การฝึกมโนมยิทธิโดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง - YouTube
มโนมยิทธิ การมีฤทธิ์ทางใจ หรือ รับรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์นั้น ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ก็ให้คุณลองนึกตามแบบนี้ดูก็คือ......
ขณะที่คุณกำลังนั่งมองจอคอมพิวเตอร์อยู่ในขณะนี้ ใช้ตาเนื้อของคุณจ้องมองไปที่จอคอม แล้วลองนึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองไปพร้อมๆกัน
ภาพหน้าบ้านของตัวเองที่คุณคุ้นเคย ก็จะปรากฏขึ้นในจิต คุณนึกเมื่อไรก็จะเห็นภาพหน้าบ้านของตัวเองขึ้นมาเมื่อนั้น
(นี่คือการ "นึกเอง" ของคุณ สมองไปงัดเอาภาพที่คุณเคยมีอยู่ออกมาแสดง)
คุณจะเห็นภาพจอคอมที่อยู่ตรงหน้า และเห็นทั้งภาพหน้าบ้านของคุณแบบลางๆจากความทรงจำ (ไปพร้อมๆกันได้) (ความรู้สึกคล้ายๆกันนี้)
แต่การมีฤทธิ์ทางใจ หรือ รับรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์นั้น
ภาพมันจะเด้งขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้นึก เพราะจิตมันเป็นทิพย์ มันจึงรู้ของมันเอง
จะชัดมากชัดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความสะอาดของจิต (จะหลับตาหรือลืมตา ก็เห็นภาพได้ ตาในมันเห็น)
มันจะรู้สึกเหมือนจอภาพมีสองจูนเนอร์ ตาเนื้อก็ลืมตาดูอะไรไปตามปกติ ส่วนตาในมันมีจอภาพอีกอันนึง
แต่จะเห็นได้ชัดเจนแจ่มชัดแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิและความสะอาดของจิตในขณะนั้น
สมาธิเขียนเรียงตามลำดับเริ่มจาก ขณิกสมาธิ(สมาธิในการทำงานของคนทั่วไป), อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน), ฌาน1, ฌาน2, ฌาน3, ฌาน4
การฝึกสมาธิ เพื่อให้สามารถใช้ความเป็นทิพย์ของจิตได้นั้น จะมีจังหวะอยู่2ช่วง คือช่วง "
อุปจารสมาธิ" และ "
ฌาน4"
คนที่นั่งสมาธิบ่อยๆ เขาจะเคยชินกับการทำจิตให้ว่าง เข้าฌานได้ เมื่อออกจากฌานจะมีอารมณ์ฌานถอยออกมาอยู่ที่
อุปจารสมาธิ (ช่วงนี้จิตเป็นทิพย์)
จะมีผลทำให้จิตของเขาจะทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ หรือ แตะอุปจารสมาธิ ได้บ่อยกว่าคนทั่วไป
อารมณ์จิตจึงสะอาดกว่าคนทั่วไป การรับรู้ด้วยจิตจึงเกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงจังหวะนี้
เมื่ออารมณ์จิตมันสะอาด มันว่างเป็นปกติ เพราะเคยชินกับการทำจิตให้ว่าง ไม่ว่าจะตอนนั่ง ตอนเดิน ตอนกินข้าว ตอนนั่งรถเมล์ จิตมันก็รับรู้ได้เอง
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างเบา จะแค่รู้สึกว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น (มีความรู้สึกเกิดขึ้น แต่ไม่เห็นภาพ)
