ต้อนรับสู่ปราสาทพ่อมด
องค์หญิงลืมตาขึ้นพบว่าตนนอนอยู่บนเตียง มิใช่เตียงใหญ่หรูหราอย่างเคยแต่เป็นเตียงเก่ารูปทรงแปลกตา กำแพงห้องนั้นวางเรียงด้วยท่อนหินสีเทา
“รู้สึกตัวแล้วหรือ เจ้าหญิงเลรีอา” ชายหนุ่มซึ่งนั่งเฝ้าองค์หญิงตรงพื้นข้างๆเตียงมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่อองค์หญิงหันไปมองทั้งตะลึงพรึ่งเพลิดทั้งยินดีไม่คาดฝัน พลิกกายขึ้นมานั่งรวดเร็วกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เจ้าชายฟาลนัว ใช่ท่านจริงๆหรือนี่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก” เจ้าชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ท่าทางกลับดูหงอยหงอเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“แล้วที่นี่คือที่ไหน?” องค์หญิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ที่นี่คือปราสาทแห่งเวทย์มนตร์”
“แล้วเหตุใดท่านจึงมาอยู่ตรงนี้ได้?”
“ปราสาทแห่งนี้คือบ้านของข้า นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าคือข้ารับใช้ของท่านพ่อมด มีหน้าที่คอยเฝ้าเจ้าหญิงไม่ให้หนีไปไหน”
“มิให้หนีไปไหน! หมายความว่า ข้าถูกจับตัวมากักขังไว้เช่นนั้นหรือ” องค์หญิงเอ่ยอย่างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น “นี่มันอะไรกัน แล้วพ่อมดเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายกันแน่ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นข้ารับใช้ของพ่อมดได้”
“ท่านพ่อมดเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์สูงที่สุดในทวีปเวเนเกี้ยน ไม่ว่าใครต่างก็เคารพยำเกรงในอำนาจเวทมนตร์ของท่านด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งเทพเจ้าเองก็ยังกริ่งเกรง เทพอินอสจะไม่มีวันได้ตัวเจ้า หากเจ้าอยู่ที่นี่กับเราตลอดไป ไม่ต้องกลัวนะข้าจะดูแลเจ้าเอง”
“เหลวไหล จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า ให้ข้าอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นนั้นน่ะหรือ” องค์หญิงแค่นหัวเราะ “ปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ท่านหรือข้าสมควรอยู่ เราหนีไปจากที่นี่กันเถิด เจ้าชายฟาลเนีย”
“ไม่” เจ้าชายปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่แม้กระทั่งแลเหลียวสายตาวิงวอนของเจ้าหญิง ที่มองมาฉายแววเคืองขุ่นแกมผิดหวัง องค์หญิงถอนใจแล้วแล้วเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่าง
สุดขอบฟ้าคือหุบเขาอันมืดครึ้ม เบื้องล่างกลับปกคลุมด้วยป่าที่ร่มรื่น ใบไม้แต่ละใบส่องประกายเป็นมันวาวเขียวขลับ ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่โดยรอบต่างช่วยให้บริเวณนั้นดูสดชื่นจนน่าแปลกใจ ผีเสื้อตัวเล็กสีสันตัดกันบินไล่คลอเคลียผ่านไป แมลงต่างๆพากันวิ่งเต้นด้วยชื่นชมในความงามของช่อดอกไม้และใบหญ้าเขียวสด
