บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30249049
เมื่อขบวนเสด็จของเจ้าหญิงเลรีอานำพระองค์เสด็จกลับมายังนครกาลาเทีย ได้ใช้เส้นทางเดินผ่านหุบเขาคาธีน่าซึ่งเป็นหุบเขาเทพเจ้า ที่ตั้งอยู่ระหว่างสองแคว้นอันเป็นที่ประดิษฐานของมหาวิหารอังเจอลาห์ดรอสอันยิ่งใหญ่ตระการตา องค์หญิงได้แวะเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อองค์เทพเจ้าภายในวิหาร พร้อมทั้งนำดอกไม้หอมไปบูชา
เมื่อนั้นบังเกิดเหตุการประหลาดขึ้นในชั่วพริบตา กวางไพรตัวหนึ่งปรากฏกายเดินอ้อยอิ่งสง่างามเข้ามาในวิหาร เป็นกวางขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายม้า มีเขาโง้งงามดุจหิมะขาวในฤดูเหมันต์ ส่วนลำตัวนั้นปกคลุมด้วยเส้นขนทองคำ คาดว่ามิใช่กวางป่าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง จำแลงกายลงมาปรากฏในร่างสัตว์ เพื่อแสดงตนต่อหน้านาง
กวางทองคาบดอกไอวี่สีเหลืองอร่ามเล็กๆดอกหนึ่งไว้ในปาก แล้วนำมามอบให้แก่นางที่มือ เมื่อเจ้าหญิงเลรีอารับดอกไม้มาถือไว้ กวางตัวนั้นก็กระโจนหายไปอย่างลึกลับราวกับว่าหายตัวได้
พลันบังเกิดสุรเสียงก้องกังวานอันนุ่มนวลเปี่ยมด้วยพลังดังขึ้นภายในพระวิหารว่า “เลรีอา ข้า..เทพอินอส เทพเจ้าแห่งความงามสง่าและความองอาจกล้าหาญ ประสงค์จะรับเจ้าไปเป็นพระชายา เมื่อเจ้ามีอายุครบ๑๗ชันษาบริบูรณ์ เจ้าจะได้เป็นเทพีแห่งความงดงาม และความบริสุทธิ์อยู่เคียงข้างข้าตราบนิจนิรันดร์”
ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงนับสิบคู่ของเหล่าบริวารผู้ติดตามเจ้าหญิงเลรีอาเข้ามาในวิหาร ก็ปรากฏว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าที่มือของเจ้าหญิง เหนือความคาดคิดของใครทั้งหมดในที่นั้น ดอกไอวี่กลับกลายเป็นแหวนทองคำวงหนึ่ง สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าหญิงเลรีอาแทนที่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งอาณาจักร ข่าวอันเป็นมหามงคลนี้ทำให้ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเจ้าหญิงเลรีอา ราวกับว่านางได้กลายเป็นเทพธิดาแห่งความงดงามบริสุทธิ์ควรคู่กับองค์เทพพระอินอสไปแล้วฉะนั้น
ฝ่ายพระเจ้าเมฟาร์นาแห่งอาณาจักรซิลเวีย พระราชบิดาของเจ้าชายฟาลนัว เมื่อทรงทราบข่าวดังกล่าวก็มิกล้าขัดขืนพระประสงค์ของเทพเจ้า จึงยินยอมถอนหมั้นระหว่างเจ้าหญิงเลรีอากับเจ้าชายฟาลนัวแต่โดยดี
นับแต่นั้นกษัตริย์แห่งราชวงศ์มินดูรูนได้ทรงสร้างวิหารที่งดงามเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพอินอส ใกล้กับมหาวิหารแองเจอลาห์ดรอสบนหุบเขาคาธีน่าแห่งนั้น ช่างฝีมือเอกค่อยๆบรรจง สลักใบหน้างดงามของพระองค์ ริมฝีปากเผยอแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับหัตถ์ขวาที่ทอดลงเบื้องหน้า เอื้อมมารับผู้ที่พระองค์ปรารถนาให้เป็นชายา เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วทั้งอาณาจักร ถึงวิหารเทพอินอส ที่ซึ่งรูปปั้นเสมือนจริงของพระองค์ ทรงประทับอยู่อย่างสง่างาม ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเทพอินอสยิ่งขึ้นไปอีก
