บทนำ
http://ppantip.com/topic/30247241
บทที่ 1
ชาวกาซิเนี่ยนส่วนใหญ่มีนิสัยรักสงบ และคุ้นชินอยู่กับชีวิตประจำวันอันแสนเรียบง่าย มากกว่าจะลุกขึ้นทำสิ่งที่แปลกออกไป โดยเฉพาะกับเรื่องที่เสี่ยงต่ออันตราย สิ่งใดก็ตามแต่หากอยู่เลยอาณาจักรกาลาเทียออกไปแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจของผู้คนเหล่านั้นโดยสิ้น ยังมีคำบอกเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้นบรรพกาลดังนี้ว่า ไกลออกไปทางทิศเหนือมีหุบเขาสีเทา เป็นหุบเขาพ่อมด บนยอดเขาปกคลุมด้วยเมฆดำโอบล้อมด้วยป่าเวทย์มนต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย มนุษย์คนใดที่ย่างกรายล้วนหายสาบสูญ ไม่เคยมีใครที่รอดกลับมาเลยสักคนเดียว หุบเขาอันมืดมิดที่ซึ่งแสงสว่างไม่เคยส่องถึง หุบเขาสีเทาทะมึนที่ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยนาม ตามความเชื่อที่ว่าสิ่งอัปมงคลไม่ควรกล่าวถึง เนื่องจากเคราะห์ร้ายจะบังเกิดแก่บุคคลผู้นั้น มีหายนะบางอย่างอยู่เบื้องหลังหุบเขาแห่งนั้น ซึ่งแม้แต่ทวยเทพก็มิอาจล่วงรู้ได้ คำบอกเล่าที่ผ่านมายังรุ่นต่อรุ่นได้ฝังลึกอยู่ในความเชื่อของชาวกาลันเทียอย่างยากจะเปลี่ยนแปลง
ณ ราชวังบาเรน พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์มินดูรูน พระราชินีธิลดูเรียผู้งดงามทรงประทับอยู่ที่นั่น ด้วยบัดนี้พระนางทรงพระครรภ์ได้แปดเดือนเศษแล้ว คืนหนึ่งเมื่อพระนางทรงบรรทมหลับ เทพเจ้าไดลาห์ได้ปรากฏแก่นางในฝัน พระองค์ทรงกล่าวแก่นางว่าธิดาผู้ถือกำเนิดในครรภ์ของพระนาง จะเป็นสตรีผู้มีความงามอยู่เหนือโลกทั้งสาม เสียงของนางจะกังวานใสไพเราะยิ่งกว่าลูกกระพวนหรือเสียงระฆังใดๆทั้งหมด ดวงตาของนางจะทอประกายสดใสเหนือดวงดาวทุกดวงบนผืนฟ้านี้ นางจะเป็นสตรีผู้บริสุทธิ์อ่อนโยนดุจดอกไม้เล็กๆ แต่มีหัวใจที่แกร่งดุจดั่งเพชรอีกด้วย เทพเจ้าไดลาห์ได้ประทานนามให้เจ้าหญิงน้อยว่า เลรีอา
รุ่งเช้าพระนางธิลดูเรียรีบตรัสเล่าความฝันของพระองค์ให้แก่พระเจ้าชาร์นอฟด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองต่างโอบกอดกันด้วยความยินดีปรีดา
กระทั่งวันที่พระนางธิลดูเรียประสูติพระราชธิดา ทุกคนต่างตกหลุมรักองค์หญิงตัวน้อยๆในครั้งแรกทันทีที่พบเห็น เมื่อได้ยินเสียงแรกของทารกน้อย แทนที่จะเป็นเสียงร้องไห้ แต่กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะก้องกังวานใสดุจระฆังปลุกให้ทุกคนตื่นจากฝัน เมื่อพินิจดูองค์หญิงใกล้ๆ ใครก็ตามที่ได้สบพระเนตรขององค์หญิงน้อยก็จะหัวเราะด้วยความสุขใจ แววตาใสเป็นประกายอ่อนหวานขององค์หญิงได้นำพาความสุข และเสียงหัวเราะมาสู่ทุกๆคนตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลก
เหล่าทวยเทพต่างพากันอวยพรให้องค์หญิงผู้งดงาม และด้วยคำอวยพรจากเทพเจ้าไดลาห์ ตรงสวนด้านหน้าของราชวังบาเรน จึงบังเกิดต้นไม้ผุดขึ้นจากดิน เติบใหญ่ไปพร้อมกับองค์หญิง ออกดอกสีเงินสลับทองเปล่งประกายระยับ ส่งกลิ่นหอมละมุนยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆทั้งหมดในพระราชอุทยานแห่งนี้