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างกลาง จะเห็นภาพลางๆในจิต (อาจจะเป็นภาพตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ ภาพวัตถุ หรือ สถานที่ หรือ อาจจะเป็นภาพหน้าคน)
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างเข้ม จะเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสเหมือนมองด้วยตาเนื้อ (เห็นในจิต)
ข้อสำคัญเลยก็คือ
ให้เอาความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นมาเท่านั้น เพราะเมื่อจิตเป็นทิพย์ จิตมันรับรู้ได้เอง
ความรู้สึกแรกจึงไม่มีผิดพลาด
แต่ถ้าคุณใช้การคิดพิจารณา นั่นแสดงว่าคุณกำลังใช้ "สมอง" ของคุณในการคิดวิเคราะห์ (อุปทานจะกินใจ) จึงทำให้ การรู้-การเห็น ผิดพลาดไป
ซึ่งการคิดวิเคราะห์พิจารณาของคนเรานั้น จะต้องใช้สมองมาคิดพิจารณา ซึ่งการใช้สมองมาคิดพิจารณานี้ จะทำให้เกิด "อุปทาน" เกิดขึ้น
อุปทาน ในที่นี้หมายถึง
การคิดเอาไว้ก่อน คิดว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น-เป็นอย่างนี้ ฯลฯ
(เช่น พอดูจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของเขาแล้ว คิดว่าคนๆนี้เขาน่าจะ เป็นคนแบบนั้น-เป็นคนแบบนี้ อันนี้คือไม่ถูกต้อง)
เป็นการใช้ "ทักษะ" ของคุณ นำมาใช้ในการคิดวิเคราะห์คำนวนเพื่อหาคำตอบ ซึ่งผิดวิธี (วิธีนี้มันเป็นวิธีของการหาคำตอบแบบวิธีทางโลกทั่วๆไป)
(
ถ้าใช้ทักษะของคุณมาทำนายทายทัก มาคำนวน นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้ใช้จิตของคุณดู แต่เป็นการใช้สมองของคุณมาคิดคำนวนหาคำตอบ ซึ่งผิดวิธี)
(ผู้ที่มีทิพย์จักษุญาณจริงๆนั้น เพียงแค่เห็นรูปคุณ หรือ ชื่อของคุณ เท่านั้น เขาก็บอกได้แล้วว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ของคุณจะเป็นอย่างไร)
(ไม่จำเป็นจะต้องใช้ทักษะทางโลกมาคิดวิเคราะห์เพื่อคำนวนหาคำตอบ)
การรับรู้ด้วยใจคล้ายตาทิพย์นี้
จิตมันเป็นผู้รู้ เมื่อจิตสะอาด ความเป็นทิพย์ของจิตก็เกิดขึ้น จิตมันก็รับรู้ได้เอง (
ถ้าไม่เกินวิสัยที่คุณจะรู้ได้)
เพราะฉนั้น ผู้ฝึก มโนมยิทธิ
จะต้องฝึกให้ตัวเองคุ้นเคยกับการจับความรู้สึกแรกให้แม่นยำ ไม่ใช่ใช้การคิดคำนวนวิเคราะห์มาหาคำตอบ (ซึ่งผิดวิธี)
บางคนฝึกใช้จิตดูเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีนั่งอยู่ริมถนน แล้วทายเลขทะเบียนรถล่วงหน้า ว่ารถที่จะกำลังโผล่พ้นหัวมุมถนนออกมา เป็นเลขอะไร?
บางคนเล่นทายวัตถุและสีของวัตถุในกล่องปิดทึบ ว่าเป็นวัตถุอะไร? และสีอะไร?
บางคนเล่นทายถึงการแต่งตัวและสีของเสื้อผ้าของเพื่อน ในขณะที่กำลังคุยกันทางโทรศัพท์ ว่าแต่งตัวอย่างไร? ใส่สีอะไร?
