ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 กสิณ 10 ตอนที่ 2.1 https://ppantip.com/topic/43177569

กสิณ 10 ตอนที่ 2.2

จิตมีความรู้สึกว่าข้างหน้านี้ไม่มีอะไรเหลือ ข้างหลังไม่มีอะไร มันว่างเฉย ๆ ถ้าคุณจะถามผมว่ามันเป็นไปได้หรือ ผมก็ต้องตอบว่า ถ้าหากว่าคุณทำเป็นฌานมันก็เป็นของไม่ยาก แล้วสำหรับอากาสกสิณนี่มีสภาพว่าง เห็นว่างตลอด ไอ้ความว่างนี่แหละมันเป็นอุปจารสมาธิ ต่อไปความว่างที่เราจับเป็นจุดข้างหน้านั่นมันจะกลายเป็นสีขาวขึ้นมา คือมันโล่งไม่มีภาพอย่างอื่นติด แต่กลายเป็นสีขาว ก็ให้มันเป็นสีขาวทึบ จะนึกหลับตานึกถึงด้านไหนของอากาศก็ตาม ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ซ้าย ขวา ก็ตาม ความรู้สึกจะเป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ จนกระทั่งหลับตานึกปั๊บ หรือลืมตาอยู่ก็ตาม นึกเอาจิตเห็น สภาพของอากาศแพรวพราวเป็นประกาย ตอนนี้ก็จับอารมณ์ตามปฐวีกสิณ ว่าปฐวีกสิณ อารมณ์อย่างใดเขาเรียกว่าปฐมฌาน อารมณ์อย่างใดเขาเรียกว่าฌาน 4

ทีนี้มา อาโลกกสิณ กสิณข้อที่ 6 ผมไม่ได้เขียนไว้ อาโลกกสิณเรามองแสงสว่างเป็นสำคัญ คำว่าแสงสว่างนี่เราไม่ต้องการดวงจันทร์ เราไม่ต้องการดวงอาทิตย์ เราไม่ต้องการแสงไฟ ต้องการแต่แสงสว่างอย่างเดียว วิธีปฏิบัติ สมัยก่อนท่านจุดไฟไว้ในที่ลับ เอาถังครอบไว้ ถังก้นทะลุ ตัวไฟไม่เห็น เห็นแต่แสงสว่าง จับแสงสว่างอย่างเดียว แล้วก็แสงสว่างนั้นติดตาติดใจอยู่เสมอ จนกระทั่งที่สุดแสงสว่างกลายเป็นสีชาว ขาวขึ้นมา ๆ ๆ ทึบเต็มที่ เราจะยักย้ายไปที่ไหนก็ได้ อย่างนี้เป็นอุปจารสมาธิ แล้วก็เป็นประกาย ประกายเต็มที่เป็นอัปปนาสมาธิ หมายถึงว่าฌานที่ 4 นี่ผมขอพูดย่อ ๆ เพราะว่าถ้าทำได้อย่างเดียว ก็ทำได้หมด

ทีนี้เวลาเหลืออีกประมาณไม่ถึง 10 นาที ผมก็จะขอพูดถึงอานุภาพของกสิณ แต่ความจริงเรื่องการแนะนำเรื่องกสิณนี่ เฉพาะด้านสุกขวิปัสสโกนี่ เขาไม่พูดกันมาก เพียงจับได้อุปจารสมาธิ แล้วก็ใช้วิปัสสนาญาณควบเลยก็ได้ หรือว่าจะทำให้ถึงฌาน 4 ส่วนสุกขวิปัสสโกนี่ เขาไม่เอาฌาน เอาแค่อุปจารสมาธิ หรืออุปจารฌานก็พอแล้ว แล้วควบกันไปกับวิปัสสนาญาณก็เป็นอรหันต์ คราวนี้ผมจะยังไม่พูด ขอพูดเพื่อการศึกษา แต่ความจริงเรื่องกสิณนี่ เรามีการสอนกันอยู่แล้ว แต่ว่าในลำดับหมวดปีนี้ก็จะขอพูดเป็นหมวดไว้เลย

