ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #2#

กระทู้สนทนา
บทนำ  https://ppantip.com/topic/39789680
บทที่1 https://ppantip.com/topic/39803591

ญารินลากกระเป๋าเดินทางตามร่างสูงของพี่ชาย ท่ามกลางผู้คนหลายเชื้อชาติภายในสนามบินมิลาน พลางขยับเนื้อตัวอันแสนเมื่อยล้าจากการเดินทางเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งเธอไม่ชินเอาเสียเลย ต่างจากพี่ชายที่ยังดูกระปรี้กระเปร่าอย่างเหลือเชื่อ

“เจได!”

เสียงแหบห้าวตะโกนแหวกกลุ่มคนดังมาจากชายร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้มหยักศกเป็นลอนสลวยยาวประบ่า ใบหน้าค่อนข้างขาวรกครึ้มด้วยไรหนวดเครากำลังโบกมือหยอยๆ พร้อมรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวเรียงตัวสวย ลักษณะเป็นคนอารมณ์ดีพอสมควร

สองหนุ่มตรงเข้ากอดทักทาย ตบหลังตบไหล่กันดังปุปะจนหายคิดถึงกันแล้ว พี่ชายถึงได้หันมาแนะนำเธอให้เพื่อนได้รู้จัก
“นี่ไง ยูริ..เขาจะมาช่วยด้วยอีกแรง” แล้วก็บอกเธอ “นี่อองรี เพื่อนพี่ที่ทำงานด้วยกัน”

ญารินยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร นอกจากการสบดวงตาสีฟ้าหม่นเพียงอึดใจ เงาวูบจากร่างคนตรงหน้าก็พาดทับลงมาจากการสวมกอดหลวมๆ เพียงครู่ก็ผละพร้อมรอยยิ้มค้างบนใบหน้า พูดภาษาอังกฤษกับเธอ
“ฉันจำเธอได้ จากรูปในมือถือที่พี่ของเธอเปิดให้ดูบ่อยๆ..ไม่คิดว่าตัวจริงจะสวยขนาดนี้นะ” 

“เอ่อ..ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนกับการถึงเนื้อถึงตัว และคำชมซึ่งหน้าของอีกฝ่าย ซึ่งมองด้วยสายตาเอ็นดู แต่กระนั้น เธอก็ยังรู้สึกเก้อเขิน

“ยินดีที่ได้เจอกันนะ” ชายหนุ่มตอบรับแล้วก็หันไปทางเพื่อน “งั้นเราไปสมทบกับคนอื่นกันเลยก็แล้วกัน”

จิรกรพยักหน้ารับ และพากันเดินตามเพื่อนไปยังรถยนต์
ญารินนั่งตอนหลังของรถยนต์ซีดาน ฟังสองหนุ่มพูดคุยเป็นภาษาอิตาเลี่ยนกันน้ำไหลไฟดับได้ครู่เดียว ก็ผินใบหน้ามองออกไปด้านนอกกระจก ภาพความสับสนของเมืองท่องเที่ยว เริ่มเปลี่ยนเป็นทุ่งกว้างและไร่องุ่น อาคารบ้านเรือนมองเห็นลิบๆอยู่กลางทุ่งสลับเนินเขา ภายใต้ท้องฟ้าสีครามสด..หญิงสาวมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างเพลิดเพลินจนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงปลุกจากพี่ชาย

“เฮ้! ยูริ..ถึงแล้ว”

หญิงสาวสะลึมสะลือ ขยับร่างออกไปยืนข้างพี่ชาย แล้วก็กอดอก เมื่อสัมผัสสายลมเย็นของเดือนมีนาคม และท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังเป็นสีครามสดใส แต่ขณะนี้กลายเป็นมืดครื้ม คล้ายฝนกำลังจะตก อาการง่วงงุนเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง และก้าวตามพี่ชายไปยังโบสถ์เก่าตามสถาปัตยกรรมบาโรก ที่แม้บริเวณยอดโดมจะเสียหายกลายเป็นสีดำและแหว่งไปเกือบครึ่ง และไม่ได้ใหญ่โตอลังการเทียบเท่ามหาวิหารที่มีชื่อเสียงหลังอื่นๆ แต่เธอก็ยังมองเห็นความโดดเด่น สง่างามของโบสถ์หลังนี้ที่ก่อสร้างบนเนินทุ่งหญ้าเขียวขจี โอบล้อมด้วยภูเขาตระหง่าน บริเวณข้างโบสถ์มีเต็นท์นอนกางอยู่หลายหลัง ส่วนอีกด้านเป็นเต็นท์หลังใหญ่ ซึ่งมีชาวบ้านจำนวนหลายสิบคนกำลังจัดเตรียมอาหารและงานอย่างอื่นเท่าที่จะช่วยเหลือกันได้ 