องค์หญิงได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดี ทรงเป็นว่าที่ชายาของเทพองค์หญิงจึงต้องปฏิบัติตามกฏที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด องค์หญิงเลรีอาจะไปเข้าเฝ้าเทพรูปปั้นของเทพอินอสที่วิหารทุกๆเจ็ดวัน เนื่องด้วยองค์หญิงทรงเป็นว่าที่พระชายาของเทพ จึงมีกฏห้ามสัมผัสบุรุษเพศ พระองค์ได้รับการปรนนิบัติเฉกเช่นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกส่งตัวไปอยู่บนหอคอยที่สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงพระองค์เดียว พร้อมกับเหล่าบริวารองค์รักษ์หญิงที่งดงามและแข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง ณ หอคอยที่ซึ่งองค์หญิงได้เพียงแต่เฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดียวดาย
เมื่อม่านราตรีคลี่คลุมผืนแผ่นฟ้า เจ้าหญิงทอดสายตาเหมอลอยมองอาทิตย์อัสดงค่อยๆเลือนลับทิวเขา เบื้องหลังคือทะเลอันสงบนิ่งทอประกายสีเงินยวงสะท้อนต้องกับแสงจันทร์ พลันครุ่นคิดถึงเจ้าชายฟาลนัวขึ้นมาในครานั้นก็อดรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวมิได้ ทราบดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะได้พบหน้าเจ้าชายอีกแล้ว เคยใช้เวลาร่วมกันมามากมาย กลับกลายเป็นความทรงจำในอดีตที่ผ่านพ้นไป องค์หญิงไม่เคยนึกสนใจเจ้าชายเกินกว่ามิตรสหาย แต่ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ภาพแห่งความทรงจำยังคงตราตรึง ประทับแน่นอยู่ภายในใจอันบริสุทธิ์งดงามขององค์หญิงไม่จืดจาง แต่องค์หญิงรู้ดีว่าจะต้องเดินทางต่อไปเช่นเดียวกับนาวาล่องผ่านกระแสคลื่นในวารี ด้วยความอาจหาญปราศจากความลังเลเดินทางสู่พระหัตถ์ของเทพอินอสที่จะมารับพระองค์ไปอยู่เคียงข้างในอีกไม่ช้า
แต่ละวันผ่านพ้นไปไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่องค์หญิงรอคอยคือการไปเยี่ยมเยียนวิหารของเทพอินอส เพื่อเข้าเฝ้ารูปปั้นเสมือนจริงของพระองค์ องค์หญิงเลรีอาคุกเข่าลงพร้อมกับบริวารและองครักษ์หญิงจำนวนหนึ่ง แสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนกระทบร่างองอาจสง่างามยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เทพอินอสพระองค์เปล่งประกายโดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งองค์หญิงได้พินิจมองพระองค์ใกล้ๆก็ยิ่งชื่นชมหลงใหล สิ่งเดียวที่องค์หญิงตั้งตารอคอยด้วยหัวใจเปี่ยมสุขคือวันที่เทพอินอสจะมารับตนไปเป็นพระชายา
ณ ราชวังบรุนเนน แห่งราชวงศ์วาเลรินด์ เจ้าชายฟาลนัวบัดนี้หัวใจแหลกสลาย หายตัวไปจากปราสาทเป็นเวลาสามวันสามคืน สร้างความโกลาหนแตกตื่นแก่ทุกคน ต่างออกค้นตาเจ้าชายจนกระทั่งพบร่างนอนสลบไสลมิได้สติอยู่ที่เนินเขาโล้นลูกหนึ่ง ตรงกลางนั้นมีต้นไม้ใหญ่มหึมาอายุนับพันปียืนต้นอยู่เดียวดาย กิ่งก้านแผ่ปกคลุมทับซ้อนสลับกันดุจร่างแห ด้วยเงามืดภายใต้ลำต้นงอหงิกไร้ใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆดูวังเวงขึ้นถนัดใจ ถัดจากเนินเขาลูกนี้ไปมีหุบเขาสีเทาตั้งตระหง่าน