เจ้าชายสังเกตแววตาขององค์หญิงที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็เกือบทักไปว่า ‘องค์หญิงคงอยากออกไปเดินเล่นกระมัง’ แต่แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าตนมิได้อยู่ในฐานะที่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจ จึงได้แต่ก้มหน้านิ่ง เจ้าชายเหลือบมององค์หญิงเงียบๆอยู่เบื้องหลัง เส้นผมขององค์หญิงต้องกับแสงแดดงดงามเป็นสีน้ำตาลอมแดงประกายบลอนด์รับกับต้นคอระหง ต้นแขนเรียวงามต้องกับแสงแดดดูเปล่งปลั่ง เหยียดแนบร่างที่นั่งอยู่ให้ตั้งตรงในท่าที่งามสง่า ใบหน้าเหม่อลอยนั้นดูเศร้าสร้อย ด้วยดวงตาหวานเศร้าเป็นประกายสีเขียวหม่น
ความสวยเศร้าขององค์หญิงในยามนี้ ทำให้เจ้าชายตะลึงนิ่งไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนตีบตัน รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ด้วยแรงปรารถนาที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ไม่กล้าแสดงออกมา เข้าไปคุกเข่าลงข้างๆ ดึงมือของเจ้าหญิงมากุมไว้ จูบมือของเจ้าหญิง
“เจ้าหญิงเลรีอา ข้า…”
เจ้าชายหยุดชะงักด้วยเสียงประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างที่ย่างกรายเข้ามาในห้อง บุรุษในชุดคลุมยาวสีเทาเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า ผ้าคลุมเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้ายาวเรียว และนัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องตรงมายังร่างขององค์หญิง
“ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของข้า องค์หญิงเลรีอาผู้งดงาม”
เจ้าหญิงยืนนิ่งเบื้องหลังเจ้าชายที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
“หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว ออกไปได้” พ่อมดสั่ง
เจ้าชายฟาลนัวยังคงยืนนิ่ง กำมือไว้แน่น ค่อยๆขยับร่างเข้าไปชิดองค์หญิงที่อยู่ข้างหลัง คล้ายพยายามช่วยกันมิให้พ่อมดเข้ามาใกล้
“ออกไปเสียสิ” พ่อลดเสียงต่ำคล้ายคำรามขู่ ทว่าเจ้าชายยังคงยืนนิ่ง
พ่อมดร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “โอ้! เป็นทุกทีเห็นจะรีบหนีกุลีกุจรออกจากห้องนี้ไปแล้ว คนขี้ขลาดอย่างเจ้า มาวันนี้กลับยืนเซ่อ ไม่ได้ยินที่ข้าพูด หรือว่าเจ้าคิดจะขัดคำสั่ง”
พ่อมดใช้ไม้เท้าด้ามยาวแตะปลายคางเจ้าชายหนุ่มให้เงยขึ้น แล้วเหวี่ยงไม้เท้าด้วยความแรง ร่างของเจ้าชายล้มลงกระแทกกับพื้น องค์หญิงตรงรี่เข้าไปประคองร่างนั้นให้ลุกขึ้น พ่อมดจ้องเขม็งไปยังเจ้าชายฟาลนัวซึ่งแหงนมองพ่อมดด้วยความหวาดหวั่นและชิงชังพยายามข่มเอาไว้ด้วยการขบกรามสั่นระริกไว้แน่น
แทนที่จะรีบหนีไป เจ้าชายกลับพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือออกไปว่า “ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าเข้าใกล้องค์หญิงมากไปกว่านี้เลย รอให้องค์หญิงคุ้นกับที่แห่งนี้ก่อนจะดีกว่า”
พ่อมดหัวเราะ จ้องเจ้าชายหนุ่มด้วยสายตาประดุจเปลวไฟ “ไพร่กระฎุมพี ริอาจจะสั่งข้าผู้เป็นนายเช่นนั้นรึ โง่เง่า!” แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงอย่างรุนแรง จากเพดานประดุจแส้เหล็กหวดเปรี้ยงลงตรงพื้นเบื้องหน้า ห่างจากร่างของเจ้าชายเพียงเมตรครึ่ง พื้นเบื้องหน้าปรากฏรอยไหม้เป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ประกายไฟฟ้าสถิตลั่นเปรี๊ยะอยู่เป็นระยะ ท้องฟ้ามืดสลัวมัวลงด้วยกลุ่มเมฆสีดำม้วนตัวเข้าหากัน