องค์หญิงตัวน้อยเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่น่ารักเปี่ยมเสน่ห์ ไม่ว่าองค์หญิงจะเคลื่อนไหวด้วยกริยาอันใดล้วนดูเป็นธรรมชาติอ่อนหวานน่าดูชม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนถึงสิริโฉมอันงดงาม และน้ำเสียงกังวานเพราะขององค์หญิง
น้ำเสียงที่ทรงตรัสนั้นกังวานใสไพเราะอย่างยิ่ง รอยยิ้มก็แสนบริสุทธิ์ ดุจดอกไม้แรกบานท่ามกลางแสงแดดอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิแรกเริ่ม ที่สายฝนและหิมะไม่เคยย่างกรายสัมผัส
องค์หญิงงดงามเจิดจรัสมากยิ่งขึ้นทุกวัน กระทั่งเริ่มย่างเข้าสู่วัยสาว แม้ชายใดได้ฟังน้ำเสียงที่ตรัสสู่โสตประสาทเพียงเท่านั้น ก็จะถึงกับเก็บไปฝันถึงเสียงอันไพเราะกังวานก้องไม่รู้หาย ยิ่งได้พบยิ่งหลงไหลในความงามขององค์หญิง แววตาหวานนิ่งคู่นั้นจะส่งประกายงดงามแห่งความสุข สะท้อนมาจากความงดงามก้นบึ้งของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรแลเห็นในทุกสรรพสิ่งรอบกาย องค์หญิงผู้อ่อนโยนทรงเป็นที่รักใคร่ของเหล่าทวยเทพ มนุษย์และสัตว์
นกตัวน้อยมักปรากฏว่าบินมาเกาะที่พระอังสาขององค์หญิงอยู่เสมอ เมื่อทรงเสด็จไปประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานหลวง ซึ่งมีดอกไม้บานตลอดฤดูกาล เนื่องจากมีดอกไม้หลายหลากชนิดถูกนำมาปลูกรวมกันเอาไว้ในสวนสวรรค์แห่งนี้ ต่างผลัดเปลี่ยนกันบานสลับกันโรยราเป็นเช่นนี้ทุกปี ทำให้มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ทุกฤดูกาลอันยาวนาน อย่างน้อยต้องมีดอกไม้หนึ่งชนิดที่ยังคงเบ่งบานแม้ในฤดูเหมันต์ซึ่งมีหิมะขาวโปรยปราย
ใครๆต่างเปรียบเปรยองค์หญิงเลรีอาเข้ากับดอกไม้ที่สวยงามที่สุดแห่งฤดูกาลนั้น แต่ทว่าดอกไม้ อันที่จริงเป็นเพียงสิ่งสมมุติอันกระจ้อยร่อยและบอบบางยิ่ง ไม่เพียงพอจะกล่าวถึงความงดงามแท้จริงขององค์หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะได้สัมผัส น้อยคนนักจะมีโอกาสได้พบปะพระพักตร์ตรงๆ ใครก็ตามที่ได้สบพระเนตรนิ่งของพระองค์ ต่างก็ตระหนักรู้ได้ทันทีว่า ภายใต้แววตาที่อ่อนโยนยังมีประกายของความแข็งแกร่งแฝงอยู่ ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงเด็ดเดี่ยวในจิตใจ อีกทั้งยังมีสติปัญญาอันชานฉลาด และวาจาเฉกเช่นนักปราชญ์อีกด้วย เจ้าหญิงเลรีอาจึงนับว่าเป็นบุปผาชาติที่งามพร้อมหาที่ใดเปรียบเสมือน
“ท่านแพ้ข้าแล้วล่ะ เจ้าชายฟาลนัว” เจ้าหญิงเลรีอาเอ่ยน้ำเสียงกังวานสดใส ขยับหมากควีนสีขาวตัวสุดท้ายรุกฆาตตัวหมากคิงส์สีดำบนกระดาน
“หมากกระดานนี้เจ้าชายถูกหม่อมฉันกินเรียบหมดแล้วเพคะ ยอมรับเสียเถอะ ว่าเจ้าชายไม่มีวันเอาชนะหม่อมฉันได้ เล่นกันมา28ครั้งก็แพ้28คราเช่นเคย”
