ยามรัตติกาลมาเยือน ญารินนอนกะพริบตาปริบๆในความว่างเปล่า สายลมผัดผ่านเข้ามาตามระเบียงไล้ผิวกายให้ผ่อนคลายในความเงียบเชียบ ทว่าแสนอึดอัดจากการ รอคอย
เขาจะมาอย่างที่ได้บอกเธอไว้หรือเปล่านะ
หรือจะเป็นเพียงการหยอกเย้าให้เธอวิตกจริต จนไม่เป็นอันนอนเช่นนี้
หญิงสาวเริ่มพลิกตัวกระสับกระส่าย ด้วยไม่เข้าใจตนเอง ว่าตกลงแล้ว เธอกลัวว่าเขาจะมาจริงดั่งคำพูด หรือว่ากำลังรอคอยการมาของเขากันแน่
เสียงถอนใจดังเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในคำคืนนี้..ดวงตาที่จับจ้องไปยังประตูเริ่มหนักอึ้ง จนฝืนไม่ไหว เปลือกตาค่อยปิดปรือสู่ห้วงนิทรา
และในห้วงฝัน จมูกสัมผัสกลิ่นอ่อนๆของไม้สนซีดาร์ เธอผินหน้าหากลิ่นนั้น พร้อมซุกตัวลงในไออุ่น ซึ่งกำลังโอบล้อมเธอด้วยความอ่อนโยน ปลอดภัย ให้รู้สึกสบายใจ เสมือนได้กลับมายังสถานที่อันคุ้นเคย
ท้องฟ้าสีครามสด โอบผืนทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแดดสะท้อนบนยอดเกลียวคลื่น ละอองน้ำหย่อมหนึ่งกระเซ็นโดนผิวหน้าและเนื้อตัวของเธอ จากการสะบัดขนของวัวกระทิงเผือกตัวเขื่องตรงหน้า กล้ามเนื้อแข็งแกร่งกำยำปกคลุมด้วยขนสีขาวสะอาดแลอ่อนนุ่มเบาบางราวปุยเมฆ สะกดสายตาให้เธอจับจ้องอยู่นานสองนาน จนอดใจไม่ไหว ขยับก้าวเข้าใกล้ ยื่นมือไปสัมผัสลูบไล้ จนถึงขั้นโอบกอดเต็มสองแขน ซุกหน้าลงเกลือกกลั้ว ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
เธอเหลียวมองสบดวงตาของสัตว์ร้าย เห็นเพียงประกายอ่อนโยนสีอำพันแสนสวยงาม
“เอ๋ !? วัวกระทิงมีตาสีนี้ด้วยเหรอ..สวยจัง”
พึมพำพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เพื่อพิจดูให้ชัดเจน แต่เหมือนได้ยินเสียง “หึ!” ลอดมาจากลำคอของอีกฝ่าย ก่อนร่างใหญ่จะสะบัดตัวจนพ้นจากเรียวแขนของเธอที่ยื่นไขว่คว้าอย่างอาวรณ์ และกระโจนแหวกว่ายในท้องน้ำไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อเธอโผเข้าหา กระทิงเผือกก็ทะยานหนีไม่ให้สัมผัส พลางเหลียวมองราวหยอกเอิน
เธอแหวกว่าย ไล่ตามจนเหนื่อยหอบ กระทิงเผือกจึงว่ายเข้าใกล้ให้ได้เกาะกอดเป็นที่พึ่งพิง
“ข้าจับท่านได้แล้ว..อันทาเออัส” สองแขนเกี่ยวกระหวัดพลางยื่นหน้าฝังจูบลงลำคอแกร่ง
“หือ!? อันทาเออัส!”
ญารินสะดุ้งเฮือกกับความรู้สึกในคราแรก ที่เสมือนว่าตนอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ทันทีที่ได้เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่าย เธอกลับรู้สึกเคลือบแคลงกับเสียงใสแปร่งหู
‘ใคร?’