เจ้าชายฟาลนัวนั่งเอกเขนกอยู่กับพื้น อ้าปากค้างตาเบิกโผลง องค์หญิงคุกเข่าอยู่ข้างหลังปลายจมูกได้รูปชิดแนบกับแผ่นหลังของเจ้าชาย ด้วยความกลัวต่อเสียงฟ้า ในที่สุดเจ้าชายก็ร้องเสียงหลง ถลันออกจากห้องไป เหลือเพียงองค์องค์หญิงที่กุมมือแน่นแนบอก พยายามรวบรวมสติให้อยู่กับใจ
พ่อมดเหลือบมององค์หญิง มือเรียวยาวขาวซีด จับปลายคางโค้งมนไว้ก่อนองค์หญิงจะเบือนหน้าหนี พินิจดวงหน้านั้นด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความพึงใจ เขาดึงหน้าองค์หญิงเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงต่ำจรดปากแนบริมฝีปากขององค์หญิง
เลรีอาตบหน้าพ่อมดเต็มฉาด พ่อมดหนุ่มแตะใบหน้าของตนด้วยปลายนิ้ว ก่อนองค์หญิงจะตรงรี่ไปที่ประตู พ่อมดชี้ไม้เท้าไปที่ประตูให้ปิดลงพร้อมกับเสียงลงกลอน
“องค์หญิงผู้โง่เขลา เจ้าจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากที่นี่ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเวทย์มนตร์ที่ข้าเท่านั้นคือผู้บงการ”
“ทำไมต้องทำเช่นนี้ ท่านต้องการสิ่งใด” องค์หญิงเอ่ยขึ้นโดยมิได้เหลือบมองพ่อมด
ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีเทามิได้ปรากฏรอยยิ้ม “ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ เพื่อรับใช้ข้า” เสียงตอบนั้นหนักแน่นแฝงความนุ่มนวล
“ทำไมทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านถึงทอดทิ้งข้าในเมื่อทั้งกายและใจข้าพร้อมจะมอบให้กับท่าน เทพอินอส” องค์หญิงตัดพ้อ น้ำตาเอ่อคลอ
“เทพอินอสงั้นรึ เทพกระจอกชั้นเลว อย่าเอ่ยถึงมันให้ข้าได้ยินอีก ไม่ว่าเทพหน้าไหนก็มิอาจขวางกั้นอำนาจเวทย์มนตร์ของข้าได้ ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่ ข้าผู้มีฤทธิ์อยู่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวง” พ่อมดหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าคำรามลั่น
องค์หญิงเผชิญหน้ากับพ่อมดอีกครั้ง “ท่านช่างลุแก่อำนาจ หลงตนเองคิดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดิน สำคัญตนว่ามีฤทธิ์เดชสามารถบงการทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่จิตใจของข้าท่านก็คิดว่าบงการได้เช่นนั้นหรือ จะบอกให้รู้ว่าท่านคิดผิดถนัดใจ แม้ว่าท่านจะได้ตัวข้ามาขังไว้ที่นี่ แต่อย่าคิดว่าท่านจะสามารถบงการจิตใจของข้าได้ หัวใจของข้าจะไม่มีวันสวามิภักดิ์ต่อท่านโดยเด็ดขาด”
พ่อมดหรี่ตามององค์หญิง พร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ “นกน้อยแสนสวยในกำมือของข้า เจ้าส่งเสียงร้องขัดหูข้าเหลือเกิน เห็นทีข้าคงจะต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักร้องให้ไพเราะกว่านี้แล้ว”
พ่อมดดึงแหวนออกจากนิ้วเรียวงามทำลายทิ้งด้วยเปลวไฟหายไปในพริบตา จับร่างของเจ้าหญิงกดลงบนพื้นเยียบเย็น ราวกับก้อนหินใหญ่กดทับร่างบาง
“ปล่อยข้านะ ปล่อยเดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงร้อง พยายามดิ้นให้หลุด
“เรียกข้าว่านายท่านแล้วข้าจะปล่อยเจ้า”
“ฝันไปเถอะ พ่อมดชั่ว” เจ้าหญิงยืนกรานเสียงแข็ง น้ำตารินไหล “ถ้าท่านไม่ปล่อยข้า ข้าจะกลั้นหายใจตายเดี๋ยวนี้!”