(ถ้าเห็นตัวเลข หรือภาพหน้าคน หรือภาพวัตถุใดๆ ก็ให้ใช้ความรู้สึกแรกหรือภาพแรกที่เห็น) (แต่ถ้าไม่รู้สึกเลย แสดงว่าจิตไม่สะอาด แสดงว่าเดาล้วนๆ)
ทุกๆครั้งของการฝึก จิตจะต้องสะอาด (ในระดับอุปจารสมาธิ) ซึ่งคนๆนั้น
จะต้องรู้วิธีวางกำลังใจให้สะอาด โดยคนๆนั้นจะต้องมีศีลบริสุทธิ์เป็นพื้น
ถ้าศีลของคุณไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าคุณจะพยายามนึกวางกำลังใจให้บริสุทธิ์อย่างไร คุณก็ทำได้ไม่ถึง (เพราะใจจริงๆภายในมันยังสกปรกอยู่)
เพราะว่า ผู้ที่บกพร่องในศีล ก็คือผู้ที่ยังมีอารมณ์ในการถือศีลไม่เด็ดขาด ลึกๆในใจยังพอใจในการละเมิดล่วงศีลผู้อื่นอยู่ จิตจึงไม่สะอาด
(อยากจะให้ผู้อื่นมีศีลเพื่อเรา แต่ตัวเราเองไม่อยากจะถือศีลเพื่อผู้อื่น ยังอยากจะได้อะไรจากผู้อื่นมาโดยมิชอบอยู่ง่ายๆ ซ่อนอยู่ในใจ)
(
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆเลยก็คือ ยังเป็นอารมณ์ของผู้ที่ยังต้องตกนรกอยู่ จึงฝึกอะไรไม่สำเร็จ)
เพราะฉนั้น ถ้าการใช้จิตของคุณ ประกอบไปด้วยความโลภ คุณจะทายอะไรไม่ถูก (เพราะความโลภจะทำให้จิตไม่สะอาด)
เพราะฉนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีศีลบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานเสมอ (ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ สมาธิเป็นพื้นฐานของปัญญา)
"
เมื่อมีศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆก็จะเกิดขึ้นมาเอง"
สำหรับภาพนิมิตในขณะที่นั่งฝึกสมาธินั้น ไม่จำเป็นจะต้องเกิดในขณะที่นั่ง แต่อาจจะเป็นตอนเคลิ้มใกล้จะหลับ หรือ เคลิ้มใกล้จะตื่นนอน (
จิตรวมเอง)
จะมีจุดสังเกตถึงความแตกต่างระหว่าง ความฝัน กับ ภาพนิมิต ก็คือ......
ความฝันนั้น คุณจะไม่มีสติ เหมือนมีคนมาฉายหนังให้คุณดู คุณจะทำอะไรไม่ได้นอกจากดู และภาพจะไม่ชัดเจน
แต่ภาพนิมิตนั้น คุณจะมีสติ เดินเลือกดูบนล่างซ้ายขวาได้รอบตัว และเข้าไปอยู่ในหนังนั้นเอง (เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆเอง)
สัมผัสต่างๆเช่น กลิ่นอะไรลอยมา ลมพัดมาโดนตัว การหยิบจับวัตถุ จะรู้สึกเสมือนจริงทั้งหมด และภาพทุกอย่างจะแจ่มชัดเหมือนจริง
หรือยิ่งกว่าจริง
((((( สำหรับผู้ที่เคยได้
ฌานสมาธิ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ระดับฌานสมาธิที่คุณเคยได้ในทันที
(เช่น ถ้าเคยได้ ฌาน2 ของ อานาปานสติ มาแล้วจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตก็จะวิ่งไปหยุดที่ฌาน2 ทันที)
((((( ส่วนผู้ที่เคยได้
กสิณ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ดวงกสิณที่ตนเองเคยได้ก็จะปรากฏขึ้นในจิตทันที (ความสามารถเดิมของจิตปรากฏ)
(เช่น ถ้าเคยได้กสิณแสงสว่างมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นดวงแก้วสว่างใสเกิดขึ้นในจิตทันที)
แล้วให้ตรวจสอบดูว่า ดวงแก้วที่คุณเห็นนั้น มีลักษณะอย่างไร? มีสีอะไร? มีประกายพรึกเต็มดวงหรือไม่? (ดูระดับฌานของกสิณ ว่าได้ขั้นไหน?)