“เอรีอา หากเจ้าไม่รู้จักแกล้งโง่เสียบ้างแล้วละก็ ไฉนเลยจะเป็นพระชายาที่น่ารักน่าเอ็นดูของพระสวามีได้” เจ้าชายหนุ่มแห่งซิลเวียกล่าวน้ำเสียงดุดันสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าแววตาของเขากลับมีประกายแจ่มใส ไม่ถือสาหาความจริงจังแต่อย่างไร อันที่จริงออกจะรักใคร่เอ็นดูเจ้าหญิงเสียเต็มประดาด้วยซ้ำ
“หากอิสตรีต้องมีสติปัญญาด้อยกว่า จึงจะเป็นที่รักใคร่ละก็ หม่อมฉันคงไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะถ้าหม่อมฉันได้อภิเษกสมรสเมื่อไร มีพระสวามีผู้แสนดีคอยดูแลเอาใจใส่อยู่ไม่ห่างหาย ประเดี๋ยวความรักก็จะช่วยให้หม่อมฉันฉลาดน้อยลงเอง เพราะความรักมักทำให้คนเฉลียวฉลาดกลับกลายเป็นคนโง่งม เห็นเงาจันทร์วารี เป็นบุปผาในคันฉาย คนสายตาดีกลับกลายเป็นคนตาบอดไปได้”
“ยังคงเป็นเจ้าหญิงนักปรัชญา ผู้ฉลาดเฉลียวเกินอิสตรีไม่เคยเปลี่ยน แต่ว่า มีสิ่งหนึ่งดูเปลี่ยนไป เหมือนว่ามีมากขึ้นกว่าเก่า…”
“อะไรหรือเพคะ?”
“หน้าอกของเจ้าไงล่ะ”
เจ้าหญิงดีดนิ้วเรียวงามใส่ตัวหมากคิงส์สีขาวบนกระดาน กระเด็นปลิวไปถูกเบ้าตาของเจ้าชาย ที่จ้องมองพระวรกายของพระองค์ในระดับต่ำกว่าไหปลาร้าอย่างเปิดเผย เจ้าชายเอามือปิดหน้าทำตาปะหลักปะเหลือกคร่ำครวญร่ำร้องโอดโอยบอกกับเจ้าหญิงว่า “ที่แท้เจ้าประสงค์ให้พระสวามีในอนาคตของเจ้าเองเป็นผู้พิการทางสายตาหรอกรึนี่ ใจร้ายที่สุด”
“หากว่าพระสวามีเป็นผู้พิการทางสายตา แต่วาจาน่าฟังกว่านี้ หม่อมฉันก็ไม่รังเกียจเพคะ”
เจ้าหญิงเลรีอาป้องปากหัวเราะออกมา แม้กระทั่งเสียงหัวเราะยังไพเราะกังวานสดใสราวกับลูกกระพวนชวนให้ผ่อนคลาย เป็นที่ขบขันกลั้นน้ำตาของเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนรอถวายการรับใช้อยู่ภายในห้อง
เจ้าหญิงมีความเป็นผู้ใหญ่และเฉลียวฉลาดทำให้เป็นคนคิดมากเกินไปในบางครั้ง เจ้าหญิงค่อนข้างจริงจังกับทุกๆเรื่อง ทำสิ่งใดแล้วจะต้องกระทำถึงที่สุดให้สำเร็จลุล่วงจนกระทั่งสมบูรณ์แบบ มิเป็นเช่นที่ตั้งใจเอาไว้ก็จะผิดหวังจนซึมหงอย ในขณะที่เจ้าชายมีอุปนิสัยขี้เล่นเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน เย้าแหย่เจ้าหญิงทำให้พระองค์หัวเราะได้อยู่เสมอ จึงทำให้ทั้งสองพระองค์เข้ากันได้ดีในส่วนนี้
แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งเจ้าชายฟาลนัว ทรงมีความเป็นเด็กสูงกว่า แม้มีชันษาใกล้เคียงกันแต่ความคิดไม่ลึกซึ้งแตกฉานเช่นเจ้าหญิง ทรงเอาแต่พระอารมณ์เป็นที่ตั้ง พระราชกรณียกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายงานให้ ก็มิได้ใส่ใจศึกษารายละเอียดเท่าที่ควร พระองค์ทรงมีความสนใจเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าหญิงเลรีอาเท่านั้น เป็นที่น่าหนักพระทัยของพระราชบิดาและพระราชชนนียิ่งนัก ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายหนุ่มผู้เป็นความหวังเดียวของราชวงศ์วาเลรินด์ ซึ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะต้องขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์ แต่ยังคงตามติดเจ้าหญิงไม่ยอมห่างจนไม่สนใจพระราชกรณียกิจอันใดทั้งสิ้น
