่นสิคะ เรามาว่าเรื่องของพวกเราต่อจากนี้กันดีกว่า เราจะเดินเกมยังไง หรือใครพอจะมีความคิดดีๆ อะไรบ้างมั้ย เพราะขืนพวกเราเดินดุ่มๆ เข้าไปหามันแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับกำลังเดินเข้าไปสู่เงื้อมมือมัจจุราช”

                วิภาดาเสริม ชายคนรักพยักหน้าเห็นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ยังนึกอะไรไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ดีขึ้นได้

          “เอาละ ก่อนอื่นผมคงต้องขอบคุณพวกคุณทั้งสองคนมาก ที่ยินดีมาช่วยลูกสาวของผมในคืนนี้ ส่วนหมอบรรพต ผมเคยไปหาเขาที่บ้าน ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง และผมจะยอมรับสิ่งที่เขาตัดสินใจทุกอย่าง”

                ชายชราเริ่มปริปากพูด เขากล่าวขอบคุณผู้ที่มาและอ้างไปถึงบุคคลที่ไม่มาในคืนนี้

          “และเขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้น ผมก็จะรักษาคำพูดโดยยอมรับสิ่งนั้น”

                ถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อยราวยอมรับกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ศักดาที่กำลังลอบสังเกตอาการของชายชราอยู่กลับรู้สึกว่าเขาอ่านความในใจผู้เฒ่าคนนี้ไม่ออก เขากำลังผิดหวัง กำลังเสียใจ กำลังโกรธ หรือว่าเขากำลังยอมรับสิ่งที่หมอหนุ่มตัดสินใจจริงๆ กันแน่

          “เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมขออธิบายตรงๆ ชัดๆ เลยก็แล้วกัน อสุรกายอมตะหรือเหม่ยจูนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเซลล์มหัศจรรย์และเซลล์แวมไพร์อย่างที่รู้กันอยู่แล้ว”

          “แล้วยังไงคะ”

                วิภาดาถามแทรกในระหว่างที่สมานกำลังเล่าด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจึงย้อนกลับมาเล่าเรื่องนี้อีก กลุ่มสนทนากลับมาให้ความสนใจกับเรื่องที่เป็นประเด็นหลักในคืนนี้อีกครั้ง

          “ที่ผมต้องย้ำเรื่องนี้ เพราะมันค่อนข้างสำคัญน่ะ ต่อจากนี้ผมจะต้องอธิบายเกี่ยวกับความสมดุลของเซลล์มหัศจรรย์และเซลล์แวมไพร์ โดยแบ่งออกเป็นสามกรณีด้วยกัน”

                สมานเน้นเสียงเข้ม โดยที่อีกสองคนใจจดใจจ่อรอฟังอยู่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด แต่ศักดาคิดว่าชายชราต้องมีเหตุผลสำคัญกับการเล่าเรื่องนี้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเป็นแน่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่