บทนำ
https://ppantip.com/topic/39789680
บทที่1
https://ppantip.com/topic/39803591
บทที่2
https://ppantip.com/topic/39812186
บทที่3
https://ppantip.com/topic/39828482
บทที่4
https://ppantip.com/topic/39843959
บทที่5
https://ppantip.com/topic/39874942
บทที่6
https://ppantip.com/topic/39892609
บทที่7
https://ppantip.com/topic/39908683
ญารินหอบดอกไม้สดหลากสีสันนำมายื่นให้แอคเนสที่ยังทำหน้าตูมไม่เลิก นอกจากนั้น เธอยังทำมงกุฎดอกไม้สวมลงบนศีรษะของเพื่อนรุ่นพี่ด้วย..คราวนี้ เรียกรอยยิ้มพร่างพราวบนใบหน้าของแอคเนสได้ทันตา
“เจ้าเอาดอกไม้มาให้ข้าทำไม”
“ก็เมื่อวานพี่ยังไม่ได้บูชาเทพโปเซดอนไม่ใช่เหรอ แล้วดอกไม้มันก็เหี่ยวแห้งหมดแล้ว..วันนี้ ฉันเลยไปเก็บดอกไม้มาให้ใหม่ เราจะได้ไปที่วิหารกันไง”
“ฮึ! เจ้านี่มันช่างประจบประแจงเสียจริงนะ”
“น่า..ยกโทษให้ยูริสักครั้งเถอะนะ”
แอคเนสเห็นอีกฝ่ายออดอ้อนตาใส ก็ใจอ่อนยวบ ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ
“งั้นก็ตามมา”
ญารินยิ้มกริ่ม รีบก้าวตามไปยังวิหารริมทะเล
อันทาเออัส ยืนอยู่บนระเบียงห้องนอน ร่างสูงใหญ่ของกียืนอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงเล็กน้อย..ทั้งสองกำลังมองสองสาวที่กำลังผ่านทหารยามเฝ้าประตูหลังปราสาท เดินตรงไปยังวิหารเทพโปเซดอน
“ดูท่าทางสองคนนั่นจะสนิทสนมกันมากนะ” อันทาเออัสเอ่ยเสียงเรียบ
“แอคเนสเป็นคนดูแลนางตั้งแต่ต้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะเห็นพวกนางไปไหนมาไหนด้วยกัน”
“แล้วท่านได้ความคืบหน้าอะไรจากหญิงบาร์บาเรียนผู้นั้นบ้างเล่า”
กีส่ายหน้า “ข้ายังไม่มีเวลาว่างไปถามนางเลย”
อันทาเออัสหันมานิ่วหน้าดั่งต้องการเหตุผลมากกว่านี้
กีแค่นหัวเราะในลำคอ
“ก็ข้าเห็นท่านไม่ใคร่ใส่ใจนัก ว่านางจะเป็นคนของกษัตริย์แอนโดรจีอัสหรือไม่..ข้าก็เลยไปทำเรื่องอื่นที่มันสำคัญกว่าน่ะสิ”
“การเกี้ยวพาหญิงชาวบ้านนั่นน่ะเรอะ คือเรื่องสำคัญ”
กีอึกอัก “ท่านก็พูดเกินจริงไปหน่อย..การที่ข้า เอิ่ม..เข้าไปในหมู่บ้านนั้น จุดมุ่งหมายก็คือสืบความเคลื่อนไหวของกษัตริย์แอนโดรจีอัสต่างหากเล่า”
อันทาเออัสปรายสายตามอง แล้วยิ้มเยาะ
“ในเมื่อท่านธุระยุ่งเช่นนี้..เห็นที ข้าคงต้องเค้นคอนาง เพื่อถามความจริงด้วยตัวเองสินะ”
“หือ..ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น..ข้าดูแล้ว นางไม่ใช่คนที่จะมีลับลมคมนัยอะไรหรอก แค่ถามนางอย่างคนปกติเขาถามกันก็พอแล้ว..เหมือนว่า..พูดคุยอย่างเพื่อนน่ะ”
“ข้าไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน..แค่มีท่านคนเดียว ก็วุ่นวายพอแล้ว”
คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง “นี่ท่านเห็นข้าเป็นเช่นนั้นเรอะ”