หลังจากที่เจ้าชายกลับคืนมาสู่ปราสาท ก็กลับกลายเป็นเบื้อใบไม่ยอมพูดจาปราศรัยกับใครทั้งสิ้น พระองค์ทรงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทมไม่ยอมพบปะเจอหน้าผู้คน แม้แต่ภัตตาหารก็ไม่สนใจแลเหลียว พระฉวีพักตร์ผ่องใสกลายเป็นคล้ำซีด เหม่อมองเพียงท้องฟ้าและทะเลในฤดูหมอกน้ำค้างอันเวิ้งว้างมัวหม่น ดูเหมือนว่าน้ำพระเนตรนั้นได้เหือดแห้งหมดไปจากการหลั่งไม่ขาดสายตลอดทิวาและราตรี จนกระทั่งเจ้าชายไม่เหลือพระอัสสุชลแม้เพียงหนึ่งหยดให้รินไหลออกมาได้อีก
พระราชาเมฟาร์นาและพระราชินีริเวนด้าต่างทรงกลัดกลุ้มพระทัยเป็นห่วงพระอาการของเจ้าชายที่นับวันจะยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ จึงปรึกษาหารือกันว่าจะส่งคนไปทูลเชิญเจ้าหญิงมาลญ่าแห่งแคว้นดูนาดาล มาพำนักชั่วคราวที่ปราสาทบรุนเนนสักระยะหนึ่ง เพื่อหวังว่าจะช่วยเป็นแรงใจเยียวยาดวงหทัยที่แตกสลายของเจ้าชายฟาลนัวได้บ้าง หากว่าทั้งคู่เกิดชอบพอพระทัยกันและกันขึ้นมาก็อาจจะมีข่าวดีได้จัดพิธีอภิเษกสมรส
เนื่องจากในยามนี้แคว้นดูนาดาลเริ่มมีความไม่มั่นคงทางเศรษกิจอย่างมาก หวังพึ่งพาแคว้นซิลเวียอยู่ไม่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนชาวแอนจูเลียเป็นชนชาติที่เจริญสูงสุดในแถบตะวันตกของทวีปเวเนเกี้ยน แต่บัดนี้แคว้นซิลเวียกุมอำนาจเป็นใหญ่เหนือดินแดงทั้งสองฝั่ง แคว้นดูนาดาลจึงตอบตกลงด้วยไมตรีจิต รีบส่งขบวนเสด็จของเจ้าหญิงมาลญ่าเสด็จมาอย่างสมพระเกียรติ พร้อมข้าทาสบริวารและทหารองครักษ์ติดตามอารักขาขบวนเสด็จใกล้ชิด
เจ้าหญิงมาลญ่าเสด็จมายังห้องประทับของเจ้าชาย เมื่อแรกพบประสบพักตรก็แทบเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ว่านี่หรือคืออดีตพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงเลรีอา ผู้มีเสียงลือพระนามขจรไกลไปทั่วแคว้นแดนดิน ถึงความงดงามและสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดยากที่จะหาสตรีใดเสมือน จึงจินตนาการวาดภาพสวยหรูเอาไว้ว่า เจ้าชายฟาลนัวแห่งซิลเวีย อย่างน้อยแม้มิได้มีรูปงามเท่าเทพบุตรอินอส แต่ก็ควรมีสง่าราศรีแลจับมากกว่านี้ นางพยายามแล้วพยายามเล่าทอดพระเนตรหรี่มองพินิจดูใกล้ๆ ก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายพระเนตรพระองค์เองว่า เจ้าชายอมโรคซูบผอมไม่อาจต้านแรงลมผู้นี้น่ะหรือ คืออดีตพระคู่หมั้นของเทพีแห่งความงดงามบริสุทธิ์เลรีอา
เจ้าหญิงกระแอมถึงไอสามครั้งก่อนจะเอ่ยพระนามของอีกฝ่าย “เจ้าชายฟาลนัวเพคะ”
เจ้าชายยังคงเหม่อลอยไปไกล ไม่สนใจถึงการมาของเจ้าหญิงมาลญ่าแม้แต่น้อยนิด เจ้าหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้มพระทัย รู้สึกไม่พอพระทัยขึ้นมาที่อีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจเหมือนหักหาญเกียรติก็เริ่มโกรธขึง จึงขับร้องเพลงบทหนึ่งออกมาอย่างจนใจกลั่นแกล้ง