(ถ้าเป็นประกายพรึกเต็มดวง จะเป็น ฌาน4 ของกสิณ ถ้าไม่เต็มดวง ก็คือฌานน้อยลงมา) (ประกายพรึก คล้ายๆกับเพชรที่ส่องกับแสงแดดเป็นประกาย)
เมื่อได้ ฌาน4ของกสิณเป็นประกายพรึกเต็มดวง แล้วลองอธิษฐานจิต ให้ภาพ นรกหรือสวรรค์ ปรากฏขึ้น (ภาพนรกหรือสวรรค์ ก็จะปรากฏ)
บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นเป็นจอภาพสี่เหลี่ยมลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางความมืด (รอบตัวจะมืดสนิท)
จอภาพนี้จะมีความแจ่มชัดเสมือนของจริง
หรือยิ่งกว่าจริง และ
จะมีสติ เลือกเดินดูบนล่างซ้ายขวาได้ตามใจ (
ตราบเท่าที่สมาธิยังไม่เคลื่อน)
เป็นจอภาพของผู้ที่เคยได้ทิพย์จักษุญาณ จะมีจอภาพแบบนี้ปรากฏขึ้นมา
บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด เจ้ากรรมนายเวรก็จะแสดงตัวปรากฏให้เห็นในนิมิต บอกว่าเขาต้องการอะไร
(คนไหนถ้าฝึกสมาธิได้ดีพอ ถึงจุดที่เจ้ากรรมนายเวรจะติดต่อได้ เขาอาจจะแสดงตัวให้คุณเห็นในนิมิต และพูดคุยกับคุณ บอกว่าเขาต้องการอะไร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มโนมยิทธิ เป็น "อภิญญาเล็ก" อยู่ระหว่างหมวด เตวิชโช กับ อภิญญา6
การสอนวิชา มโนมยิทธิ ของวัดท่าซุงนั้น เป็นการสอนแบบทบทวน หรือ "รื้อฟื้นของเก่า"
(หมายความว่าเป็นการสอนให้ผู้ที่เคยได้วิชานี้มาก่อนแล้วในอดีตชาติ สามารถที่จะระลึกถึงของเก่าที่เคยได้ออกมา)
(เพราะฉนั้น ถ้าจะมีคนจำนวนมาก ฝึกแล้วไม่สำเร็จ ไม่ได้วิชานี้ก็ถือว่าไม่ผิดแปลกอันใด นั่นเพราะว่าเขายังไม่เคยได้วิชานี้มาก่อนในอดีตชาติ)
เนื่องจากผู้ที่ได้วิชานี้ในปัจจุบัน เป็นผู้ที่เคยได้วิชานี้มาก่อนแล้วในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ที่เคยฝึกฝนตนเองมาแล้วอย่างหนักในอดีตชาติ
เมื่อระลึกถึงของเก่าที่ตัวเองเคยได้ ก็จะได้อภิญญาที่ตัวเองเคยได้กลับมาด้วย (แล้วแต่ว่าเคยได้ถึงขั้นไหน อะไรบ้าง)
เพราะฉนั้นเรื่องราวของผู้ที่เคยได้วิชานี้ ในสายนี้ จึงมักจะมีเรื่องอภิญญาเหลือเชื่อตามมาด้วยมาก และมีหมู่คณะในสายนี้มากพอสมควร
และมักจะเป็นหมู่คณะที่เคยติดตามหลวงพ่อฤาษี มาแล้วในอดีตชาติ
เพราะหลวงพ่อฤาษี ในอดีตชาติเป็นพระโพธิสัตว์สะสมบารมีมายาวนานถึง 16 อสงไขย (เพิ่งจะมาละความปรารถนาพุทธภูมิ ก็ในชาติสุดท้ายนี้)
ท่านได้เกิดเป็นบุคคลสำคัญๆในอดีตของประเทศไทยหลายพระองค์ จึงมีหมู่คณะบริวารที่ติดตามท่านมาจนถึงชาติปัจจุบันนี้มาก
บทความเรื่อง "มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ"
การฝึกมโนมยิทธิโดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง - YouTube
มโนมยิทธิ การมีฤทธิ์ทางใจ หรือ รับรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์นั้น ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ก็ให้คุณลองนึกตามแบบนี้ดูก็คือ......