เจ้าหญิงเลรีอาทรงเป็นพระคู่หมั้นของเจ้าชายแห่งซิลเวีย อันเป็นข้อตกลงทางการทูตระหว่างสองแคว้น ตั้งแต่ก่อนที่พระมารดาจะประสูติองค์หญิงเสียอีก พระราชาผู้เป็นราชบิดาของทั้งสองฝ่าย ต่างพาพระธิดาและพระโอรสมาทำความรู้จักกันตั้งแต่ครั้นพระเยาว์ ทั้งสองถูกนำมาพบปะกันตั้งแต่ยังเป็นทารกนอนนิทราไม่ลืมตาอยู่ในอ้อมอกของนางนม เนื่องจากทั้งคู่มีชันษาใกล้กันจึงกลายมาเป็นมิตรสหายสามารถเข้ากันได้ดีอย่างสนิทสนม แม้ว่าในบางครั้งอาจมีขัดอกขัดใจไม่ลงรอยกันบ้างในบ้างคราว แต่เจ้าชายก็มักเป็นฝ่ายยินยอมพร้อมตามคอยเอาอกเอาใจเจ้าหญิงอยู่เสมอ
ยามนั้นเป็นเดือนแรกของปีเทวศักราชที่ ๑๕๓๔ ปลายฤดูเหมันต์ เจ้าชายแห่งซิลเวียมาพำนักเป็นแขกบ้านแขกเมืองของแคว้นกาลาเทียอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ณ ราชวังบาเรน พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์มินดูรูน ทรงติดตามเจ้าหญิงเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของราษฎรและเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวกาลาเทียเพราะไม่ประสงค์จะห่างจากเจ้าหญิงมากกว่าจะสนใจศึกษาหาความรู้จริงจัง ก่อนจะเสด็จกลับโดยทรงเชื้อเชิญให้องค์หญิงเลรีอาไปพำนัก ณ ราชวังบรุนเนน พระราชวังหลวงของราชวงศ์วาเลรินด์แห่งซิลเวียเป็นเวลาอีกหนึ่งเดือนเช่นกัน
ยามนี้เป็นเดือนสองต้นฤดูวสันต์ ดอกไม้กำลังผลิบานทั่วราชอุทยานหลวง ในพระราชวังบรุนเนนอันงดงามใหญ่โตตระการตา
องค์หญิงประทับอยู่ริมระเบียงปราสาท ชื่นชมอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นทิวเขาท่ามกลางฟ้าใส เบื้องหลังคือทะเลอันสงบนิ่งทอประกายสีเขียวครามล้ำลึก องค์หญิงได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดีดุจเพชรล้ำค่าน้ำหนึ่ง
เจ้าชายฟาลนัวแม้จะมีวาจาคึกคะนองชอบพูดเย้าแหย่กับเจ้าหญิงอยู่เป็นนิจ แต่ความจริงพระองค์เป็นชายหนุ่มผู้แสนจะขี้อาย ทั้งยังมีความเป็นสุภาพบุรุษเต็มเปี่ยม พระองค์ไม่เคยล่วงเกินสัมผัสต้องตัวเจ้าหญิงเลย อย่างมากก็แค่ปลายนิ้วมือ พระองค์มีความสุขที่จะเฝ้ามองเจ้าหญิงอยู่ห่างๆเช่นเดียวกับ ณ เวลานี้ ทรงทอดพระเนตรดูน้ำทะเลและท้องฟ้ามาบรรจบรวมกันตรงกลาง เบื้องหลังภาพของเทพธิดา เลรีอา ผู้งดงามราวกับภาพวาด พระองค์มีความรักใคร่ในตัวเจ้าหญิงมากมายจนล้นใจ แต่ไม่เคยแม้กล่าวคำพูดคำใดออกมา เนื่องจากเจ้าหญิงเองก็ไม่เคยแสดงความสนพระทัยอะไรในตัวพระองค์เลย เช่นเดียวกันเจ้าหญิงไม่เคยตั้งคำถามแม้กับตนเองด้วยซ้ำว่า ‘ความรักคืออะไร?’ เพราะคำตอบปรากฏเด่นชัดตรงหน้าอยู่แล้วว่า ความรักนั้นก็คือพันธะหน้าที่อันสำคัญที่จะต้องรักษามิตรภาพของสองแคว้น สมานช่องว่างที่เหลือให้สนิทแนบเป็นทองแผ่นเดียวกัน เพื่อปกป้องความมั่นคงของอาณาจักรกาลาเทียให้คงอยู่สืบไป