(มีต่อ)
One Truth Behind The Shadow [ บทที่ 2 ถอนหมั้น]
เมื่อขบวนเสด็จของเจ้าหญิงเลรีอานำพระองค์เสด็จกลับมายังนครกาลาเทีย ได้ใช้เส้นทางเดินผ่านหุบเขาคาธีน่าซึ่งเป็นหุบเขาเทพเจ้า ที่ตั้งอยู่ระหว่างสองแคว้นอันเป็นที่ประดิษฐานของมหาวิหารอังเจอลาห์ดรอสอันยิ่งใหญ่ตระการตา องค์หญิงได้แวะเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อองค์เทพเจ้าภายในวิหาร พร้อมทั้งนำดอกไม้หอมไปบูชา
เมื่อนั้นบังเกิดเหตุการประหลาดขึ้นในชั่วพริบตา กวางไพรตัวหนึ่งปรากฏกายเดินอ้อยอิ่งสง่างามเข้ามาในวิหาร เป็นกวางขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายม้า มีเขาโง้งงามดุจหิมะขาวในฤดูเหมันต์ ส่วนลำตัวนั้นปกคลุมด้วยเส้นขนทองคำ คาดว่ามิใช่กวางป่าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง จำแลงกายลงมาปรากฏในร่างสัตว์ เพื่อแสดงตนต่อหน้านาง
กวางทองคาบดอกไอวี่สีเหลืองอร่ามเล็กๆดอกหนึ่งไว้ในปาก แล้วนำมามอบให้แก่นางที่มือ เมื่อเจ้าหญิงเลรีอารับดอกไม้มาถือไว้ กวางตัวนั้นก็กระโจนหายไปอย่างลึกลับราวกับว่าหายตัวได้
พลันบังเกิดสุรเสียงก้องกังวานอันนุ่มนวลเปี่ยมด้วยพลังดังขึ้นภายในพระวิหารว่า “เลรีอา ข้า..เทพอินอส เทพเจ้าแห่งความงามสง่าและความองอาจกล้าหาญ ประสงค์จะรับเจ้าไปเป็นพระชายา เมื่อเจ้ามีอายุครบ๑๗ชันษาบริบูรณ์ เจ้าจะได้เป็นเทพีแห่งความงดงาม และความบริสุทธิ์อยู่เคียงข้างข้าตราบนิจนิรันดร์”
ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงนับสิบคู่ของเหล่าบริวารผู้ติดตามเจ้าหญิงเลรีอาเข้ามาในวิหาร ก็ปรากฏว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าที่มือของเจ้าหญิง เหนือความคาดคิดของใครทั้งหมดในที่นั้น ดอกไอวี่กลับกลายเป็นแหวนทองคำวงหนึ่ง สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าหญิงเลรีอาแทนที่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งอาณาจักร ข่าวอันเป็นมหามงคลนี้ทำให้ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเจ้าหญิงเลรีอา ราวกับว่านางได้กลายเป็นเทพธิดาแห่งความงดงามบริสุทธิ์ควรคู่กับองค์เทพพระอินอสไปแล้วฉะนั้น
ฝ่ายพระเจ้าเมฟาร์นาแห่งอาณาจักรซิลเวีย พระราชบิดาของเจ้าชายฟาลนัว เมื่อทรงทราบข่าวดังกล่าวก็มิกล้าขัดขืนพระประสงค์ของเทพเจ้า จึงยินยอมถอนหมั้นระหว่างเจ้าหญิงเลรีอากับเจ้าชายฟาลนัวแต่โดยดี
นับแต่นั้นกษัตริย์แห่งราชวงศ์มินดูรูนได้ทรงสร้างวิหารที่งดงามเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพอินอส ใกล้กับมหาวิหารแองเจอลาห์ดรอสบนหุบเขาคาธีน่าแห่งนั้น ช่างฝีมือเอกค่อยๆบรรจง สลักใบหน้างดงามของพระองค์ ริมฝีปากเผยอแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับหัตถ์ขวาที่ทอดลงเบื้องหน้า เอื้อมมารับผู้ที่พระองค์ปรารถนาให้เป็นชายา เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วทั้งอาณาจักร ถึงวิหารเทพอินอส ที่ซึ่งรูปปั้นเสมือนจริงของพระองค์ ทรงประทับอยู่อย่างสง่างาม ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเทพอินอสยิ่งขึ้นไปอีก