ขณะที่คุณกำลังนั่งมองจอคอมพิวเตอร์อยู่ในขณะนี้ ใช้ตาเนื้อของคุณจ้องมองไปที่จอคอม แล้วลองนึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองไปพร้อมๆกัน
ภาพหน้าบ้านของตัวเองที่คุณคุ้นเคย ก็จะปรากฏขึ้นในจิต คุณนึกเมื่อไรก็จะเห็นภาพหน้าบ้านของตัวเองขึ้นมาเมื่อนั้น
(นี่คือการ "นึกเอง" ของคุณ สมองไปงัดเอาภาพที่คุณเคยมีอยู่ออกมาแสดง)
คุณจะเห็นภาพจอคอมที่อยู่ตรงหน้า และเห็นทั้งภาพหน้าบ้านของคุณแบบลางๆจากความทรงจำ (ไปพร้อมๆกันได้) (ความรู้สึกคล้ายๆกันนี้)
แต่การมีฤทธิ์ทางใจ หรือ รับรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์นั้น ภาพมันจะเด้งขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้นึก เพราะจิตมันเป็นทิพย์ มันจึงรู้ของมันเอง
จะชัดมากชัดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความสะอาดของจิต (จะหลับตาหรือลืมตา ก็เห็นภาพได้ ตาในมันเห็น)
มันจะรู้สึกเหมือนจอภาพมีสองจูนเนอร์ ตาเนื้อก็ลืมตาดูอะไรไปตามปกติ ส่วนตาในมันมีจอภาพอีกอันนึง
แต่จะเห็นได้ชัดเจนแจ่มชัดแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิและความสะอาดของจิตในขณะนั้น
สมาธิเขียนเรียงตามลำดับเริ่มจาก ขณิกสมาธิ(สมาธิในการทำงานของคนทั่วไป), อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน), ฌาน1, ฌาน2, ฌาน3, ฌาน4
การฝึกสมาธิ เพื่อให้สามารถใช้ความเป็นทิพย์ของจิตได้นั้น จะมีจังหวะอยู่2ช่วง คือช่วง "อุปจารสมาธิ" และ "ฌาน4"
คนที่นั่งสมาธิบ่อยๆ เขาจะเคยชินกับการทำจิตให้ว่าง เข้าฌานได้ เมื่อออกจากฌานจะมีอารมณ์ฌานถอยออกมาอยู่ที่ อุปจารสมาธิ (ช่วงนี้จิตเป็นทิพย์)
จะมีผลทำให้จิตของเขาจะทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ หรือ แตะอุปจารสมาธิ ได้บ่อยกว่าคนทั่วไป
อารมณ์จิตจึงสะอาดกว่าคนทั่วไป การรับรู้ด้วยจิตจึงเกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงจังหวะนี้
เมื่ออารมณ์จิตมันสะอาด มันว่างเป็นปกติ เพราะเคยชินกับการทำจิตให้ว่าง ไม่ว่าจะตอนนั่ง ตอนเดิน ตอนกินข้าว ตอนนั่งรถเมล์ จิตมันก็รับรู้ได้เอง
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างเบา จะแค่รู้สึกว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น (มีความรู้สึกเกิดขึ้น แต่ไม่เห็นภาพ)
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างกลาง จะเห็นภาพลางๆในจิต (อาจจะเป็นภาพตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ ภาพวัตถุ หรือ สถานที่ หรือ อาจจะเป็นภาพหน้าคน)
ถ้ากำลังใจสะอาด อย่างเข้ม จะเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสเหมือนมองด้วยตาเนื้อ (เห็นในจิต)
ข้อสำคัญเลยก็คือ ให้เอาความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นมาเท่านั้น เพราะเมื่อจิตเป็นทิพย์ จิตมันรับรู้ได้เอง ความรู้สึกแรกจึงไม่มีผิดพลาด
แต่ถ้าคุณใช้การคิดพิจารณา นั่นแสดงว่าคุณกำลังใช้ "สมอง" ของคุณในการคิดวิเคราะห์ (อุปทานจะกินใจ) จึงทำให้ การรู้-การเห็น ผิดพลาดไป
ซึ่งการคิดวิเคราะห์พิจารณาของคนเรานั้น จะต้องใช้สมองมาคิดพิจารณา ซึ่งการใช้สมองมาคิดพิจารณานี้ จะทำให้เกิด "อุปทาน" เกิดขึ้น
อุปทาน ในที่นี้หมายถึง การคิดเอาไว้ก่อน คิดว่ามันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น-เป็นอย่างนี้ ฯลฯ