แล้วเจ้าหญิงก็หยุดกลั้นลมหายใจเอาไว้เป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งนอนนิ่งหมดสติไปเอง
พ่อมดตกใจ ชะงักมือคลายจากการรวบรัดร่างของเจ้าหญิง นึกไม่ถึงว่านางจะใจกล้าเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อรักษาเกียรติดีกว่ายอมเสียเกียรติของสตรี ช้อนร่างบางนั้นขึ้นมาอุ้มแนบกาย แล้วจูบแผ่วเบาที่หน้าผากกระซิบว่า “เจ้าหญิงของข้า ไปสู่นิทราเถิด พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะตื่นมาด้วยความชื่นบาน”
(มีต่อ)
One Truth Behind The Shadow [ จบ ]
ต้อนรับสู่ปราสาทพ่อมด
องค์หญิงลืมตาขึ้นพบว่าตนนอนอยู่บนเตียง มิใช่เตียงใหญ่หรูหราอย่างเคยแต่เป็นเตียงเก่ารูปทรงแปลกตา กำแพงห้องนั้นวางเรียงด้วยท่อนหินสีเทา
“รู้สึกตัวแล้วหรือ เจ้าหญิงเลรีอา” ชายหนุ่มซึ่งนั่งเฝ้าองค์หญิงตรงพื้นข้างๆเตียงมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เมื่อองค์หญิงหันไปมองทั้งตะลึงพรึ่งเพลิดทั้งยินดีไม่คาดฝัน พลิกกายขึ้นมานั่งรวดเร็วกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เจ้าชายฟาลนัว ใช่ท่านจริงๆหรือนี่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก” เจ้าชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ท่าทางกลับดูหงอยหงอเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“แล้วที่นี่คือที่ไหน?” องค์หญิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ที่นี่คือปราสาทแห่งเวทย์มนตร์”
“แล้วเหตุใดท่านจึงมาอยู่ตรงนี้ได้?”
“ปราสาทแห่งนี้คือบ้านของข้า นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าคือข้ารับใช้ของท่านพ่อมด มีหน้าที่คอยเฝ้าเจ้าหญิงไม่ให้หนีไปไหน”
“มิให้หนีไปไหน! หมายความว่า ข้าถูกจับตัวมากักขังไว้เช่นนั้นหรือ” องค์หญิงเอ่ยอย่างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น “นี่มันอะไรกัน แล้วพ่อมดเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายกันแน่ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นข้ารับใช้ของพ่อมดได้”
“ท่านพ่อมดเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์สูงที่สุดในทวีปเวเนเกี้ยน ไม่ว่าใครต่างก็เคารพยำเกรงในอำนาจเวทมนตร์ของท่านด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่งเทพเจ้าเองก็ยังกริ่งเกรง เทพอินอสจะไม่มีวันได้ตัวเจ้า หากเจ้าอยู่ที่นี่กับเราตลอดไป ไม่ต้องกลัวนะข้าจะดูแลเจ้าเอง”
“เหลวไหล จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า ให้ข้าอยู่ที่นี่ตลอดไปเช่นนั้นน่ะหรือ” องค์หญิงแค่นหัวเราะ “ปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ท่านหรือข้าสมควรอยู่ เราหนีไปจากที่นี่กันเถิด เจ้าชายฟาลเนีย”
“ไม่” เจ้าชายปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่แม้กระทั่งแลเหลียวสายตาวิงวอนของเจ้าหญิง ที่มองมาฉายแววเคืองขุ่นแกมผิดหวัง องค์หญิงถอนใจแล้วแล้วเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่าง
สุดขอบฟ้าคือหุบเขาอันมืดครึ้ม เบื้องล่างกลับปกคลุมด้วยป่าที่ร่มรื่น ใบไม้แต่ละใบส่องประกายเป็นมันวาวเขียวขลับ ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่โดยรอบต่างช่วยให้บริเวณนั้นดูสดชื่นจนน่าแปลกใจ ผีเสื้อตัวเล็กสีสันตัดกันบินไล่คลอเคลียผ่านไป แมลงต่างๆพากันวิ่งเต้นด้วยชื่นชมในความงามของช่อดอกไม้และใบหญ้าเขียวสด