“ท่านก็คิดเอาเองสิ” อันทาเออัสแค่นยิ้ม “หากนางกลับมาแล้ว ให้มาหาข้าด้วยนะ” แล้วหันเดินเข้าห้อง ไม่สนใจจะต่อความกับกับชายร่างใหญ่ที่ยืนเท้าเอว คิดหาประโยคมาเชือดเฉือนเขาไม่ออก
“หูยว์”
ญารินกวาดสายตามองความโอ่อ่าภายในของวิหารอย่างตื่นตาตื่นใจ ชื่นชมกับความสวยงามสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ซากปรักหักพังที่เคยเห็นในยุคของเธอ
และมองไปยังหินสลักขนาดใหญ่ตัวแทนของเทพโปเซดอน ซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ ผมยาวมีหนวดเครายาว ถือตรีศูล นั่งบนบังลังก์ดูน่าเกรงขาม..ทว่า ในความรู้สึกส่วนลึก เธอกลับหวนนึกถึงชายชราที่ให้ผลแอปเปิ้ลและพาออกมาจากเขาวงกต
จึงหันไปพูดกับแอคเนสที่สวดบูชาเสร็จสิ้นแล้ว
“คุณตาที่เจอวันนั้นน่ะ ดูๆไปก็เหมือนเทพโปเซดอนเหมือนกันนะพี่”
“เดี๋ยวเถอะ..ไยเจ้าถึงชอบพูดจาเหลวไหลนัก”แอคเนสหันมาดุ แต่ก็ไม่จริงจังนัก เพราะคิดว่าหญิงสาวมาจากชนเผ่า ที่ไร้อารยธรรม จึงไม่ค่อยประสีประสาสักเท่าไหร่
ญารินยิ้มแห้ง
“ฉันขอโทษ..อ้อ พี่แอคเนส..คือ ที่นี่มีพวก นักบวช พวกพ่อมดแม่มด ผู้วิเศษ หรือใครก็ได้ที่สามารถเปิดประตูข้ามมิติ อะไรพวกนี้บ้างไหม” หญิงสาวพยายามนึกถึงตัวละครที่เคยกล่าวถึงในเทพปกรณัม
“เจ้าพูดถึงอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจสักคำ..อะไรคือประตูข้ามมิติ”
“เอ่อ..คือ หมายถึง ที่ที่ฉันจากมามันไกลมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าหลงเข้ามาที่เมืองนี้ได้อย่างไร..ฉันก็แค่หวังว่าจะมีผู้วิเศษสามารถพากลับบ้านได้น่ะค่ะ..ป่านนี้ พ่อ-แม่ แล้วก็พี่ชายของฉันคงกำลังเป็นห่วงมากแน่ๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยตอบ เจือด้วยความโหยหา..แอคเนสเห็นใบหน้าเศร้าหมองของคนพูดก็รู้สึกสงสาร จึงลูบต้นแขนอย่างปลอบประโลม
“ผู้ที่มีพลังวิเศษอย่างที่เจ้าต้องการน่ะ มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถดลบันดาลได้..หากเจ้าอยากกลับบ้าน เจ้าก็ลองสวดขอพรจากพระองค์สิ”
แล้วก็จับร่างของญารินให้หันกลับไปคุกเข่าลงต่อหน้าเทวรูป และยอบตัวลงคุกเข่าเคียงข้าง
“เจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระองค์สิ..” แอคเนสบอก ก่อนจะเริ่มยกสองมือประสาน ก้มหน้าขอพร “ข้าแต่พระองค์ เทพโปเซดอนผู้ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา..โปรดประทานพรชี้นำแสงสว่างสู่หนทางกลับบ้านแก่นางผู้หลงทาง คนนี้..ขอพลังของพระองค์โปรดช่วยปกปักษ์รักษานางให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งมวล”
ญารินมองแอคเนสที่อธิษฐานเพื่อเธออย่างซึ้งในน้ำใจ หญิงสาวตั้งจิตอธิษฐานตาม
“ข้าแต่พระองค์ เทพโปเซดอนผู้ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา..ขอพลังอำนาจของพระองค์ โปรดนำลูกช้างกลับบ้านด้วยเถอะนะคะ”
แอคเนสหันมายิ้มกับคำกล่าวอธิษฐานของเธอ แล้วก็พากันลุกขึ้น เดินออกจากวิหาร