(เช่น พอดูจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของเขาแล้ว คิดว่าคนๆนี้เขาน่าจะ เป็นคนแบบนั้น-เป็นคนแบบนี้ อันนี้คือไม่ถูกต้อง)
เป็นการใช้ "ทักษะ" ของคุณ นำมาใช้ในการคิดวิเคราะห์คำนวนเพื่อหาคำตอบ ซึ่งผิดวิธี (วิธีนี้มันเป็นวิธีของการหาคำตอบแบบวิธีทางโลกทั่วๆไป)
(ถ้าใช้ทักษะของคุณมาทำนายทายทัก มาคำนวน นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้ใช้จิตของคุณดู แต่เป็นการใช้สมองของคุณมาคิดคำนวนหาคำตอบ ซึ่งผิดวิธี)
(ผู้ที่มีทิพย์จักษุญาณจริงๆนั้น เพียงแค่เห็นรูปคุณ หรือ ชื่อของคุณ เท่านั้น เขาก็บอกได้แล้วว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ของคุณจะเป็นอย่างไร)
(ไม่จำเป็นจะต้องใช้ทักษะทางโลกมาคิดวิเคราะห์เพื่อคำนวนหาคำตอบ)
การรับรู้ด้วยใจคล้ายตาทิพย์นี้ จิตมันเป็นผู้รู้ เมื่อจิตสะอาด ความเป็นทิพย์ของจิตก็เกิดขึ้น จิตมันก็รับรู้ได้เอง (ถ้าไม่เกินวิสัยที่คุณจะรู้ได้)
เพราะฉนั้น ผู้ฝึก มโนมยิทธิ จะต้องฝึกให้ตัวเองคุ้นเคยกับการจับความรู้สึกแรกให้แม่นยำ ไม่ใช่ใช้การคิดคำนวนวิเคราะห์มาหาคำตอบ (ซึ่งผิดวิธี)
บางคนฝึกใช้จิตดูเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีนั่งอยู่ริมถนน แล้วทายเลขทะเบียนรถล่วงหน้า ว่ารถที่จะกำลังโผล่พ้นหัวมุมถนนออกมา เป็นเลขอะไร?
บางคนเล่นทายวัตถุและสีของวัตถุในกล่องปิดทึบ ว่าเป็นวัตถุอะไร? และสีอะไร?
บางคนเล่นทายถึงการแต่งตัวและสีของเสื้อผ้าของเพื่อน ในขณะที่กำลังคุยกันทางโทรศัพท์ ว่าแต่งตัวอย่างไร? ใส่สีอะไร?
(ถ้าเห็นตัวเลข หรือภาพหน้าคน หรือภาพวัตถุใดๆ ก็ให้ใช้ความรู้สึกแรกหรือภาพแรกที่เห็น) (แต่ถ้าไม่รู้สึกเลย แสดงว่าจิตไม่สะอาด แสดงว่าเดาล้วนๆ)
ทุกๆครั้งของการฝึก จิตจะต้องสะอาด (ในระดับอุปจารสมาธิ) ซึ่งคนๆนั้น จะต้องรู้วิธีวางกำลังใจให้สะอาด โดยคนๆนั้นจะต้องมีศีลบริสุทธิ์เป็นพื้น
ถ้าศีลของคุณไม่บริสุทธิ์ ไม่ว่าคุณจะพยายามนึกวางกำลังใจให้บริสุทธิ์อย่างไร คุณก็ทำได้ไม่ถึง (เพราะใจจริงๆภายในมันยังสกปรกอยู่)
เพราะว่า ผู้ที่บกพร่องในศีล ก็คือผู้ที่ยังมีอารมณ์ในการถือศีลไม่เด็ดขาด ลึกๆในใจยังพอใจในการละเมิดล่วงศีลผู้อื่นอยู่ จิตจึงไม่สะอาด
(อยากจะให้ผู้อื่นมีศีลเพื่อเรา แต่ตัวเราเองไม่อยากจะถือศีลเพื่อผู้อื่น ยังอยากจะได้อะไรจากผู้อื่นมาโดยมิชอบอยู่ง่ายๆ ซ่อนอยู่ในใจ)
(ถ้าจะให้พูดกันตรงๆเลยก็คือ ยังเป็นอารมณ์ของผู้ที่ยังต้องตกนรกอยู่ จึงฝึกอะไรไม่สำเร็จ)
เพราะฉนั้น ถ้าการใช้จิตของคุณ ประกอบไปด้วยความโลภ คุณจะทายอะไรไม่ถูก (เพราะความโลภจะทำให้จิตไม่สะอาด)
เพราะฉนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีศีลบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานเสมอ (ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ สมาธิเป็นพื้นฐานของปัญญา)
"เมื่อมีศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆก็จะเกิดขึ้นมาเอง"
สำหรับภาพนิมิตในขณะที่นั่งฝึกสมาธินั้น ไม่จำเป็นจะต้องเกิดในขณะที่นั่ง แต่อาจจะเป็นตอนเคลิ้มใกล้จะหลับ หรือ เคลิ้มใกล้จะตื่นนอน (จิตรวมเอง)
จะมีจุดสังเกตถึงความแตกต่างระหว่าง ความฝัน กับ ภาพนิมิต ก็คือ......