เจ้าชายสังเกตแววตาขององค์หญิงที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็เกือบทักไปว่า ‘องค์หญิงคงอยากออกไปเดินเล่นกระมัง’ แต่แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าตนมิได้อยู่ในฐานะที่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจ จึงได้แต่ก้มหน้านิ่ง เจ้าชายเหลือบมององค์หญิงเงียบๆอยู่เบื้องหลัง เส้นผมขององค์หญิงต้องกับแสงแดดงดงามเป็นสีน้ำตาลอมแดงประกายบลอนด์รับกับต้นคอระหง ต้นแขนเรียวงามต้องกับแสงแดดดูเปล่งปลั่ง เหยียดแนบร่างที่นั่งอยู่ให้ตั้งตรงในท่าที่งามสง่า ใบหน้าเหม่อลอยนั้นดูเศร้าสร้อย ด้วยดวงตาหวานเศร้าเป็นประกายสีเขียวหม่น
ความสวยเศร้าขององค์หญิงในยามนี้ ทำให้เจ้าชายตะลึงนิ่งไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนตีบตัน รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ด้วยแรงปรารถนาที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ไม่กล้าแสดงออกมา เข้าไปคุกเข่าลงข้างๆ ดึงมือของเจ้าหญิงมากุมไว้ จูบมือของเจ้าหญิง
“เจ้าหญิงเลรีอา ข้า…”
เจ้าชายหยุดชะงักด้วยเสียงประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างที่ย่างกรายเข้ามาในห้อง บุรุษในชุดคลุมยาวสีเทาเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า ผ้าคลุมเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้ายาวเรียว และนัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องตรงมายังร่างขององค์หญิง
“ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของข้า องค์หญิงเลรีอาผู้งดงาม”
เจ้าหญิงยืนนิ่งเบื้องหลังเจ้าชายที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
“หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว ออกไปได้” พ่อมดสั่ง
เจ้าชายฟาลนัวยังคงยืนนิ่ง กำมือไว้แน่น ค่อยๆขยับร่างเข้าไปชิดองค์หญิงที่อยู่ข้างหลัง คล้ายพยายามช่วยกันมิให้พ่อมดเข้ามาใกล้
“ออกไปเสียสิ” พ่อลดเสียงต่ำคล้ายคำรามขู่ ทว่าเจ้าชายยังคงยืนนิ่ง
พ่อมดร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “โอ้! เป็นทุกทีเห็นจะรีบหนีกุลีกุจรออกจากห้องนี้ไปแล้ว คนขี้ขลาดอย่างเจ้า มาวันนี้กลับยืนเซ่อ ไม่ได้ยินที่ข้าพูด หรือว่าเจ้าคิดจะขัดคำสั่ง”
พ่อมดใช้ไม้เท้าด้ามยาวแตะปลายคางเจ้าชายหนุ่มให้เงยขึ้น แล้วเหวี่ยงไม้เท้าด้วยความแรง ร่างของเจ้าชายล้มลงกระแทกกับพื้น องค์หญิงตรงรี่เข้าไปประคองร่างนั้นให้ลุกขึ้น พ่อมดจ้องเขม็งไปยังเจ้าชายฟาลนัวซึ่งแหงนมองพ่อมดด้วยความหวาดหวั่นและชิงชังพยายามข่มเอาไว้ด้วยการขบกรามสั่นระริกไว้แน่น
แทนที่จะรีบหนีไป เจ้าชายกลับพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือออกไปว่า “ได้โปรดเถิดขอรับ อย่าเข้าใกล้องค์หญิงมากไปกว่านี้เลย รอให้องค์หญิงคุ้นกับที่แห่งนี้ก่อนจะดีกว่า”
พ่อมดหัวเราะ จ้องเจ้าชายหนุ่มด้วยสายตาประดุจเปลวไฟ “ไพร่กระฎุมพี ริอาจจะสั่งข้าผู้เป็นนายเช่นนั้นรึ โง่เง่า!” แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงอย่างรุนแรง จากเพดานประดุจแส้เหล็กหวดเปรี้ยงลงตรงพื้นเบื้องหน้า ห่างจากร่างของเจ้าชายเพียงเมตรครึ่ง พื้นเบื้องหน้าปรากฏรอยไหม้เป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ประกายไฟฟ้าสถิตลั่นเปรี๊ยะอยู่เป็นระยะ ท้องฟ้ามืดสลัวมัวลงด้วยกลุ่มเมฆสีดำม้วนตัวเข้าหากัน