“ข้าเชื่อว่า การมาอย่างแปลกประหลาดของเจ้า จะต้องเป็นความประสงค์ขององค์เทพเป็นแน่..และข้าก็เชื่อว่า สักวัน..เจ้าต้องได้กลับบ้าน”
ญารินยิ้มอย่างมีหวัง น้ำตาคลอสองหน่วยจากความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัวปนเปไปหมด อีกทั้งยังมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิตประจำวันนับจากนี้ นอกจากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพียงเพื่อรอปาฎิหาริย์มาพาเธอกลับบ้านเสียที..และหันไปกอดแอคเนสแน่น
“ขอบคุณนะพี่..โชคดีจริงๆที่มีพี่อยู่ด้วย”
“นี่เจ้า มากอดข้าทำไม”
แอคเนสตกใจจากการที่จู่ๆก็ถูกสวมกอด พยายามเบี่ยงตัวหนีเป็นพัลวัน
“อะไรเล่า..ขอกอดหน่อยก็ไม่ได้..ขี้งกชะมัด” ญารินกระเง้ากระงอด และสังเกตเห็นว่า ใบหน้าแอคเนสแดงจัด
“คนในชนเผ่าของเจ้า ชอบกอดกันเช่นนี้เรอะ”
“ใช่แล้วล่ะ ชอบกอด ชอบหอม เป็นการแสดงความรักกันค่ะ..ตอนอยู่บ้าน ฉันกอดพ่อกับแม่เป็นประจำเกือบทุกวัน หรือแม้แต่เพื่อนผู้หญิง เราก็กอดกันบ่อย เดินควงแขนกันเวลาชอปปิ้งด้วยค่ะ”
แอคเนสหน้าแหย ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
“นับว่าชีวิตของเจ้าก็ดีนะที่มีครอบครัว”
ญารินชะงัก..เริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีกับน้ำเสียงขื่นขมของอีกฝ่าย
“..แล้วพี่..”
ความเศร้าวูบไหวในแววตา พลางถอนใจเฮือก เอ่ยปากเล่าภูมิหลังของตน
“ข้าเป็นเด็กกำพร้า ถูกแม่บุญธรรมเก็บมาเลี้ยงหวังจะเอาไว้ใช้ประโยชน์ในวันหน้า จนข้าอายุ ราวๆ12ปี แม้กษัตริย์ไมนอสจะอายุมากแล้ว แต่ก็คลั่งไคล้การทำสงครามไม่หยุดหย่อน ได้เกณฑ์ผู้ชาย และพวกเด็กหนุ่มไปเป็นทหาร เหลือแต่ผู้หญิง เด็กและคนแก่ แล้วปีนั้นมีแต่ภัยแล้ง พืชผลไม่สามารถเติบโตได้ แม่บุญธรรมจึงพาข้าออกเร่ขายไปตามถนน..”
ญารินนิ่งขึง ความสงสาร และเวทนาในชะตากรรมของอีกฝ่าย แล่นวาบเข้าจับขั้วหัวใจ เหลียวมองใบหน้าของแอคเนส
“ในตอนนั้น ข้าได้แต่ร้องไห้ทั้งหวาดกลัว และสิ้นหวังในชะตากรรม ที่คงไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ” ภาพความเลวร้ายที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางทหารกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากหลังม้าพากันยืนล้อมรอบมองเธออย่างหื่นกระหาย พวกมันหัวเราะชอบใจยามฝ่ามือหยาบกร้านช่วยกันดึงทึ้งเสื้อผ้าของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงกรีดร้องของเธอไม่ได้รับความสนใจมากไปกว่าการเรียกเงินจากคนเหล่านั้นของแม่บุญธรรม
“แต่ก่อนที่ข้าจะตกนรกทั้งเป็น นายท่านทั้งสองกลับจากสงครามพอดี จึงซื้อตัวข้ามาเป็นทาส ให้ทำงานอยู่ที่นี่..จนถึงทุกวันนี้ล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของแอคเนส ราวกับพอใจแล้วสำหรับชีวิตที่เป็นอยู่..