อองรีโบกมือทักทายชาวบ้านบางคนที่หันมามอง และได้รับการพยักหน้าตอบกลับมาพลางกวาดสายตามองเธอกับพี่ชายเพียงครู่ก็หันกลับไปสนใจงานของตนเอง ทั้งหมดเดินผ่านความวุ่นวายของโถงกลาง ซึ่งบรรดาช่างกำลังซ่อมหลังคาอย่างขะมักเขม้น โดยภาพวาดบนยอดโดมในส่วนที่ไม่เสียหายมีผ้าขาวขึงปิดไว้ รวมทั้งศิลปะปูนเปียกที่อยู่ตามผนังก็ถูกปิดไว้เพื่อรอการซ่อมแซม..อองรีพาเดินเข้าไปยังห้องด้านหลัง ซึ่งเธอได้กลิ่นน้ำยาและกลิ่นสีโชยมา พร้อมเสียงพูดคุยเบาๆของผู้คนให้ได้ยิน ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปภายในห้องเห็นบรรดาช่างซ่อมภาพชาย-หญิงหลายชีวิตกำลังใจจรดจ่อกับภาพของตน และมีสามคนที่หันมายิ้มทักทายกับพี่ชายของเธอ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่พี่ชายพูดถึง เป็นชายชาวไต้หวันสองคน กับผู้หญิงชาวญี่ปุ่นอีกหนึ่ง
จิรกรแนะนำน้องสาวให้เพื่อนรู้จักพอเป็นพิธี แล้วก็ปล่อยให้เพื่อนทำงานต่อไป

บาทหลวงชราผู้ดูแลเดินเข้ามาหาอองรีด้วยรอยยิ้มยินดี ที่เห็นชายหนุ่มพาคนมาช่วยเพิ่มเติม..ญารินโน้มตัวก้มศีรษะทักทายบาทหลวงเพียงเท่านั้น เพราะท่านสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ จึงเลือกที่จะเลี่ยงไปยืนหลังพี่ชาย ซึ่งอองรีและพี่ชายของเธอพูดคุยกับบาทหลวงอีกไม่กี่คำ ท่านก็ขอตัว..พี่ชายพาเธอมาเลือกภาพที่มีจำนวนมากพอสมควร ส่วนอองรีเดินไปกางขาตั้งวาดรูปให้ ก่อนเดินมาหยิบภาพที่จะซ่อม

“ตั้งใจให้สุดฝีมือนะ” พี่ชายย้ำกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง

“รับรอง ว่าพี่จะไม่เสียหน้าแน่นอน” หญิงสาวยืนยันก่อนหันกลับมายังภาพพระแม่มารี แม้จะมั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้ แต่อีกใจก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เธอได้ปฎิบัติจริงกับภาพโบราณอายุหลายร้อยปี

‘ทำได้สิ! แกต้องทำได้ ไอ้ยูริ!’ 

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนพ่นพรวด และกวาดสายตาเก็บรายละเอียดของภาพวาดสมบูรณ์ก่อนจะได้รับความเสียหายจากรูปถ่ายที่ทางโบสถ์ถ่ายเก็บไว้จนเริ่มจดจำได้ จึงใช้ก้านสำลีชุบน้ำยาทำความสะอาดค่อยๆเช็ดไล่พร้อมๆการตรวจเช็คสภาพเส้นใยของผ้าใบ จนมั่นใจว่าสะอาดเรียบร้อยดีแล้วจึงใช้พู่กันเบอร์เล็กแต้มสีลงลายเส้นตามเทคนิคของพี่ชาย สมาธิทั้งหมดของเธอเพ่งตามลายเส้นที่วาดซ้ำไปซ้ำมา..ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายชั่วโมง แต่การซ่อมภาพของเธอก็ไม่ได้คืบหน้ามากนัก ซึ่งเธอก็พยายามปลอบตัวเองว่า เป็นเพราะความอ่อนประสบการณ์ จึงทำให้งานล่าช้า และพยายามคิดทุกอย่างให้เป็นบวก ไม่ทำให้อารมณ์ตนเองเสียเด็ดขาด เพราะหากเป็นเช่นนั้น จะไม่หลงเหลือสมาธิพอจะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้..เธอฮัมเพลงเบาๆในลำคอเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิคนอื่น ขณะซ่อมภาพต่อไป

จิรกรวางมือจากงาน เมื่อรู้สึกหิว และเดินมาดูฝีมือการซ่อมภาพของน้องสาว แล้วก็ยิ้มพอใจกับผลงานชิ้นแรก..ชายหนุ่มรอจนเจ้าตัวรู้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างกาย จึงหันมา และเมื่อเห็นว่าเป็นพี่ จึงถามคล้ายอวดในฝีมือของตน