สำหรับ ปฐวีกสิณ นี่มีอานุภาพทำของที่อ่อนให้แข็งตามที่พูดมาแล้ว ถ้าเราจะเดินไปบนน้ำแล้วคิดว่าที่นี้จงแข็ง น้ำมันก็จะแข็ง จะเดินไปบนอากาศ นี่เดินนะไม่ใช่เหาะนะ อธิษฐานว่าขออากาศที่เราเหยียบไปนี่จงแข็ง มันก็แข็ง หรืออะไรก็ตาม ถ้ามันอ่อนเกินไป เราให้แข็งตามที่เราต้องการ มันก็เป็นไปได้

สำหรับ อาโปกสิณ ถ้าไม่มีน้ำจะกินที่ไหน อธิษฐานให้มันเกิดน้ำขึ้นมามันก็เกิด หรือว่าฝนไม่ตก อธิษฐานให้ฝนตกฝนก็ตก ถ้าทำได้แล้วอย่ซนนะ อย่าซนอย่าไปเล่นเข้า พระพุทธเจ้าท่านห้ามแสดงปาฏิหาริย์

สำหรับ เตโชกสิณ นั้น เตโชกสิณนี่ ทำที่มืดให้สว่างก็ได้ หรือว่าถ้าเราจะใช้กำลังไฟ ของมันเย็นเกินไปเราทำให้ร้อน อย่างอากาศเย็นเกินไป เราต้องการให้มันอุ่นระดับไหน มันก็สามารถจะอุ่นระดับนั้น หรือทำให้เกิดเป็นไฟลุกพรึ่บพรั่บ ๆ อย่างนี้ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตโชกสิณสำคัญ ระวัง เล่นนักปฏิบัติโดดหน้าต่งหน้าต่างมารายหนึ่งแล้ว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเวลาภาวนาไปเพ่งภาพกสิณ ไอ้เตโชกสิณก็เป็นไฟกองใหญ่ลุกพรึบ ล้อมตัวเข้ามา โดยเข้าใจว่าไฟติดบ้าน เลยโดดหน้าต่างไป สำหรับทำเตโชกสิณนี้ต้องระมัดระวัง ต้องไว้ใจได้เสมอว่าไฟจะไม่ไหม้อะไร เตโชกสิณนี้ถ้าได้แล้ว เป็นปัจจัยให้ได้ทิพพจักขุญาณ ถ้าทำเตโชกสิณนี่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ถ้าได้ถึงอุปจารสมาธิ มันก็เป็นทิพพจักขุญาณ

สำหรับ วาโยกสิณ นี่ ทำสภาพให้เบา ของหนักทำให้เบาได้ ตลอดจนกระทั่งทำตัวให้เบา ลอยไปในอากาศที่เราเรียกว่าเหาะ อันนี้เป็นเรื่องของอธิษฐานเป็นเรื่องของอภิญญา 6

สำหรับ โลหิตกสิณ สีแดง โลหิตกสิณสีแดงนี่ ถ้าสีอื่นมีอยู่เราไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ต้องการให้เป็นสีแดง ก็ใช้โลหิตกสิณ

สำหรับ ปีตกสิณ เป็นกสิณสีเหลือง สมมุติว่าเราอยากจะให้ดินเป็นทองคำ ก็อธิษฐานว่าขอดินนี้จงเป็นทองคำ ดินมันก็เป็นทองคำเป็นสีเหลือง จะให้เป็นเหลืองแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ

สำหรับ นีลกสิณ เป็นกสิณสีเขียว คือทำสถานที่ วัตถุให้เป็นสีเขียวก็ได้ เป็นสีดำก็ได้ ที่มันสว่างมากเกินไป ทำให้มันมืดเสียก็ได้ อย่างนี้ที่ท่านเรียกว่าท่านใช้อำนาจจิต กำบังกาย คือใช้กสิณอันนี้

โอทาตกสิณ เป็นกสิณสีขาว เราสามารถจะทำอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง สีอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสีอื่นอยู่แล้วให้เป็นสีขาว คนดำทำให้เป็นคนขาว ของแดงของเขียว ให้เป็นของขาว อย่างนี้ทำได้