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #8#
บทที่1 https://ppantip.com/topic/39803591
บทที่2 https://ppantip.com/topic/39812186
บทที่3 https://ppantip.com/topic/39828482
บทที่4 https://ppantip.com/topic/39843959
บทที่5 https://ppantip.com/topic/39874942
บทที่6 https://ppantip.com/topic/39892609
บทที่7 https://ppantip.com/topic/39908683
ญารินหอบดอกไม้สดหลากสีสันนำมายื่นให้แอคเนสที่ยังทำหน้าตูมไม่เลิก นอกจากนั้น เธอยังทำมงกุฎดอกไม้สวมลงบนศีรษะของเพื่อนรุ่นพี่ด้วย..คราวนี้ เรียกรอยยิ้มพร่างพราวบนใบหน้าของแอคเนสได้ทันตา
“เจ้าเอาดอกไม้มาให้ข้าทำไม”
“ก็เมื่อวานพี่ยังไม่ได้บูชาเทพโปเซดอนไม่ใช่เหรอ แล้วดอกไม้มันก็เหี่ยวแห้งหมดแล้ว..วันนี้ ฉันเลยไปเก็บดอกไม้มาให้ใหม่ เราจะได้ไปที่วิหารกันไง”
“ฮึ! เจ้านี่มันช่างประจบประแจงเสียจริงนะ”
“น่า..ยกโทษให้ยูริสักครั้งเถอะนะ”
แอคเนสเห็นอีกฝ่ายออดอ้อนตาใส ก็ใจอ่อนยวบ ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ
“งั้นก็ตามมา”
ญารินยิ้มกริ่ม รีบก้าวตามไปยังวิหารริมทะเล
อันทาเออัส ยืนอยู่บนระเบียงห้องนอน ร่างสูงใหญ่ของกียืนอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงเล็กน้อย..ทั้งสองกำลังมองสองสาวที่กำลังผ่านทหารยามเฝ้าประตูหลังปราสาท เดินตรงไปยังวิหารเทพโปเซดอน
“ดูท่าทางสองคนนั่นจะสนิทสนมกันมากนะ” อันทาเออัสเอ่ยเสียงเรียบ
“แอคเนสเป็นคนดูแลนางตั้งแต่ต้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะเห็นพวกนางไปไหนมาไหนด้วยกัน”
“แล้วท่านได้ความคืบหน้าอะไรจากหญิงบาร์บาเรียนผู้นั้นบ้างเล่า”
กีส่ายหน้า “ข้ายังไม่มีเวลาว่างไปถามนางเลย”
อันทาเออัสหันมานิ่วหน้าดั่งต้องการเหตุผลมากกว่านี้
กีแค่นหัวเราะในลำคอ
“ก็ข้าเห็นท่านไม่ใคร่ใส่ใจนัก ว่านางจะเป็นคนของกษัตริย์แอนโดรจีอัสหรือไม่..ข้าก็เลยไปทำเรื่องอื่นที่มันสำคัญกว่าน่ะสิ”
“การเกี้ยวพาหญิงชาวบ้านนั่นน่ะเรอะ คือเรื่องสำคัญ”
กีอึกอัก “ท่านก็พูดเกินจริงไปหน่อย..การที่ข้า เอิ่ม..เข้าไปในหมู่บ้านนั้น จุดมุ่งหมายก็คือสืบความเคลื่อนไหวของกษัตริย์แอนโดรจีอัสต่างหากเล่า”
อันทาเออัสปรายสายตามอง แล้วยิ้มเยาะ
“ในเมื่อท่านธุระยุ่งเช่นนี้..เห็นที ข้าคงต้องเค้นคอนาง เพื่อถามความจริงด้วยตัวเองสินะ”
“หือ..ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น..ข้าดูแล้ว นางไม่ใช่คนที่จะมีลับลมคมนัยอะไรหรอก แค่ถามนางอย่างคนปกติเขาถามกันก็พอแล้ว..เหมือนว่า..พูดคุยอย่างเพื่อนน่ะ”
“ข้าไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน..แค่มีท่านคนเดียว ก็วุ่นวายพอแล้ว”
คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง “นี่ท่านเห็นข้าเป็นเช่นนั้นเรอะ”