และเหมือนว่าขณะนี้ตนเองกำลังลอยล่องห่างออกมา จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ที่กำลังกอดรัดกระทิงเผือกอยู่นั้น เป็นเด็กสาวผู้มีใบหน้าแสนงดงาม เนื้อตัวเปลือยเปล่า เธอกะพริบตามองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง และขณะนั้น วัวกระทิงตัวเขื่องค่อยเปลี่ยนสภาพกลับกลายเป็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มรูปงาม สองแขนแข็งแกร่งโอบกอดร่างเล็กบอบบางอย่างทะนุถนอมยามโน้มใบหน้าลงประทับกลีบปากอิ่ม
ดวงตางุนงงในคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นถลึงแทบหลุดจากเบ้า ยามเห็นชัดว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือใคร..พุ่งร่างเข้าใส่หมายจับแยก เรียกชื่อเขาอย่างเกรี้ยวกราด
“อันทาเออัส!!”
พลัน! สะดุ้งตื่น
วินาทีแรกที่ลืมตา คือแผงอกแกร่งของผู้ชาย และมือหนาหนักข้างหนึ่งของเขาวางพาดอยู่บนเนินสะโพกของเธอ
“เจ้าเรียกหาข้าเรอะ”
แม้ว่าญารินจะลืมตาตื่น แต่สภาวะอารมณ์ครุกรุ่นในใจยังชัดเจน ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะ และเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ฝ่ามือของเธอก็ฟาดเพียะเข้ากลางอกแน่นก่อนที่เธอจะทันลุกขึ้นนั่งเขม็งมองเขาเสียอีก
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ?”
“หะ..หา!?”
อันทาเออัสหน้าเหวอขยับขึ้นนั่ง พลางลูบกลางอกตน อาการแสบๆคันๆยังไม่ทันจาง เธอยังถามเสียงเข้มในประโยคที่ทำให้ ยิ่งมึนงงหนักขึ้นไปอีก
“เจ้าหมายถึงผู้ใด ?”
ญารินเหมือนเพิ่งได้สติ เธอกะพริบตาปริบๆทบทวนความทรงจำอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว แค่นยิ้มเก้อเขิน
“อะ..เอ่อ..หม่อมฉันฝันน่ะเพคะ..ฝันร้ายไปหน่อย..”
“ฝัน!..ฝันร้ายแบบไหนกัน ถึงทำให้เจ้าทำร้ายข้าได้”
“เอ่อ..”
เธออึกอัก จะให้ตอบไปตามตรงได้อย่างไร ว่ากำลังหึงหวงเขากับผู้หญิงในความฝัน แต่เมื่อเห็นเขานั่งลูบอกตนเองป้อยๆ หัวใจดวงน้อยๆแทบหล่นวูบ “หม่อมฉันขอโทษ..เจ็บมากไหมเพคะ”
ด้วยแรงฟาดของเธอนั้นมันแทบจะไม่ระคายผิวเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่อันทาเออัสนึกสนุกอย่างแกล้งเธอขึ้นมาบ้าง จึงตอบกลับเสียงขรึม
“เจ้าตีแรงเสียขนาดนี้ ทำไมข้าจะไม่เจ็บล่ะ” ตอบพลางผินหน้าหนี
ญารินที่ใจไม่ดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งร้อนรน ถลาเข้าใกล้ ยื่นมือลูบแผงอกแกร่งป้อยๆ และเมื่อสัมผัสถึงรอยนูนของแผลเป็น เธอก็ยิ่งใจเสีย คิดว่าแรงจากฝ่ามือไปกระทบบาดแผลเก่าให้เจ็บซ้ำขึ้นมาอีก
“หม่อมฉันไม่ตั้งใจ..ขอโทษนะเพคะ..โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะเพคะ..เพี้ยง ๆ”
และในพริบตา เธอคว้ามือเขาที่ชะงักค้างกลางอกออกให้พ้นทาง ก่อนยื่นหน้าเป่าลมอยู่ไม่กี่ครั้ง และจรดริมฝีปากลงไป
ชายหนุ่มนิ่งขึง ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่สัมผัสอยู่นั้น เสมือนมีกระแสความร้อนแปลกๆ ลามเลียอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับกำลังสั่งสม..รอการระเบิด
ญารินผละห่าง เงยหน้าถามราวเด็กน้อยใสซื่อ
“หายเจ็บแล้วนะเพคะ..ตอนเป็นเด็ก เวลาที่หม่อมฉันเล่นซนจนบาดเจ็บ พ่อกับแม่ก็จะทำแบบนี้..มันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากเลยนะเพคะ”
อันทาเออัสกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“อืม..นั่นสิ” พลางปรายสายตา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย เอียงใบหน้าเข้าใกล้ จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่น “แต่ถ้าจะให้หายดี เจ้าต้องจูบปลอบขวัญข้าด้วยสิ”
"เอ่อ..” ญารินชะงักค้าง ดวงตากลมกลอกกลิ้งไปมา สรรหาคำไม่ถูก “เอ่อ..หม่อมฉันง่วงมากเลย..นอนต่อเถอะนะเพคะ..นอนค่ะนอน” ตบที่นอนใกล้ตัวเขาดัง ปุๆ แล้วรีบหันหลังทิ้งตัวลงนอนขดใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย
อันทาเออัสอมยิ้ม ดึงผ้าห่มที่แสนน่ารำคาญออก ก่อนทอดตัวลงนอนเคียงข้าง รวบร่างแข็งเกร็งเข้ามากอด
“อากาศกำลังสบาย ใยเจ้าปรารถนาผ้าห่มมากกว่าตัวข้าเล่า”
“คะ..คือ..เพคะ..ง่วงนอนแล้วเพคะ”
“อืม..หัวใจของเจ้าเต้นแรงนัก”
“..คงเป็นเพราะหม่อมฉันเหนื่อยแล้วก็ง่วงนอนมากๆน่ะเพคะ..ง่วงนอนมากๆเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ จูบลงกลางกลุ่มผมอ่อนนุ่ม..คืนนี้..แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“เจ้าว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
ญารินนอนนิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาใดๆ ร่างกายจึงเริ่มผ่อนคลายอยู่ภายในอ้อมแขนที่ยังโอบกอดไม่ปล่อย และคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว เธอลอบผ่อนลมหายใจ หลับตาลงอีกครั้ง..หากทบทวนดูดีๆ เธอก็ชอบที่จะหลับภายใต้อ้อมกอดของเขาเหมือนกันนะ
หลายค่ำคืนผ่านไป..
อันทาเออัสให้ญารินไปนอนในห้องของเขา อ้างว่าเตียงของเธอนั้นคับแคบ และไม่ว่าเธอจะพยายามหลีกเลี่ยง หลบซ่อน เขาก็สามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย และอุ้มเธอกลับไปนอนบนเตียงของเขาจนได้..นานวันเข้า ญารินเริ่มหงุดหงิดในตัวอันทาเออัส ที่เขาทำให้เธอเคยตัวกับการได้นอนซุกในอ้อมกอดอุ่น เพราะหากค่ำคืนไหนเขาติดราชกิจจนกลับดึก เธอก็จะกระสับกระส่าย รอจนเขากลับมาล้มตัวนอนเคียงข้าง ถึงจะหลับตาลงได้อย่างสุขใจ
“บ้าจริง!”
หญิงสาวบ่นพึมพำเดินไปเรื่อยจนถึงบริเวณหน้าปราสาท พลันชะงัก เมื่อเห็นแอคเนสกำลังพูดคุยกับนายทหารที่เธอพอจะเริ่มคุ้นเคยบ้าง เพราะเห็นและทักทายกันหลายครั้ง..และเมื่อญารินสังเกตลักษณะท่าทางที่ทั้งสองแสดงต่อกันนั้น มันมีความพิเศษบางอย่างฉายชัดออกมาจากดวงตาและรอยยิ้มของทั้งคู่
แอคเนสเห็นว่าตนใช้เวลากับชายหนุ่มผู้นี้มาพอสมควรแล้ว จึงขอตัวเดินจากมา รอยยิ้มยังคงค้างอยู่ในสีหน้า พลันสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆญารินก็โผล่เข้ามาราวภูตผี และกำลังมองมาด้วยใบหน้าสอดรู้สอดเห็น
“แอะ”
“แอะ อะไรของเจ้า..แล้วจู่ๆกระโจนเข้ามาเช่นนี้ ทำข้าตกอกตกใจหมด”
ญารินไม่ตอบ แต่ใช้สายตามองตามหลังร่างสูงที่เพิ่งเดินลับไป แล้วหันใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์ ซุกซน กลับมาจ้องสาวรุ่นพี่ จนเขินอาย ใบหน้าแดงจัด คว้าเรียวแขนคนตรงหน้ามาหยิกจนร้องลั่น
“โอ้ย ๆ พี่แอคเนส..ยูริขอโทษ”
หญิงสาวแสร้งโวยวายทำท่าเจ็บเกินจริง และส่งสายตาออดอ้อนให้กับสาวรุ่นพี่ที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงได้ไม่กี่อึดใจ ก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างยอมจำนนในความน่าเอ็นดูเสียไม่ได้ และพากันเดินหยอกเย้ากันไปยังโรงครัว