เจ้าชายฟาลนัวนั่งเอกเขนกอยู่กับพื้น อ้าปากค้างตาเบิกโผลง องค์หญิงคุกเข่าอยู่ข้างหลังปลายจมูกได้รูปชิดแนบกับแผ่นหลังของเจ้าชาย ด้วยความกลัวต่อเสียงฟ้า ในที่สุดเจ้าชายก็ร้องเสียงหลง ถลันออกจากห้องไป เหลือเพียงองค์องค์หญิงที่กุมมือแน่นแนบอก พยายามรวบรวมสติให้อยู่กับใจ พ่อมดเหลือบมององค์หญิง มือเรียวยาวขาวซีด จับปลายคางโค้งมนไว้ก่อนองค์หญิงจะเบือนหน้าหนี พินิจดวงหน้านั้นด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความพึงใจ เขาดึงหน้าองค์หญิงเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงต่ำจรดปากแนบริมฝีปากขององค์หญิง
เลรีอาตบหน้าพ่อมดเต็มฉาด พ่อมดหนุ่มแตะใบหน้าของตนด้วยปลายนิ้ว ก่อนองค์หญิงจะตรงรี่ไปที่ประตู พ่อมดชี้ไม้เท้าไปที่ประตูให้ปิดลงพร้อมกับเสียงลงกลอน “องค์หญิงผู้โง่เขลา เจ้าจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากที่นี่ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยเวทย์มนตร์ที่ข้าเท่านั้นคือผู้บงการ”
“ทำไมต้องทำเช่นนี้ ท่านต้องการสิ่งใด” องค์หญิงเอ่ยขึ้นโดยมิได้เหลือบมองพ่อมด
ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีเทามิได้ปรากฏรอยยิ้ม “ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ เพื่อรับใช้ข้า” เสียงตอบนั้นหนักแน่นแฝงความนุ่มนวล
“ทำไมทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านถึงทอดทิ้งข้าในเมื่อทั้งกายและใจข้าพร้อมจะมอบให้กับท่าน เทพอินอส” องค์หญิงตัดพ้อ น้ำตาเอ่อคลอ
“เทพอินอสงั้นรึ เทพกระจอกชั้นเลว อย่าเอ่ยถึงมันให้ข้าได้ยินอีก ไม่ว่าเทพหน้าไหนก็มิอาจขวางกั้นอำนาจเวทย์มนตร์ของข้าได้ ข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่ ข้าผู้มีฤทธิ์อยู่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวง” พ่อมดหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าคำรามลั่น
องค์หญิงเผชิญหน้ากับพ่อมดอีกครั้ง “ท่านช่างลุแก่อำนาจ หลงตนเองคิดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดิน สำคัญตนว่ามีฤทธิ์เดชสามารถบงการทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่จิตใจของข้าท่านก็คิดว่าบงการได้เช่นนั้นหรือ จะบอกให้รู้ว่าท่านคิดผิดถนัดใจ แม้ว่าท่านจะได้ตัวข้ามาขังไว้ที่นี่ แต่อย่าคิดว่าท่านจะสามารถบงการจิตใจของข้าได้ หัวใจของข้าจะไม่มีวันสวามิภักดิ์ต่อท่านโดยเด็ดขาด”
พ่อมดหรี่ตามององค์หญิง พร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ “นกน้อยแสนสวยในกำมือของข้า เจ้าส่งเสียงร้องขัดหูข้าเหลือเกิน เห็นทีข้าคงจะต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักร้องให้ไพเราะกว่านี้แล้ว”
พ่อมดดึงแหวนออกจากนิ้วเรียวงามทำลายทิ้งด้วยเปลวไฟหายไปในพริบตา จับร่างของเจ้าหญิงกดลงบนพื้นเยียบเย็น ราวกับก้อนหินใหญ่กดทับร่างบาง
“ปล่อยข้านะ ปล่อยเดี๋ยวนี้” เจ้าหญิงร้อง พยายามดิ้นให้หลุด
“เรียกข้าว่านายท่านแล้วข้าจะปล่อยเจ้า”
“ฝันไปเถอะ พ่อมดชั่ว” เจ้าหญิงยืนกรานเสียงแข็ง น้ำตารินไหล “ถ้าท่านไม่ปล่อยข้า ข้าจะกลั้นหายใจตายเดี๋ยวนี้!”
แล้วเจ้าหญิงก็หยุดกลั้นลมหายใจเอาไว้เป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งนอนนิ่งหมดสติไปเอง
พ่อมดตกใจ ชะงักมือคลายจากการรวบรัดร่างของเจ้าหญิง นึกไม่ถึงว่านางจะใจกล้าเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อรักษาเกียรติดีกว่ายอมเสียเกียรติของสตรี ช้อนร่างบางนั้นขึ้นมาอุ้มแนบกาย แล้วจูบแผ่วเบาที่หน้าผากกระซิบว่า “เจ้าหญิงของข้า ไปสู่นิทราเถิด พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะตื่นมาด้วยความชื่นบาน”
(มีต่อ)