One Truth Behind The Shadow [ บทที่ 1 ]
บทที่ 1
ชาวกาซิเนี่ยนส่วนใหญ่มีนิสัยรักสงบ และคุ้นชินอยู่กับชีวิตประจำวันอันแสนเรียบง่าย มากกว่าจะลุกขึ้นทำสิ่งที่แปลกออกไป โดยเฉพาะกับเรื่องที่เสี่ยงต่ออันตราย สิ่งใดก็ตามแต่หากอยู่เลยอาณาจักรกาลาเทียออกไปแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจของผู้คนเหล่านั้นโดยสิ้น ยังมีคำบอกเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้นบรรพกาลดังนี้ว่า ไกลออกไปทางทิศเหนือมีหุบเขาสีเทา เป็นหุบเขาพ่อมด บนยอดเขาปกคลุมด้วยเมฆดำโอบล้อมด้วยป่าเวทย์มนต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย มนุษย์คนใดที่ย่างกรายล้วนหายสาบสูญ ไม่เคยมีใครที่รอดกลับมาเลยสักคนเดียว หุบเขาอันมืดมิดที่ซึ่งแสงสว่างไม่เคยส่องถึง หุบเขาสีเทาทะมึนที่ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยนาม ตามความเชื่อที่ว่าสิ่งอัปมงคลไม่ควรกล่าวถึง เนื่องจากเคราะห์ร้ายจะบังเกิดแก่บุคคลผู้นั้น มีหายนะบางอย่างอยู่เบื้องหลังหุบเขาแห่งนั้น ซึ่งแม้แต่ทวยเทพก็มิอาจล่วงรู้ได้ คำบอกเล่าที่ผ่านมายังรุ่นต่อรุ่นได้ฝังลึกอยู่ในความเชื่อของชาวกาลันเทียอย่างยากจะเปลี่ยนแปลง
ณ ราชวังบาเรน พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์มินดูรูน พระราชินีธิลดูเรียผู้งดงามทรงประทับอยู่ที่นั่น ด้วยบัดนี้พระนางทรงพระครรภ์ได้แปดเดือนเศษแล้ว คืนหนึ่งเมื่อพระนางทรงบรรทมหลับ เทพเจ้าไดลาห์ได้ปรากฏแก่นางในฝัน พระองค์ทรงกล่าวแก่นางว่าธิดาผู้ถือกำเนิดในครรภ์ของพระนาง จะเป็นสตรีผู้มีความงามอยู่เหนือโลกทั้งสาม เสียงของนางจะกังวานใสไพเราะยิ่งกว่าลูกกระพวนหรือเสียงระฆังใดๆทั้งหมด ดวงตาของนางจะทอประกายสดใสเหนือดวงดาวทุกดวงบนผืนฟ้านี้ นางจะเป็นสตรีผู้บริสุทธิ์อ่อนโยนดุจดอกไม้เล็กๆ แต่มีหัวใจที่แกร่งดุจดั่งเพชรอีกด้วย เทพเจ้าไดลาห์ได้ประทานนามให้เจ้าหญิงน้อยว่า เลรีอา
รุ่งเช้าพระนางธิลดูเรียรีบตรัสเล่าความฝันของพระองค์ให้แก่พระเจ้าชาร์นอฟด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองต่างโอบกอดกันด้วยความยินดีปรีดา
กระทั่งวันที่พระนางธิลดูเรียประสูติพระราชธิดา ทุกคนต่างตกหลุมรักองค์หญิงตัวน้อยๆในครั้งแรกทันทีที่พบเห็น เมื่อได้ยินเสียงแรกของทารกน้อย แทนที่จะเป็นเสียงร้องไห้ แต่กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะก้องกังวานใสดุจระฆังปลุกให้ทุกคนตื่นจากฝัน เมื่อพินิจดูองค์หญิงใกล้ๆ ใครก็ตามที่ได้สบพระเนตรขององค์หญิงน้อยก็จะหัวเราะด้วยความสุขใจ แววตาใสเป็นประกายอ่อนหวานขององค์หญิงได้นำพาความสุข และเสียงหัวเราะมาสู่ทุกๆคนตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลก
เหล่าทวยเทพต่างพากันอวยพรให้องค์หญิงผู้งดงาม และด้วยคำอวยพรจากเทพเจ้าไดลาห์ ตรงสวนด้านหน้าของราชวังบาเรน จึงบังเกิดต้นไม้ผุดขึ้นจากดิน เติบใหญ่ไปพร้อมกับองค์หญิง ออกดอกสีเงินสลับทองเปล่งประกายระยับ ส่งกลิ่นหอมละมุนยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆทั้งหมดในพระราชอุทยานแห่งนี้
