ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #5#

กระทู้สนทนา
บทนำ  https://ppantip.com/topic/39789680
บทที่1 https://ppantip.com/topic/39803591
บทที่2 https://ppantip.com/topic/39812186
บทที่3 https://ppantip.com/topic/39828482
บทที่4 https://ppantip.com/topic/39843959

ญารินหวีดร้อง หวาดกลัวแทบสิ้นสติ เมื่อร่างถูกดันสู่ความเวิ้งว้าง สองมือโหนตัวเกาะเกี่ยวแน่นกับลำแขนแกร่งที่ยังคงบีบคอของเธอค้างไว้ ด้วยมือเพียงข้างเดียว ราวกับเธอไร้น้ำหนัก !

“ฉันไปทำอะไรให้ คุณถึงอยากฆ่าฉันแบบนี้..ได้โปรดเถอะ..ฉันกลัวแล้ว..อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
ญารินอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง เมื่อเรี่ยวแรงที่มีกำลังหมดลง..ภายในใจประหวั่นพรั่นพรึงคิดถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสอง พี่ชาย และบรรดาเพื่อนสนิท ที่ในชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้กลับไปหาคนเหล่านั้นแล้ว

อันทาเออัสมองลึกเข้าไปในดวงตาเจิ่งนอง เต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงสะอื้นอ้อนวอนที่แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สามารถเขย่าความรู้สึกในใจเขาไหวอ่อนยวบจนไม่อาจสะบัดมือให้ผู้ที่กำลังพยายามเกาะเกี่ยวหลุดร่วงลงไป และก่อนที่สองมืออันแสนอ่อนเปลี้ยจะเลื่อนหลุด เขารีบคว้าข้อมือเล็กนั้นไว้ หิ้วร่างของเธอกลับมาปล่อยลงบนพื้นระเบียง

ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นอันเย็นเฉียบ ญารินทรุดฮวบราวร่างกายไร้กระดูก..กล้ามเนื้อทุกส่วนยังสั่นระริกไม่มีทีท่าจะหยุด ความหวาดผวากระโจนแล่นพล่านไปตามกระแสเลือด ประสาทสัมผัสอื้ออึงจนพูดอะไรไม่ออก จะมีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่มันทะลักทลายราวสายน้ำ

ชายหนุ่มยืนมองลาดไหล่ละมุน ตลอดจนแผ่นหลังเล็กบอบบางกำลังสั่นเกร็งด้วยความกลัว  แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหันเดินกลับเข้าห้อง

ญารินผวาเฮือก ยามเมื่อร่างเขาเดินผ่านไป สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมองตามจนแน่ใจว่า ปิศาจตนนั้นจากไปแล้ว จึงเหลียวมองรอบกายที่มีแต่ความเวิ้งว้างดำมืด ขดร่างซุกซบกับเข่าตนเอง..ภายในหัวเต็มไปด้วยความสับสน มึนงง
นี่เธออยู่ในนรกขุมไหนกัน !?
 
 อันทาเออัสยกมือขึ้นทาบอกด้านซ้าย สัมผัสกับความรู้สึกประหลาด ที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ ว่ามันคืออะไร..สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเสมือนปิศาจไร้ใจ สามารถเข่นฆ่าหรือทำลายทุกสิ่งได้อย่างไม่ลังเล ทว่า..ในค่ำคืนนี้ กลับหวั่นไหวกับคำอ้อนวอนและหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หวาดกลัว

เหตุใด..ค่ำคืนนี้ เขาถึงได้กลายเป็นคนอ่อนแอถึงเพียงนี้ !?

ชายหนุ่มยังคงครุ่นคิด จวบจนลำแสงสีทองทอดผ่านเข้ามา จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หญิงสาวแปลกหน้ายังไม่ได้เดินเข้ามา จึงลุกขึ้นเดินออกไปดูที่ระเบียง เห็นร่างเล็กๆนอนขดตัวบนพื้นหินเย็นเฉียบภายใต้แสงแรกของวัน

“เจ้าจะนอนตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”

เขาเอ่ยถามจากด้านหลัง แต่ร่างนั้นยังนอนนิ่ง ไม่ไหวติง..อันทาเออัสยอบตัวลง ยื่นมือไปจับบริเวณต้นแขนอันอ่อนนุ่ม จึงสัมผัสความร้อนผ่าวราวไฟรุม