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #17#
เขาจะมาอย่างที่ได้บอกเธอไว้หรือเปล่านะ
หรือจะเป็นเพียงการหยอกเย้าให้เธอวิตกจริต จนไม่เป็นอันนอนเช่นนี้
หญิงสาวเริ่มพลิกตัวกระสับกระส่าย ด้วยไม่เข้าใจตนเอง ว่าตกลงแล้ว เธอกลัวว่าเขาจะมาจริงดั่งคำพูด หรือว่ากำลังรอคอยการมาของเขากันแน่
เสียงถอนใจดังเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในคำคืนนี้..ดวงตาที่จับจ้องไปยังประตูเริ่มหนักอึ้ง จนฝืนไม่ไหว เปลือกตาค่อยปิดปรือสู่ห้วงนิทรา
และในห้วงฝัน จมูกสัมผัสกลิ่นอ่อนๆของไม้สนซีดาร์ เธอผินหน้าหากลิ่นนั้น พร้อมซุกตัวลงในไออุ่น ซึ่งกำลังโอบล้อมเธอด้วยความอ่อนโยน ปลอดภัย ให้รู้สึกสบายใจ เสมือนได้กลับมายังสถานที่อันคุ้นเคย
ท้องฟ้าสีครามสด โอบผืนทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงแดดสะท้อนบนยอดเกลียวคลื่น ละอองน้ำหย่อมหนึ่งกระเซ็นโดนผิวหน้าและเนื้อตัวของเธอ จากการสะบัดขนของวัวกระทิงเผือกตัวเขื่องตรงหน้า กล้ามเนื้อแข็งแกร่งกำยำปกคลุมด้วยขนสีขาวสะอาดแลอ่อนนุ่มเบาบางราวปุยเมฆ สะกดสายตาให้เธอจับจ้องอยู่นานสองนาน จนอดใจไม่ไหว ขยับก้าวเข้าใกล้ ยื่นมือไปสัมผัสลูบไล้ จนถึงขั้นโอบกอดเต็มสองแขน ซุกหน้าลงเกลือกกลั้ว ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
เธอเหลียวมองสบดวงตาของสัตว์ร้าย เห็นเพียงประกายอ่อนโยนสีอำพันแสนสวยงาม
“เอ๋ !? วัวกระทิงมีตาสีนี้ด้วยเหรอ..สวยจัง”
พึมพำพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เพื่อพิจดูให้ชัดเจน แต่เหมือนได้ยินเสียง “หึ!” ลอดมาจากลำคอของอีกฝ่าย ก่อนร่างใหญ่จะสะบัดตัวจนพ้นจากเรียวแขนของเธอที่ยื่นไขว่คว้าอย่างอาวรณ์ และกระโจนแหวกว่ายในท้องน้ำไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อเธอโผเข้าหา กระทิงเผือกก็ทะยานหนีไม่ให้สัมผัส พลางเหลียวมองราวหยอกเอิน
เธอแหวกว่าย ไล่ตามจนเหนื่อยหอบ กระทิงเผือกจึงว่ายเข้าใกล้ให้ได้เกาะกอดเป็นที่พึ่งพิง
“ข้าจับท่านได้แล้ว..อันทาเออัส” สองแขนเกี่ยวกระหวัดพลางยื่นหน้าฝังจูบลงลำคอแกร่ง
“หือ!? อันทาเออัส!”
ญารินสะดุ้งเฮือกกับความรู้สึกในคราแรก ที่เสมือนว่าตนอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ทันทีที่ได้เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่าย เธอกลับรู้สึกเคลือบแคลงกับเสียงใสแปร่งหู
‘ใคร?’
และเหมือนว่าขณะนี้ตนเองกำลังลอยล่องห่างออกมา จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ที่กำลังกอดรัดกระทิงเผือกอยู่นั้น เป็นเด็กสาวผู้มีใบหน้าแสนงดงาม เนื้อตัวเปลือยเปล่า เธอกะพริบตามองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง และขณะนั้น วัวกระทิงตัวเขื่องค่อยเปลี่ยนสภาพกลับกลายเป็นร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มรูปงาม สองแขนแข็งแกร่งโอบกอดร่างเล็กบอบบางอย่างทะนุถนอมยามโน้มใบหน้าลงประทับกลีบปากอิ่ม
ดวงตางุนงงในคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นถลึงแทบหลุดจากเบ้า ยามเห็นชัดว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือใคร..พุ่งร่างเข้าใส่หมายจับแยก เรียกชื่อเขาอย่างเกรี้ยวกราด
“อันทาเออัส!!”