องค์หญิงตัวน้อยเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่น่ารักเปี่ยมเสน่ห์ ไม่ว่าองค์หญิงจะเคลื่อนไหวด้วยกริยาอันใดล้วนดูเป็นธรรมชาติอ่อนหวานน่าดูชม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนถึงสิริโฉมอันงดงาม และน้ำเสียงกังวานเพราะขององค์หญิง
น้ำเสียงที่ทรงตรัสนั้นกังวานใสไพเราะอย่างยิ่ง รอยยิ้มก็แสนบริสุทธิ์ ดุจดอกไม้แรกบานท่ามกลางแสงแดดอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิแรกเริ่ม ที่สายฝนและหิมะไม่เคยย่างกรายสัมผัส
องค์หญิงงดงามเจิดจรัสมากยิ่งขึ้นทุกวัน กระทั่งเริ่มย่างเข้าสู่วัยสาว แม้ชายใดได้ฟังน้ำเสียงที่ตรัสสู่โสตประสาทเพียงเท่านั้น ก็จะถึงกับเก็บไปฝันถึงเสียงอันไพเราะกังวานก้องไม่รู้หาย ยิ่งได้พบยิ่งหลงไหลในความงามขององค์หญิง แววตาหวานนิ่งคู่นั้นจะส่งประกายงดงามแห่งความสุข สะท้อนมาจากความงดงามก้นบึ้งของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรแลเห็นในทุกสรรพสิ่งรอบกาย องค์หญิงผู้อ่อนโยนทรงเป็นที่รักใคร่ของเหล่าทวยเทพ มนุษย์และสัตว์
นกตัวน้อยมักปรากฏว่าบินมาเกาะที่พระอังสาขององค์หญิงอยู่เสมอ เมื่อทรงเสด็จไปประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานหลวง ซึ่งมีดอกไม้บานตลอดฤดูกาล เนื่องจากมีดอกไม้หลายหลากชนิดถูกนำมาปลูกรวมกันเอาไว้ในสวนสวรรค์แห่งนี้ ต่างผลัดเปลี่ยนกันบานสลับกันโรยราเป็นเช่นนี้ทุกปี ทำให้มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ทุกฤดูกาลอันยาวนาน อย่างน้อยต้องมีดอกไม้หนึ่งชนิดที่ยังคงเบ่งบานแม้ในฤดูเหมันต์ซึ่งมีหิมะขาวโปรยปราย
ใครๆต่างเปรียบเปรยองค์หญิงเลรีอาเข้ากับดอกไม้ที่สวยงามที่สุดแห่งฤดูกาลนั้น แต่ทว่าดอกไม้ อันที่จริงเป็นเพียงสิ่งสมมุติอันกระจ้อยร่อยและบอบบางยิ่ง ไม่เพียงพอจะกล่าวถึงความงดงามแท้จริงขององค์หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะได้สัมผัส น้อยคนนักจะมีโอกาสได้พบปะพระพักตร์ตรงๆ ใครก็ตามที่ได้สบพระเนตรนิ่งของพระองค์ ต่างก็ตระหนักรู้ได้ทันทีว่า ภายใต้แววตาที่อ่อนโยนยังมีประกายของความแข็งแกร่งแฝงอยู่ ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงเด็ดเดี่ยวในจิตใจ อีกทั้งยังมีสติปัญญาอันชานฉลาด และวาจาเฉกเช่นนักปราชญ์อีกด้วย เจ้าหญิงเลรีอาจึงนับว่าเป็นบุปผาชาติที่งามพร้อมหาที่ใดเปรียบเสมือน
“ท่านแพ้ข้าแล้วล่ะ เจ้าชายฟาลนัว” เจ้าหญิงเลรีอาเอ่ยน้ำเสียงกังวานสดใส ขยับหมากควีนสีขาวตัวสุดท้ายรุกฆาตตัวหมากคิงส์สีดำบนกระดาน
“หมากกระดานนี้เจ้าชายถูกหม่อมฉันกินเรียบหมดแล้วเพคะ ยอมรับเสียเถอะ ว่าเจ้าชายไม่มีวันเอาชนะหม่อมฉันได้ เล่นกันมา28ครั้งก็แพ้28คราเช่นเคย”