“ท่านก็คิดเอาเองสิ” อันทาเออัสแค่นยิ้ม “หากนางกลับมาแล้ว ให้มาหาข้าด้วยนะ” แล้วหันเดินเข้าห้อง ไม่สนใจจะต่อความกับกับชายร่างใหญ่ที่ยืนเท้าเอว คิดหาประโยคมาเชือดเฉือนเขาไม่ออก
“หูยว์”
ญารินกวาดสายตามองความโอ่อ่าภายในของวิหารอย่างตื่นตาตื่นใจ ชื่นชมกับความสวยงามสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ซากปรักหักพังที่เคยเห็นในยุคของเธอ
และมองไปยังหินสลักขนาดใหญ่ตัวแทนของเทพโปเซดอน ซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ ผมยาวมีหนวดเครายาว ถือตรีศูล นั่งบนบังลังก์ดูน่าเกรงขาม..ทว่า ในความรู้สึกส่วนลึก เธอกลับหวนนึกถึงชายชราที่ให้ผลแอปเปิ้ลและพาออกมาจากเขาวงกต
จึงหันไปพูดกับแอคเนสที่สวดบูชาเสร็จสิ้นแล้ว
“คุณตาที่เจอวันนั้นน่ะ ดูๆไปก็เหมือนเทพโปเซดอนเหมือนกันนะพี่”
“เดี๋ยวเถอะ..ไยเจ้าถึงชอบพูดจาเหลวไหลนัก”แอคเนสหันมาดุ แต่ก็ไม่จริงจังนัก เพราะคิดว่าหญิงสาวมาจากชนเผ่า ที่ไร้อารยธรรม จึงไม่ค่อยประสีประสาสักเท่าไหร่
ญารินยิ้มแห้ง
“ฉันขอโทษ..อ้อ พี่แอคเนส..คือ ที่นี่มีพวก นักบวช พวกพ่อมดแม่มด ผู้วิเศษ หรือใครก็ได้ที่สามารถเปิดประตูข้ามมิติ อะไรพวกนี้บ้างไหม” หญิงสาวพยายามนึกถึงตัวละครที่เคยกล่าวถึงในเทพปกรณัม
“เจ้าพูดถึงอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจสักคำ..อะไรคือประตูข้ามมิติ”
“เอ่อ..คือ หมายถึง ที่ที่ฉันจากมามันไกลมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าหลงเข้ามาที่เมืองนี้ได้อย่างไร..ฉันก็แค่หวังว่าจะมีผู้วิเศษสามารถพากลับบ้านได้น่ะค่ะ..ป่านนี้ พ่อ-แม่ แล้วก็พี่ชายของฉันคงกำลังเป็นห่วงมากแน่ๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยตอบ เจือด้วยความโหยหา..แอคเนสเห็นใบหน้าเศร้าหมองของคนพูดก็รู้สึกสงสาร จึงลูบต้นแขนอย่างปลอบประโลม
“ผู้ที่มีพลังวิเศษอย่างที่เจ้าต้องการน่ะ มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถดลบันดาลได้..หากเจ้าอยากกลับบ้าน เจ้าก็ลองสวดขอพรจากพระองค์สิ”
แล้วก็จับร่างของญารินให้หันกลับไปคุกเข่าลงต่อหน้าเทวรูป และยอบตัวลงคุกเข่าเคียงข้าง
“เจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระองค์สิ..” แอคเนสบอก ก่อนจะเริ่มยกสองมือประสาน ก้มหน้าขอพร “ข้าแต่พระองค์ เทพโปเซดอนผู้ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา..โปรดประทานพรชี้นำแสงสว่างสู่หนทางกลับบ้านแก่นางผู้หลงทาง คนนี้..ขอพลังของพระองค์โปรดช่วยปกปักษ์รักษานางให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งมวล”
ญารินมองแอคเนสที่อธิษฐานเพื่อเธออย่างซึ้งในน้ำใจ หญิงสาวตั้งจิตอธิษฐานตาม
“ข้าแต่พระองค์ เทพโปเซดอนผู้ยิ่งใหญ่ และเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา..ขอพลังอำนาจของพระองค์ โปรดนำลูกช้างกลับบ้านด้วยเถอะนะคะ”
แอคเนสหันมายิ้มกับคำกล่าวอธิษฐานของเธอ แล้วก็พากันลุกขึ้น เดินออกจากวิหาร