พลัน! สะดุ้งตื่น
วินาทีแรกที่ลืมตา คือแผงอกแกร่งของผู้ชาย และมือหนาหนักข้างหนึ่งของเขาวางพาดอยู่บนเนินสะโพกของเธอ
“เจ้าเรียกหาข้าเรอะ”
แม้ว่าญารินจะลืมตาตื่น แต่สภาวะอารมณ์ครุกรุ่นในใจยังชัดเจน ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะ และเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ฝ่ามือของเธอก็ฟาดเพียะเข้ากลางอกแน่นก่อนที่เธอจะทันลุกขึ้นนั่งเขม็งมองเขาเสียอีก
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ?”
“หะ..หา!?”
อันทาเออัสหน้าเหวอขยับขึ้นนั่ง พลางลูบกลางอกตน อาการแสบๆคันๆยังไม่ทันจาง เธอยังถามเสียงเข้มในประโยคที่ทำให้ ยิ่งมึนงงหนักขึ้นไปอีก
“เจ้าหมายถึงผู้ใด ?”
ญารินเหมือนเพิ่งได้สติ เธอกะพริบตาปริบๆทบทวนความทรงจำอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว แค่นยิ้มเก้อเขิน
“อะ..เอ่อ..หม่อมฉันฝันน่ะเพคะ..ฝันร้ายไปหน่อย..”
“ฝัน!..ฝันร้ายแบบไหนกัน ถึงทำให้เจ้าทำร้ายข้าได้”
“เอ่อ..”
เธออึกอัก จะให้ตอบไปตามตรงได้อย่างไร ว่ากำลังหึงหวงเขากับผู้หญิงในความฝัน แต่เมื่อเห็นเขานั่งลูบอกตนเองป้อยๆ หัวใจดวงน้อยๆแทบหล่นวูบ “หม่อมฉันขอโทษ..เจ็บมากไหมเพคะ”
ด้วยแรงฟาดของเธอนั้นมันแทบจะไม่ระคายผิวเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่อันทาเออัสนึกสนุกอย่างแกล้งเธอขึ้นมาบ้าง จึงตอบกลับเสียงขรึม
“เจ้าตีแรงเสียขนาดนี้ ทำไมข้าจะไม่เจ็บล่ะ” ตอบพลางผินหน้าหนี
ญารินที่ใจไม่ดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งร้อนรน ถลาเข้าใกล้ ยื่นมือลูบแผงอกแกร่งป้อยๆ และเมื่อสัมผัสถึงรอยนูนของแผลเป็น เธอก็ยิ่งใจเสีย คิดว่าแรงจากฝ่ามือไปกระทบบาดแผลเก่าให้เจ็บซ้ำขึ้นมาอีก
“หม่อมฉันไม่ตั้งใจ..ขอโทษนะเพคะ..โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะเพคะ..เพี้ยง ๆ”
และในพริบตา เธอคว้ามือเขาที่ชะงักค้างกลางอกออกให้พ้นทาง ก่อนยื่นหน้าเป่าลมอยู่ไม่กี่ครั้ง และจรดริมฝีปากลงไป
ชายหนุ่มนิ่งขึง ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่สัมผัสอยู่นั้น เสมือนมีกระแสความร้อนแปลกๆ ลามเลียอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับกำลังสั่งสม..รอการระเบิด
ญารินผละห่าง เงยหน้าถามราวเด็กน้อยใสซื่อ
“หายเจ็บแล้วนะเพคะ..ตอนเป็นเด็ก เวลาที่หม่อมฉันเล่นซนจนบาดเจ็บ พ่อกับแม่ก็จะทำแบบนี้..มันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากเลยนะเพคะ”
อันทาเออัสกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“อืม..นั่นสิ” พลางปรายสายตา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย เอียงใบหน้าเข้าใกล้ จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่น “แต่ถ้าจะให้หายดี เจ้าต้องจูบปลอบขวัญข้าด้วยสิ”