“เป็นไง..ใช้ได้ใช่ไหมล่ะ”

“อืม..สำหรับมือใหม่อย่างเรา ถือว่าดีเชียวล่ะ”

เมื่อได้ยินคำชม เรียวปากอิ่มแย้มกว้าง ดวงตาวิบวับปลื้มอกปลื้มใจ จนพี่ชายอดที่จะใช้มือมายีหัวกลมๆจนผมยุ่งด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้
“พักกินอะไรกันก่อนเถอะ ตั้งแต่ลงเครื่อง ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ..ไม่หิวรึไง”

เมื่อได้ยินถึงอาหาร ท้องไส้พลันป่วนปั่นทันที และเพิ่งเห็นว่าท้องฟ้านั้นมืดสนิท และอากาศก็ยิ่งหนาวเย็นกว่าเมื่อกลางวัน
“เออ..พูดล่ะหิวเลย..หนาวด้วยอ่ะ”

“งั้นไปเอาแจ็คเก็ตก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกิน”

หญิงสาวพยักหน้ารับ และเดินไปยังเต็นท์นอนที่ทางโบสถ์จัดให้นอนหลังเดียวกันกับพี่ชาย เธอเปิดซิปและมุดเข้าไปหยิบเสื้อมาสวมอีกชั้น ก่อนเดินไปยังเต็นท์อาหารร่วมกับคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันออกรสออกชาติ ราวกับอัดอั้นมาเป็นวันๆ รวมทั้งพี่ชายของเธอด้วยเช่นกัน ในขณะที่เธอสนใจแค่เนื้อปลาย่าง มันฝรั่ง แล้วก็สลัดผักในจานเท่านั้น เพราะสำหรับเธอในขณะนี้ อาหารคือ สิ่งเย้ายวน และน่าปรารถนาที่สุด

ตลอดทั้งสัปดาห์..

ญารินตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายเต็มความสามารถ จนได้รับคำชมจากศิลปินคนอื่นๆที่เห็นถึงความตั้งใจของเธอ ทั้งๆที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาอาสาสมัคร หญิงสาวนำความภาคภูมิใจนี้อวดบิดา-มารดาผ่านหน้าจอคอมพ์

“เดี๋ยวนี้ยูริเป็นที่รักของคนที่นี่แล้วนะแม่ ตอนเช้าๆ พวกชาวบ้านชอบเอาขนม ผลไม้มาให้หนูทุกวันเลย”

เขมจิรายิ้มหมั่นไส้กับความโอ้อวด “จ้า แม่คนเก่ง..แล้วนี่เมื่อไหร่จะเสร็จงานกันล่ะ”

“อืม..ก็เหลือไม่เยอะแล้ว..อีกไม่กี่วันก็คงเสร็จแล้วค่ะ”

“ดี..จะได้กลับบ้านกลับช่องซะที พ่อเขาคิดถึงเราจะแย่แล้ว” 

“แค่พ่อคนเดียวเหรอ..แล้วแม่ไม่คิดถึงหนูเหรอ” ในน้ำเสียงนั้นล้อเลียน เขมจิรายิ้มเขินกับการรู้ทันของลูกสาว รีบแย้งทันที

“ใครเขาจะคิดถึง เด็กซนเป็นลิงเป็นค่างแบบเราน่ะ”

หญิงสาวมุ้ยปาก “ไม่คิดถึงก็ดี..งั้นหนูขอเที่ยวต่ออีกหน่อยก็แล้วกันนะคะ”

“อะไรกัน..ไปเป็นอาทิตย์แล้วยังเที่ยวไม่พออีกเรอะ” นางถามกลับเสียงแข็ง

“อันนั้นหนูมาทำงานนะแม่ ไม่ได้ไปไหนเลย วันๆหัวจุ่มอยู่แต่กับถังสี พอทำงานเสร็จแล้ว มันก็ต้องมีรางวัลให้กับตัวเองบ้างซิคะ” พูดจบก็ทำท่าส่งจูบให้มารดาส่งสายตาค้อน ขบขันในกริยาทะเล้น

“แล้วจะเที่ยวต่ออีกกี่วันล่ะ”

“ก็อาจจะสาม สี่วันค่ะ..พอดีพี่เจไดเขามีธุระต่อที่กรีซกับเพื่อนๆของเขาน่ะค่ะ หนูเลยขอติดไปด้วย”

“แหม เข้าทางเราเลยนะ”

หญิงสาวหัวเราะชอบใจกับการกระแนะกระแหนของมารดา และพูดคุยต่ออีกร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนวางสาย

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่