“เอรีอา หากเจ้าไม่รู้จักแกล้งโง่เสียบ้างแล้วละก็ ไฉนเลยจะเป็นพระชายาที่น่ารักน่าเอ็นดูของพระสวามีได้” เจ้าชายหนุ่มแห่งซิลเวียกล่าวน้ำเสียงดุดันสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าแววตาของเขากลับมีประกายแจ่มใส ไม่ถือสาหาความจริงจังแต่อย่างไร อันที่จริงออกจะรักใคร่เอ็นดูเจ้าหญิงเสียเต็มประดาด้วยซ้ำ
“หากอิสตรีต้องมีสติปัญญาด้อยกว่า จึงจะเป็นที่รักใคร่ละก็ หม่อมฉันคงไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะถ้าหม่อมฉันได้อภิเษกสมรสเมื่อไร มีพระสวามีผู้แสนดีคอยดูแลเอาใจใส่อยู่ไม่ห่างหาย ประเดี๋ยวความรักก็จะช่วยให้หม่อมฉันฉลาดน้อยลงเอง เพราะความรักมักทำให้คนเฉลียวฉลาดกลับกลายเป็นคนโง่งม เห็นเงาจันทร์วารี เป็นบุปผาในคันฉาย คนสายตาดีกลับกลายเป็นคนตาบอดไปได้”
“ยังคงเป็นเจ้าหญิงนักปรัชญา ผู้ฉลาดเฉลียวเกินอิสตรีไม่เคยเปลี่ยน แต่ว่า มีสิ่งหนึ่งดูเปลี่ยนไป เหมือนว่ามีมากขึ้นกว่าเก่า…”
“อะไรหรือเพคะ?”
“หน้าอกของเจ้าไงล่ะ”
เจ้าหญิงดีดนิ้วเรียวงามใส่ตัวหมากคิงส์สีขาวบนกระดาน กระเด็นปลิวไปถูกเบ้าตาของเจ้าชาย ที่จ้องมองพระวรกายของพระองค์ในระดับต่ำกว่าไหปลาร้าอย่างเปิดเผย เจ้าชายเอามือปิดหน้าทำตาปะหลักปะเหลือกคร่ำครวญร่ำร้องโอดโอยบอกกับเจ้าหญิงว่า “ที่แท้เจ้าประสงค์ให้พระสวามีในอนาคตของเจ้าเองเป็นผู้พิการทางสายตาหรอกรึนี่ ใจร้ายที่สุด”
“หากว่าพระสวามีเป็นผู้พิการทางสายตา แต่วาจาน่าฟังกว่านี้ หม่อมฉันก็ไม่รังเกียจเพคะ”
เจ้าหญิงเลรีอาป้องปากหัวเราะออกมา แม้กระทั่งเสียงหัวเราะยังไพเราะกังวานสดใสราวกับลูกกระพวนชวนให้ผ่อนคลาย เป็นที่ขบขันกลั้นน้ำตาของเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนรอถวายการรับใช้อยู่ภายในห้อง
เจ้าหญิงมีความเป็นผู้ใหญ่และเฉลียวฉลาดทำให้เป็นคนคิดมากเกินไปในบางครั้ง เจ้าหญิงค่อนข้างจริงจังกับทุกๆเรื่อง ทำสิ่งใดแล้วจะต้องกระทำถึงที่สุดให้สำเร็จลุล่วงจนกระทั่งสมบูรณ์แบบ มิเป็นเช่นที่ตั้งใจเอาไว้ก็จะผิดหวังจนซึมหงอย ในขณะที่เจ้าชายมีอุปนิสัยขี้เล่นเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน เย้าแหย่เจ้าหญิงทำให้พระองค์หัวเราะได้อยู่เสมอ จึงทำให้ทั้งสองพระองค์เข้ากันได้ดีในส่วนนี้
แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งเจ้าชายฟาลนัว ทรงมีความเป็นเด็กสูงกว่า แม้มีชันษาใกล้เคียงกันแต่ความคิดไม่ลึกซึ้งแตกฉานเช่นเจ้าหญิง ทรงเอาแต่พระอารมณ์เป็นที่ตั้ง พระราชกรณียกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายงานให้ ก็มิได้ใส่ใจศึกษารายละเอียดเท่าที่ควร พระองค์ทรงมีความสนใจเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าหญิงเลรีอาเท่านั้น เป็นที่น่าหนักพระทัยของพระราชบิดาและพระราชชนนียิ่งนัก ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายหนุ่มผู้เป็นความหวังเดียวของราชวงศ์วาเลรินด์ ซึ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะต้องขึ้นครองราชสมบัติแทนพระองค์ แต่ยังคงตามติดเจ้าหญิงไม่ยอมห่างจนไม่สนใจพระราชกรณียกิจอันใดทั้งสิ้น