กีได้รับรายงานจากทหารยาม ว่าหญิงสาวแปลกหน้าได้หลบหนีไปแล้ว แต่ด้วยความกลัวอันทาเออัส ทหารยามไม่กล้าไปรายงานโดยตรง จึงเลือกที่จะมารายงานเขาแทน..ชายหนุ่มจึงเดินนำทหารสองนายเปิดประตูห้องนอนของอันทาเออัสเข้าไป พลัน  ชะงักเท้า กับภาพเจ้าของปราสาทกำลังอุ้มหญิงสาวเดินเข้ามาจากระเบียง

“เอ้า ! ที่แท้นางมาหลับอยู่กับท่านเรอะ”

อันทาเออัสไม่ได้ตอบ แต่ส่งต่อร่างในอ้อมแขนให้กีรับไปแทน “ดูเหมือนนางจะไม่สบาย ท่านจัดการพาหมอมาดูหน่อยก็แล้วกัน”
“หือ !?” 

แม้จะงุนงง แต่กีก็รับร่างอันร้อนผ่าวอ่อนปวกเปียกมาไว้ในอ้อมแขน พลางมองตามร่างของอันทาเออัสที่เดินกลับไปนั่งบนเตียง “ข้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร มาจากไหน..ท่านจัดการให้ข้าด้วย แล้วอย่าให้นางหนีไปไหนได้อีก ไม่เช่นนั้น ข้าจะตัดหัวลูกน้องของท่านวันละคน”

“เฮ้ !?” กีอ้าปากหมายคัดค้าน ในขณะทหารยามทั้งสองนายรีบคุกเข่าด้วยความกลัว

“ขอพระองค์โปรดประทานอภัย..ต่อไป พวกกระหม่อมจะเฝ้านางไม่ให้คลาดสายตาเลยพะย่ะค่ะ” จากนั้นทั้งสองก็รีบลุกขึ้น พากันเร่งรีบออกไปจากห้อง 

กีหันกลับมามองเจ้าของปราสาท แล้วก็ถอนหายใจ เมื่อร่างนั้นทอดตัวลงนอนหลับตา ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว จึงอุ้มหญิงสาวแปลกหน้ากลับห้องเดิม และตามหมอจากหมู่บ้านมาทำการรักษา

กีรออยู่หน้าห้อง โดยมีทหารสองนายยืนเฝ้าหน้าประตู..และเมื่อนายแพทย์ชราเดินออกมา ก็รายงานอาการของคนไข้ให้ได้ฟังทันที

“หญิงผู้นี้มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง แล้วนอนตากลมบนพื้นเย็นๆเช่นนั้น ย่อมไม่สบายเป็นธรรมดา..แต่ที่ทำให้มีอาการหนัก ดูเหมือนนางคงตกใจกลัวอะไรสักอย่างจนทำให้สติเลื่อนลอย..หากท่านอยากให้นางหายในเร็ววัน คงต้องเชิญนักบวชมาทำพิธีเรียกขวัญให้นางนะ”

กีนึกหยันในใจ...หากหญิงใดประสบความน่าสะพรึงกลัวของอันทาเออัสเข้าไป..ต่อให้สิบนักบวชก็คงช่วยอะไรไม่ได้

กลางดึก..

อันทาเออัสยืนรับลมบนระเบียง ร่างสูงเพรียวในชุดทูนิคสีดำยาวกรอมเท้า ผ้าคลุมโปร่งเบาบางโทนสีเดียวกันสะบัดพลิ้วไสวตามสายลมโชยเอื่อยเย็นสบาย ทว่า เหตุใดจิตใจเขาถึงร้อนรุ่มกระสับกระส่าย เมื่อจิตสำนึกวนเวียนแต่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืน ระหว่างเขากับหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆทิ่มแทงให้รู้สึกเจ็บๆคันๆกับคำปรามาส ว่าเขารังแกสตรีผู้อ่อนแอ ไร้หนทางต่อสู้ 

และเป็นความผิดที่เขาต้องรับผิดชอบ !