องค์หญิงได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดี ทรงเป็นว่าที่ชายาของเทพองค์หญิงจึงต้องปฏิบัติตามกฏที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด องค์หญิงเลรีอาจะไปเข้าเฝ้าเทพรูปปั้นของเทพอินอสที่วิหารทุกๆเจ็ดวัน เนื่องด้วยองค์หญิงทรงเป็นว่าที่พระชายาของเทพ จึงมีกฏห้ามสัมผัสบุรุษเพศ พระองค์ได้รับการปรนนิบัติเฉกเช่นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกส่งตัวไปอยู่บนหอคอยที่สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงพระองค์เดียว พร้อมกับเหล่าบริวารองค์รักษ์หญิงที่งดงามและแข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง ณ หอคอยที่ซึ่งองค์หญิงได้เพียงแต่เฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดียวดาย
เมื่อม่านราตรีคลี่คลุมผืนแผ่นฟ้า เจ้าหญิงทอดสายตาเหมอลอยมองอาทิตย์อัสดงค่อยๆเลือนลับทิวเขา เบื้องหลังคือทะเลอันสงบนิ่งทอประกายสีเงินยวงสะท้อนต้องกับแสงจันทร์ พลันครุ่นคิดถึงเจ้าชายฟาลนัวขึ้นมาในครานั้นก็อดรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวมิได้ ทราบดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะได้พบหน้าเจ้าชายอีกแล้ว เคยใช้เวลาร่วมกันมามากมาย กลับกลายเป็นความทรงจำในอดีตที่ผ่านพ้นไป องค์หญิงไม่เคยนึกสนใจเจ้าชายเกินกว่ามิตรสหาย แต่ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ภาพแห่งความทรงจำยังคงตราตรึง ประทับแน่นอยู่ภายในใจอันบริสุทธิ์งดงามขององค์หญิงไม่จืดจาง แต่องค์หญิงรู้ดีว่าจะต้องเดินทางต่อไปเช่นเดียวกับนาวาล่องผ่านกระแสคลื่นในวารี ด้วยความอาจหาญปราศจากความลังเลเดินทางสู่พระหัตถ์ของเทพอินอสที่จะมารับพระองค์ไปอยู่เคียงข้างในอีกไม่ช้า
แต่ละวันผ่านพ้นไปไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่องค์หญิงรอคอยคือการไปเยี่ยมเยียนวิหารของเทพอินอส เพื่อเข้าเฝ้ารูปปั้นเสมือนจริงของพระองค์ องค์หญิงเลรีอาคุกเข่าลงพร้อมกับบริวารและองครักษ์หญิงจำนวนหนึ่ง แสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนกระทบร่างองอาจสง่างามยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เทพอินอสพระองค์เปล่งประกายโดดเด่นเหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งองค์หญิงได้พินิจมองพระองค์ใกล้ๆก็ยิ่งชื่นชมหลงใหล สิ่งเดียวที่องค์หญิงตั้งตารอคอยด้วยหัวใจเปี่ยมสุขคือวันที่เทพอินอสจะมารับตนไปเป็นพระชายา
ณ ราชวังบรุนเนน แห่งราชวงศ์วาเลรินด์ เจ้าชายฟาลนัวบัดนี้หัวใจแหลกสลาย หายตัวไปจากปราสาทเป็นเวลาสามวันสามคืน สร้างความโกลาหนแตกตื่นแก่ทุกคน ต่างออกค้นตาเจ้าชายจนกระทั่งพบร่างนอนสลบไสลมิได้สติอยู่ที่เนินเขาโล้นลูกหนึ่ง ตรงกลางนั้นมีต้นไม้ใหญ่มหึมาอายุนับพันปียืนต้นอยู่เดียวดาย กิ่งก้านแผ่ปกคลุมทับซ้อนสลับกันดุจร่างแห ด้วยเงามืดภายใต้ลำต้นงอหงิกไร้ใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆดูวังเวงขึ้นถนัดใจ ถัดจากเนินเขาลูกนี้ไปมีหุบเขาสีเทาตั้งตระหง่าน