สำหรับ อากาสกสิณ อากาสกสิณนี่แปลว่าช่องว่าง อากาสกสิณนี่ อานุภาพของอากาสกสิณ อย่าลืมนะอากาสกสิณก็ดี เตโชกสิณก็ดี อาโลกกสิณก็ดี เป็นพื้นฐานของทิพพจักขุญาณ 3 อย่างนี่ แต่ที่ตรงจริง ๆ ก็คือ อาโลกกสิณสำหรับอากาสกสิณนี่ อธิษฐานทุกอย่างให้เป็นสภาพของอากาศให้ว่าง อย่างของที่เขาใส่ไว้ในหีบในห่อในตู้ในเซฟ หรือของที่มีที่มุงบัง หรือว่าของที่อยู่ใต้พื้นแผ่นดิน ถ้าเราต้องการจะรู้ เราก็ใช้ อากาศกสิณ อธิษฐานจิตว่าสิ่งที่ปิดบังสิ่งเหล่านั้นอยู่ จงว่างไป ขอสภาวะอย่างนั้นจงปรากฎ อย่างสมมุติเราอยากจะดูน้ำมันใต้แผ่นดิน ว่าประเทศไทยมันมีน้ำมันไหม เรานั่งอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องเดินไปทั่วประเทศหรอก เราจะดูทั่วโลกมันก็ดูได้ เอาแค่ตรงนี้ ว่าขอปฐวีกสิณของแผ่นดินก็ดี หรือสิ่งที่บังก็ดีจงว่างไปเสีย ภาพน้ำมันจงปรากฎ เพียงแค่เท่านี้ก็จะเห็นว่ามันมีน้ำมันในพื้นของประเทศไทยไหม หรือว่าส่วนใดของโลกมีมากมีน้อย หรือต้องการจะดูทองจะดูแร่ก็ได้ แต่ระวังให้ดีนะ อย่าให้ใจมันเกิดความโลภเข้ามา ถ้าใจเกิดความโลกเข้ามาเมื่อไร มันก็ไม่เห็นเมื่อนั้น

สำหรับ อาโลกกสิณ แสงสว่าง ก็มีสภาพเหมือนอากาสกสิณ อาโลกกสิณนี่ก็ทำให้สว่าง สิ่งที่มันมืดคือของที่มันปิดมันบังอยู่ก็แสดงว่ามันมืด เมื่อเราใช้อาโลกกสิณ เข้าไปกำหนดรู้ ของภายในที่เขาปิดบังไว้ เราก็สามารถเห็นใด้ คือมันสว่างเข้าไป

รวมความว่ากสิณทั้งสิบประการ สำหรับวันนี้มันก็จะหมดเวลาอยู่แล้ว ผมก็ขออธิบาย ย่อ ๆ มาเพียงเท่านี้ แต่ถ้าหากว่า ถ้าจะใช้ด้านอภิญญาก็ไปดูที่อธิบายไว้แล้ว คือความจำเป็นจริง ๆ ผมว่ามันไม่จำเป็น และอย่ามัวไปนั่งเล่นอภิญญาสมาบัติไม่ได้เกิดประโยชน์ หรือจะไปเล่นวิชชาสามมันก็แค่นั้นแหละ แต่ทำเพื่อทรงจิตสมาธิอันนี้ดี มุ่งเอาเป็นอรหันต์กันเลยดีกว่า เพราะการทำกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณเข้าไปควบ อย่างนี้ท่านเป็นอรหันต์ไม่ข้ามวันกันนะ แต่ว่าถ้าวิสัยเดิมยังอ่อนอยู่ ถ้าได้กสิณกองใดกองหนึ่งถึงฌาน 4 ถ้าเอาจริงเอาจัง ถ้าแล้วบารมีอ่อน คำว่าบารมีอ่อนนี่กำลังใจอ่อน จะได้เป็นอรหันต์ภายใน 7 ปี แล้วถ้าบารมีอย่างกลาง กำลังใจอย่างกลางจะเป็นอรหันต์ภายใน 7 เดือน ถ้ามีความเข้มแข็งในกำลังจิตจริง ๆ จะเป็นอรหันต์ภายใน 7 วัน ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรหนักใจ

เอาละท่านทั้งหลาย มองดูเวลาหมดเวลาแล้ว ผมขอสรุปไว้เพียงเท่านี้ สำหรับเรื่องกสิณนี่ยังไม่จบ เพราะทำกสิณกองใดกองหนึ่งต้องเป็นอรหันต์ได้ ผมจะนำ อาการอย่างนั้นอธิบายให้ท่านฟังในวันหน้า สำหรับวันนี้ก็หมดแล้ว ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี

---

ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics

---