ความฝันนั้น คุณจะไม่มีสติ เหมือนมีคนมาฉายหนังให้คุณดู คุณจะทำอะไรไม่ได้นอกจากดู และภาพจะไม่ชัดเจน
แต่ภาพนิมิตนั้น คุณจะมีสติ เดินเลือกดูบนล่างซ้ายขวาได้รอบตัว และเข้าไปอยู่ในหนังนั้นเอง (เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆเอง)
สัมผัสต่างๆเช่น กลิ่นอะไรลอยมา ลมพัดมาโดนตัว การหยิบจับวัตถุ จะรู้สึกเสมือนจริงทั้งหมด และภาพทุกอย่างจะแจ่มชัดเหมือนจริง หรือยิ่งกว่าจริง
((((( สำหรับผู้ที่เคยได้ ฌานสมาธิ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ระดับฌานสมาธิที่คุณเคยได้ในทันที
(เช่น ถ้าเคยได้ ฌาน2 ของ อานาปานสติ มาแล้วจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตก็จะวิ่งไปหยุดที่ฌาน2 ทันที)
((((( ส่วนผู้ที่เคยได้ กสิณ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ดวงกสิณที่ตนเองเคยได้ก็จะปรากฏขึ้นในจิตทันที (ความสามารถเดิมของจิตปรากฏ)
(เช่น ถ้าเคยได้กสิณแสงสว่างมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นดวงแก้วสว่างใสเกิดขึ้นในจิตทันที)
แล้วให้ตรวจสอบดูว่า ดวงแก้วที่คุณเห็นนั้น มีลักษณะอย่างไร? มีสีอะไร? มีประกายพรึกเต็มดวงหรือไม่? (ดูระดับฌานของกสิณ ว่าได้ขั้นไหน?)
(ถ้าเป็นประกายพรึกเต็มดวง จะเป็น ฌาน4 ของกสิณ ถ้าไม่เต็มดวง ก็คือฌานน้อยลงมา) (ประกายพรึก คล้ายๆกับเพชรที่ส่องกับแสงแดดเป็นประกาย)
เมื่อได้ ฌาน4ของกสิณเป็นประกายพรึกเต็มดวง แล้วลองอธิษฐานจิต ให้ภาพ นรกหรือสวรรค์ ปรากฏขึ้น (ภาพนรกหรือสวรรค์ ก็จะปรากฏ)
บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นเป็นจอภาพสี่เหลี่ยมลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางความมืด (รอบตัวจะมืดสนิท)
จอภาพนี้จะมีความแจ่มชัดเสมือนของจริง หรือยิ่งกว่าจริง และ จะมีสติ เลือกเดินดูบนล่างซ้ายขวาได้ตามใจ (ตราบเท่าที่สมาธิยังไม่เคลื่อน)
เป็นจอภาพของผู้ที่เคยได้ทิพย์จักษุญาณ จะมีจอภาพแบบนี้ปรากฏขึ้นมา
บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด เจ้ากรรมนายเวรก็จะแสดงตัวปรากฏให้เห็นในนิมิต บอกว่าเขาต้องการอะไร
(คนไหนถ้าฝึกสมาธิได้ดีพอ ถึงจุดที่เจ้ากรรมนายเวรจะติดต่อได้ เขาอาจจะแสดงตัวให้คุณเห็นในนิมิต และพูดคุยกับคุณ บอกว่าเขาต้องการอะไร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้