ในเมื่อไม่สามารถสลัดความรู้สึกผิดนี้ออกไปได้ ก็คงต้องไปดูอาการของตัวต้นเหตุเสียหน่อย

ทหารยามสองนาย เห็นผู้เป็นนายมาก็ลนลานรายงานทันที
“ตอนนี้นางยังหลับอยู่พะย่ะค่ะ..พวกกระหม่อมเฝ้านางไม่คลาดสายตา”

“อืม” เขาตอบรับในลำคอ ก่อนเปิดประตูเข้าไป

ภายใต้แสงเทียนสลัว ร่างเล็กแบบบางนอนขดคุดคู้ ผ้าห่มถูกถีบร่นอยู่ปลายเท้า ใบหน้าซีดขาวชุ่มเหงื่อขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากแห้งผากขยับคล้ายพูดอะไรสักอย่างเพียงแต่ไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ยิน แต่อึดใจต่อมา ร่างนั้นพลิกกระสับกระส่ายไปมาจนเรือนผมยาวยุ่งเหยิง สองมือกำแน่น บางครั้งก็ปัดไป-มา พร้อมเสียงสะอื้นไห้ราวกำลังตกอยู่ในฝันร้าย

อันทาเออัสยืนมอง จนร่างนั้นเริ่มสงบ 
‘ข้าทำให้เจ้า หวาดกลัวถึงขนาดนี้เชียวเรอะ !?’

ก็แค่ห้อยนางไว้กลางอากาศ ยังไม่ได้โยนลงไปเสียหน่อย เหตุใดถึงใจเสาะนัก

เขายื่นมือไปสัมผัสหน้าผากชื้นเหงื่อของเธอ แล้วนิ่วหน้ากับความร้อนผ่าวที่เหมือนจะเพิ่มขึ้น ยืนครุ่นคิดเพียงครู่ ก็หันมองผ้าผืนเล็กที่พับพาดขอบอ่างใบเล็กวางบนโต๊ะใกล้หัวเตียง อย่างลังเลในสิ่งที่กำลังจะกระทำ ซึ่งไม่เคยปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือบุคคลใดมาก่อน

ในใจรีบยกหาเหตุผลขึ้นมาเป็นข้ออ้าง..เพราะไม่อยากให้เธอตายไป ก่อนที่จะได้รู้ความจริง ว่าเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไร..เขาถึงยอมช่วยเช็ดตัวขับไล่ความร้อนให้

ในความเลื่อนลอย กึ่งฝัน..ญารินพยายามหนีการไล่ล่าจากใครสักคน แต่ก็หนีไม่พ้น ลำคอของเธอถูกบีบแน่นจากสองมือแข็งปานคีมเหล็กจนหายใจไม่ออก ได้แต่ดิ้นทุรนทุราย แต่จู่ๆเธอก็หนาวสะท้านถึงกระดูกราวกับกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำเย็นจัดที่มีแต่ความมืดมิด เธอพยายามเรียกร้องหาพี่ชาย สลับกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองอย่างตื่นกลัว

ชั่วอึดใจในความสิ้นหวัง เหมือนสัมผัสถึงมือใครสักคน และฝ่ามือนั้นเสมือนเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้เธอรีบยึดเกาะ หวังบรรเทาความหนาวเย็นและหวาดกลัว

อันทาเออัสตื่นตะลึง เมื่อสองมือของเธอคว้าทั้งมือทั้งแขนของเขาไปกกกอดแน่น จนเบียดซุกกับความอวบหยุ่น
“นี่..เจ้า !”

ในคราแรกหมายกระชากมือกลับ แต่ทันทีที่ใบหน้ายิ้มพึงใจแปรเปลี่ยนคล้ายจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงจำใจให้เธอกอดแขนอยู่อย่างนั้น
เดิมทีก็คิดว่าเธอจะยึดครองแขนของเขาแค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น..แต่ที่ไหนได้ ผ่านไปหลายกาลแล้ว สองมือน้อยๆนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยเสียที จนเขาเริ่มเมื่อย จึงเอนกายลงนอนริมขอบเตียง ยกแขนข้างที่ยังว่างมาหนุนศีรษะตนเอง  

“หอมจัง...”

ญารินพึมพำในความฝัน ราวกับว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางป่าสนซีดาร์ กลิ่นหอมนุ่มลึกที่อวลรอบกายช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
อันทาเออัสนิ่วหน้ามองร่างที่ขยับยุกยิก ก่อนเอนศีรษะซบแนบต้นแขนอย่างสนิทชิดเชื้อ ใบหน้าเปี่ยมสุขผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ..ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนใจยาว พลางหลับตาลงอย่างปลงกับตัวเอง
(ต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่