“ข้าเชื่อว่า การมาอย่างแปลกประหลาดของเจ้า จะต้องเป็นความประสงค์ขององค์เทพเป็นแน่..และข้าก็เชื่อว่า สักวัน..เจ้าต้องได้กลับบ้าน”
ญารินยิ้มอย่างมีหวัง น้ำตาคลอสองหน่วยจากความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัวปนเปไปหมด อีกทั้งยังมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิตประจำวันนับจากนี้ นอกจากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพียงเพื่อรอปาฎิหาริย์มาพาเธอกลับบ้านเสียที..และหันไปกอดแอคเนสแน่น
“ขอบคุณนะพี่..โชคดีจริงๆที่มีพี่อยู่ด้วย”
“นี่เจ้า มากอดข้าทำไม”
แอคเนสตกใจจากการที่จู่ๆก็ถูกสวมกอด พยายามเบี่ยงตัวหนีเป็นพัลวัน
“อะไรเล่า..ขอกอดหน่อยก็ไม่ได้..ขี้งกชะมัด” ญารินกระเง้ากระงอด และสังเกตเห็นว่า ใบหน้าแอคเนสแดงจัด
“คนในชนเผ่าของเจ้า ชอบกอดกันเช่นนี้เรอะ”
“ใช่แล้วล่ะ ชอบกอด ชอบหอม เป็นการแสดงความรักกันค่ะ..ตอนอยู่บ้าน ฉันกอดพ่อกับแม่เป็นประจำเกือบทุกวัน หรือแม้แต่เพื่อนผู้หญิง เราก็กอดกันบ่อย เดินควงแขนกันเวลาชอปปิ้งด้วยค่ะ”
แอคเนสหน้าแหย ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
“นับว่าชีวิตของเจ้าก็ดีนะที่มีครอบครัว”
ญารินชะงัก..เริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีกับน้ำเสียงขื่นขมของอีกฝ่าย
“..แล้วพี่..”
ความเศร้าวูบไหวในแววตา พลางถอนใจเฮือก เอ่ยปากเล่าภูมิหลังของตน
“ข้าเป็นเด็กกำพร้า ถูกแม่บุญธรรมเก็บมาเลี้ยงหวังจะเอาไว้ใช้ประโยชน์ในวันหน้า จนข้าอายุ ราวๆ12ปี แม้กษัตริย์ไมนอสจะอายุมากแล้ว แต่ก็คลั่งไคล้การทำสงครามไม่หยุดหย่อน ได้เกณฑ์ผู้ชาย และพวกเด็กหนุ่มไปเป็นทหาร เหลือแต่ผู้หญิง เด็กและคนแก่ แล้วปีนั้นมีแต่ภัยแล้ง พืชผลไม่สามารถเติบโตได้ แม่บุญธรรมจึงพาข้าออกเร่ขายไปตามถนน..”
ญารินนิ่งขึง ความสงสาร และเวทนาในชะตากรรมของอีกฝ่าย แล่นวาบเข้าจับขั้วหัวใจ เหลียวมองใบหน้าของแอคเนส
“ในตอนนั้น ข้าได้แต่ร้องไห้ทั้งหวาดกลัว และสิ้นหวังในชะตากรรม ที่คงไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ” ภาพความเลวร้ายที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางทหารกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากหลังม้าพากันยืนล้อมรอบมองเธออย่างหื่นกระหาย พวกมันหัวเราะชอบใจยามฝ่ามือหยาบกร้านช่วยกันดึงทึ้งเสื้อผ้าของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงกรีดร้องของเธอไม่ได้รับความสนใจมากไปกว่าการเรียกเงินจากคนเหล่านั้นของแม่บุญธรรม
“แต่ก่อนที่ข้าจะตกนรกทั้งเป็น นายท่านทั้งสองกลับจากสงครามพอดี จึงซื้อตัวข้ามาเป็นทาส ให้ทำงานอยู่ที่นี่..จนถึงทุกวันนี้ล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของแอคเนส ราวกับพอใจแล้วสำหรับชีวิตที่เป็นอยู่..
(ต่อค่ะ)