"เอ่อ..” ญารินชะงักค้าง ดวงตากลมกลอกกลิ้งไปมา สรรหาคำไม่ถูก “เอ่อ..หม่อมฉันง่วงมากเลย..นอนต่อเถอะนะเพคะ..นอนค่ะนอน” ตบที่นอนใกล้ตัวเขาดัง ปุๆ แล้วรีบหันหลังทิ้งตัวลงนอนขดใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย
อันทาเออัสอมยิ้ม ดึงผ้าห่มที่แสนน่ารำคาญออก ก่อนทอดตัวลงนอนเคียงข้าง รวบร่างแข็งเกร็งเข้ามากอด
“อากาศกำลังสบาย ใยเจ้าปรารถนาผ้าห่มมากกว่าตัวข้าเล่า”
“คะ..คือ..เพคะ..ง่วงนอนแล้วเพคะ”
“อืม..หัวใจของเจ้าเต้นแรงนัก”
“..คงเป็นเพราะหม่อมฉันเหนื่อยแล้วก็ง่วงนอนมากๆน่ะเพคะ..ง่วงนอนมากๆเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ จูบลงกลางกลุ่มผมอ่อนนุ่ม..คืนนี้..แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“เจ้าว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
ญารินนอนนิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาใดๆ ร่างกายจึงเริ่มผ่อนคลายอยู่ภายในอ้อมแขนที่ยังโอบกอดไม่ปล่อย และคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว เธอลอบผ่อนลมหายใจ หลับตาลงอีกครั้ง..หากทบทวนดูดีๆ เธอก็ชอบที่จะหลับภายใต้อ้อมกอดของเขาเหมือนกันนะ
หลายค่ำคืนผ่านไป..
อันทาเออัสให้ญารินไปนอนในห้องของเขา อ้างว่าเตียงของเธอนั้นคับแคบ และไม่ว่าเธอจะพยายามหลีกเลี่ยง หลบซ่อน เขาก็สามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย และอุ้มเธอกลับไปนอนบนเตียงของเขาจนได้..นานวันเข้า ญารินเริ่มหงุดหงิดในตัวอันทาเออัส ที่เขาทำให้เธอเคยตัวกับการได้นอนซุกในอ้อมกอดอุ่น เพราะหากค่ำคืนไหนเขาติดราชกิจจนกลับดึก เธอก็จะกระสับกระส่าย รอจนเขากลับมาล้มตัวนอนเคียงข้าง ถึงจะหลับตาลงได้อย่างสุขใจ
“บ้าจริง!”
หญิงสาวบ่นพึมพำเดินไปเรื่อยจนถึงบริเวณหน้าปราสาท พลันชะงัก เมื่อเห็นแอคเนสกำลังพูดคุยกับนายทหารที่เธอพอจะเริ่มคุ้นเคยบ้าง เพราะเห็นและทักทายกันหลายครั้ง..และเมื่อญารินสังเกตลักษณะท่าทางที่ทั้งสองแสดงต่อกันนั้น มันมีความพิเศษบางอย่างฉายชัดออกมาจากดวงตาและรอยยิ้มของทั้งคู่
แอคเนสเห็นว่าตนใช้เวลากับชายหนุ่มผู้นี้มาพอสมควรแล้ว จึงขอตัวเดินจากมา รอยยิ้มยังคงค้างอยู่ในสีหน้า พลันสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆญารินก็โผล่เข้ามาราวภูตผี และกำลังมองมาด้วยใบหน้าสอดรู้สอดเห็น
“แอะ”
“แอะ อะไรของเจ้า..แล้วจู่ๆกระโจนเข้ามาเช่นนี้ ทำข้าตกอกตกใจหมด”
ญารินไม่ตอบ แต่ใช้สายตามองตามหลังร่างสูงที่เพิ่งเดินลับไป แล้วหันใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์ ซุกซน กลับมาจ้องสาวรุ่นพี่ จนเขินอาย ใบหน้าแดงจัด คว้าเรียวแขนคนตรงหน้ามาหยิกจนร้องลั่น
“โอ้ย ๆ พี่แอคเนส..ยูริขอโทษ”
หญิงสาวแสร้งโวยวายทำท่าเจ็บเกินจริง และส่งสายตาออดอ้อนให้กับสาวรุ่นพี่ที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงได้ไม่กี่อึดใจ ก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างยอมจำนนในความน่าเอ็นดูเสียไม่ได้ และพากันเดินหยอกเย้ากันไปยังโรงครัว
(ต่อค่ะ)