หลังจากที่เจ้าชายกลับคืนมาสู่ปราสาท ก็กลับกลายเป็นเบื้อใบไม่ยอมพูดจาปราศรัยกับใครทั้งสิ้น พระองค์ทรงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทมไม่ยอมพบปะเจอหน้าผู้คน แม้แต่ภัตตาหารก็ไม่สนใจแลเหลียว พระฉวีพักตร์ผ่องใสกลายเป็นคล้ำซีด เหม่อมองเพียงท้องฟ้าและทะเลในฤดูหมอกน้ำค้างอันเวิ้งว้างมัวหม่น ดูเหมือนว่าน้ำพระเนตรนั้นได้เหือดแห้งหมดไปจากการหลั่งไม่ขาดสายตลอดทิวาและราตรี จนกระทั่งเจ้าชายไม่เหลือพระอัสสุชลแม้เพียงหนึ่งหยดให้รินไหลออกมาได้อีก
พระราชาเมฟาร์นาและพระราชินีริเวนด้าต่างทรงกลัดกลุ้มพระทัยเป็นห่วงพระอาการของเจ้าชายที่นับวันจะยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ จึงปรึกษาหารือกันว่าจะส่งคนไปทูลเชิญเจ้าหญิงมาลญ่าแห่งแคว้นดูนาดาล มาพำนักชั่วคราวที่ปราสาทบรุนเนนสักระยะหนึ่ง เพื่อหวังว่าจะช่วยเป็นแรงใจเยียวยาดวงหทัยที่แตกสลายของเจ้าชายฟาลนัวได้บ้าง หากว่าทั้งคู่เกิดชอบพอพระทัยกันและกันขึ้นมาก็อาจจะมีข่าวดีได้จัดพิธีอภิเษกสมรส
เนื่องจากในยามนี้แคว้นดูนาดาลเริ่มมีความไม่มั่นคงทางเศรษกิจอย่างมาก หวังพึ่งพาแคว้นซิลเวียอยู่ไม่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนชาวแอนจูเลียเป็นชนชาติที่เจริญสูงสุดในแถบตะวันตกของทวีปเวเนเกี้ยน แต่บัดนี้แคว้นซิลเวียกุมอำนาจเป็นใหญ่เหนือดินแดงทั้งสองฝั่ง แคว้นดูนาดาลจึงตอบตกลงด้วยไมตรีจิต รีบส่งขบวนเสด็จของเจ้าหญิงมาลญ่าเสด็จมาอย่างสมพระเกียรติ พร้อมข้าทาสบริวารและทหารองครักษ์ติดตามอารักขาขบวนเสด็จใกล้ชิด
เจ้าหญิงมาลญ่าเสด็จมายังห้องประทับของเจ้าชาย เมื่อแรกพบประสบพักตรก็แทบเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ว่านี่หรือคืออดีตพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงเลรีอา ผู้มีเสียงลือพระนามขจรไกลไปทั่วแคว้นแดนดิน ถึงความงดงามและสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดยากที่จะหาสตรีใดเสมือน จึงจินตนาการวาดภาพสวยหรูเอาไว้ว่า เจ้าชายฟาลนัวแห่งซิลเวีย อย่างน้อยแม้มิได้มีรูปงามเท่าเทพบุตรอินอส แต่ก็ควรมีสง่าราศรีแลจับมากกว่านี้ นางพยายามแล้วพยายามเล่าทอดพระเนตรหรี่มองพินิจดูใกล้ๆ ก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายพระเนตรพระองค์เองว่า เจ้าชายอมโรคซูบผอมไม่อาจต้านแรงลมผู้นี้น่ะหรือ คืออดีตพระคู่หมั้นของเทพีแห่งความงดงามบริสุทธิ์เลรีอา
เจ้าหญิงกระแอมถึงไอสามครั้งก่อนจะเอ่ยพระนามของอีกฝ่าย “เจ้าชายฟาลนัวเพคะ”
เจ้าชายยังคงเหม่อลอยไปไกล ไม่สนใจถึงการมาของเจ้าหญิงมาลญ่าแม้แต่น้อยนิด เจ้าหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้มพระทัย รู้สึกไม่พอพระทัยขึ้นมาที่อีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจเหมือนหักหาญเกียรติก็เริ่มโกรธขึง จึงขับร้องเพลงบทหนึ่งออกมาอย่างจนใจกลั่นแกล้ง
(มีต่อ)