เจ้าหญิงเลรีอาทรงเป็นพระคู่หมั้นของเจ้าชายแห่งซิลเวีย อันเป็นข้อตกลงทางการทูตระหว่างสองแคว้น ตั้งแต่ก่อนที่พระมารดาจะประสูติองค์หญิงเสียอีก พระราชาผู้เป็นราชบิดาของทั้งสองฝ่าย ต่างพาพระธิดาและพระโอรสมาทำความรู้จักกันตั้งแต่ครั้นพระเยาว์ ทั้งสองถูกนำมาพบปะกันตั้งแต่ยังเป็นทารกนอนนิทราไม่ลืมตาอยู่ในอ้อมอกของนางนม เนื่องจากทั้งคู่มีชันษาใกล้กันจึงกลายมาเป็นมิตรสหายสามารถเข้ากันได้ดีอย่างสนิทสนม แม้ว่าในบางครั้งอาจมีขัดอกขัดใจไม่ลงรอยกันบ้างในบ้างคราว แต่เจ้าชายก็มักเป็นฝ่ายยินยอมพร้อมตามคอยเอาอกเอาใจเจ้าหญิงอยู่เสมอ
ยามนั้นเป็นเดือนแรกของปีเทวศักราชที่ ๑๕๓๔ ปลายฤดูเหมันต์ เจ้าชายแห่งซิลเวียมาพำนักเป็นแขกบ้านแขกเมืองของแคว้นกาลาเทียอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ณ ราชวังบาเรน พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์มินดูรูน ทรงติดตามเจ้าหญิงเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของราษฎรและเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวกาลาเทียเพราะไม่ประสงค์จะห่างจากเจ้าหญิงมากกว่าจะสนใจศึกษาหาความรู้จริงจัง ก่อนจะเสด็จกลับโดยทรงเชื้อเชิญให้องค์หญิงเลรีอาไปพำนัก ณ ราชวังบรุนเนน พระราชวังหลวงของราชวงศ์วาเลรินด์แห่งซิลเวียเป็นเวลาอีกหนึ่งเดือนเช่นกัน
ยามนี้เป็นเดือนสองต้นฤดูวสันต์ ดอกไม้กำลังผลิบานทั่วราชอุทยานหลวง ในพระราชวังบรุนเนนอันงดงามใหญ่โตตระการตา
องค์หญิงประทับอยู่ริมระเบียงปราสาท ชื่นชมอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นทิวเขาท่ามกลางฟ้าใส เบื้องหลังคือทะเลอันสงบนิ่งทอประกายสีเขียวครามล้ำลึก องค์หญิงได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดีดุจเพชรล้ำค่าน้ำหนึ่ง
เจ้าชายฟาลนัวแม้จะมีวาจาคึกคะนองชอบพูดเย้าแหย่กับเจ้าหญิงอยู่เป็นนิจ แต่ความจริงพระองค์เป็นชายหนุ่มผู้แสนจะขี้อาย ทั้งยังมีความเป็นสุภาพบุรุษเต็มเปี่ยม พระองค์ไม่เคยล่วงเกินสัมผัสต้องตัวเจ้าหญิงเลย อย่างมากก็แค่ปลายนิ้วมือ พระองค์มีความสุขที่จะเฝ้ามองเจ้าหญิงอยู่ห่างๆเช่นเดียวกับ ณ เวลานี้ ทรงทอดพระเนตรดูน้ำทะเลและท้องฟ้ามาบรรจบรวมกันตรงกลาง เบื้องหลังภาพของเทพธิดา เลรีอา ผู้งดงามราวกับภาพวาด พระองค์มีความรักใคร่ในตัวเจ้าหญิงมากมายจนล้นใจ แต่ไม่เคยแม้กล่าวคำพูดคำใดออกมา เนื่องจากเจ้าหญิงเองก็ไม่เคยแสดงความสนพระทัยอะไรในตัวพระองค์เลย เช่นเดียวกันเจ้าหญิงไม่เคยตั้งคำถามแม้กับตนเองด้วยซ้ำว่า ‘ความรักคืออะไร?’ เพราะคำตอบปรากฏเด่นชัดตรงหน้าอยู่แล้วว่า ความรักนั้นก็คือพันธะหน้าที่อันสำคัญที่จะต้องรักษามิตรภาพของสองแคว้น สมานช่องว่างที่เหลือให้สนิทแนบเป็นทองแผ่นเดียวกัน เพื่อปกป้องความมั่นคงของอาณาจักรกาลาเทียให้คงอยู่สืบไป