รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 5 ดอกไม้กับแมลง
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
.........................................................................................................................................
"ความรักคือสิ่งสวยงาม คนที่ใช้ความรักผิดวิธีย่อมมองเห็นแต่ด้านตรงข้ามของมัน"
ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/39180863
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/39197402
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/39233749
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/39242378
เย็นวันนี้ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันมาที่วัด เพื่อจัดเตรียมสถานที่และปัจจัยต่างๆเอาไว้สำหรับงานทำบุญถวายสลากภัต[1] ที่จะมีในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยแบ่งตามหัวศีล[2]ต่างๆ
( [1] สลากภัต = ทางภาคเหนือเรียกว่า ตานก๋วยสลาก การถวายทานแก่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง โดยการจับสลาก จัดในช่วงออกพรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้อุดมสมบูรณ์ โดยมีการรวมตัวของคณะศรัทธาทั้งหมู่บ้านนำผลไม้และสำรับคาวหวานไปตั้งเป็นสลากถวายพระภิกษุที่นิมนต์มาจากวัดต่างๆ เป็นประเพณีใหญ่สำหรับหมู่บ้านและวัดนั้นๆ)
( [2] หัวศีล = การแบ่งเขตรับผิดชอบงานและกิจกรรมในหมู่บ้านของชาวบ้านตามจำนวนหลังคาเรือน โดยแบ่งตามทิศทาง+ความยาวถนนภายในหมู่บ้าน เช่น ศีล1 หลังคาเรือนภายในรัศมี100 เมตรจากถนนทางทิศใต้ ศีล2 หลังคาเรือนภายในรัศมี100 เมตรจากถนนทางทิศตะวันออก ศีล3 .... ศีล4 .... เป็นต้น)
ชาวบ้านผู้ชายส่วนใหญ่มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้แรงงานทั้งหมด อย่างเช่นการตั้งซุ้มสำหรับนั่งฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งบางคนก็มาช่วยกันตั้งแต่ตอนกลางวัน ยกเสาโครงไม้ มุงหลังคาด้วยแผ่นตับหญ้าคา ปูพื้นนั่งด้วยฟางข้าว จากนั้นใช้เสื่อกกรองทับอีกชั้น ข้างหน้าซุ้มทำเป็นชั้นวางก๋วยสลาก ขนาดสูงเท่าเอว
ส่วนชาวบ้านผู้หญิงมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมอาหารคาวหวาน น้ำท่าบริการแขกเหรื่อ หมากพลู เมี่ยงหวาน เมี่ยงส้ม รวมถึงขบวนช่างฟ้อน
"ยังไม่ไปซ้อมรำอีกหรือครับ?" เดชศักดากับหมอทรงทรัพย์เดินเข้ามายังโรงครัวของวัด เขาเห็นทั้งบัวซอนและสินไหมพร้อมชาวบ้านอีก 3คน ยืนล้อมรอบกระทะใบบัวขนาดใหญ่ ทั้งหมดถือไม้พายด้ามยาวที่ทำจากไม้ไผ่ กำลังช่วยกันกวนบางสิ่งที่อยู่ในกระทะอย่างเพลิดเพลิน
"ช่างฟ้อนยังมาไม่ครบเลยค่ะ ระหว่างรอเลยมาช่วยกวนขนมปาด[3]" บัวซอนส่งยิ้มให้เดชศักดา
"กลิ่นหอมจัง" เดชศักดาก้มหน้ามองดูสิ่งของลักษณะคล้ายแป้งสีน้ำตาลหนืดๆที่อยู่ในกระทะใบบัว
( [3] ขนมปาด = ขนมพื้นเมืองทางภาคเหนือ ทำจากข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเจ้า น้ำอ้อยเคี่ยวจนเหนียวเป็นก้อน ทางภาคเหนือจะนิยมใช้น้ำอ้อยชนิดนี้ในการทำขนมหวานต่างๆ และมะพร้าวทึนทึกขูด)
"คุณหมอกับคุณเดชสบายดีนะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นไปที่ตลาด" บัวเงินกล่าวทักทายชายหนุ่มทั้งสอง เธอกำลังยืนทอดบางสิ่งในกระทะใบบัว อยู่อีกฝากหนึ่งของโรงครัว
"ครับผม ช่วงนี้ยุ่งๆครับ ถึงไม่ได้ไปตลาดด้วยตัวเอง แต่ผมยังให้เหลียวไปซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านพี่มากินที่บ้านประจำ ทอดอะไรครับ?" เดชศักดามองดูแผ่นกลมๆบางๆขนาดเท่าฝ่ามือวางเรียงกันอยู่บนกระด้ง มีทั้งสีขาว สีชมพู สีเหลือง และสีเขียว
"ทอดข้าวแคบ[4] เอาไว้กินคู่กับขนมปาด ลองชิมดูซิค่ะ" บัวเงินหยิบแผ่นกลมๆส่งให้เดชศักดาและหมอทรงทรัพย์คนละแผ่น
( [4] ข้าวแคบ = อาหารว่างทางภาคเหนือ ทำมาจากข้าวสารเหนียวแช่น้ำและบดละเอียดจนเป็นแป้ง งาดำ และเกลือ วิธีการทำคล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อ เพียงแต่ต้องเอาแผ่นแป้งไปตากแดด ก่อนจะรับประทานนิยมทำให้สุกด้วยการทอดหรือปิ้ง)
"ไหมอยู่ตรงโน้นโว้ย กูว่า
ไปตัดแว่นใหม่ได้แล้วมั้ง" เดชศักดาสังเกตเห็นหมอทรงทรัพย์กวาดสายตามองไปรอบวัดเหมือนกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง
"กูรู้แล้วว่าไหมอยู่ทางโน้น กูมองหายัยเหลียว ปรกติถ้ามีงานบุญใหญ่ขนาดนี้ หล่อนต้องเดินเสนอหน้าไปมุมนั้นมุมนี้ หรือไม่ก็ได้ยินเสียงหล่อนพูดดังกังวานกลบเสียงคนทั้งวัด วันนี้แปลกแฮะ อย่าว่าแต่เสียงเลย แม้แต่หน้าก็ยังไม่เห็น"
"ป่านนี้คุณเธออยู่ที่ประสบสุขราม่า เห็นบอกว่ามีหนังเข้าใหม่อยากไปดู กูเลยให้เงินค่าตั๋วไป" เดชศักดายักคิ้ว
"ร้ายไม่เบานะ วางแผนได้ล้ำลึกมาก" หมอทรงทรัพย์ทึ่งในแผนการของเพื่อนสนิท
.....................................................................
เช้าวันงานทำบุญสลากภัต ซึ่งเป็นหนึ่งในงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของหมู่บ้านนี้ ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านจึงพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดไทลื้อ[5] ส่วนชาวบ้านต่างถิ่นรวมถึงบรรดาวัยรุ่นแต่งกายตามสมัยนิยม
( [5] ชุดไทลื้อ ชาวบ้านผู้ชายโพกหัวด้วยผ้าสีน้ำตาล สีขาว หรือสีดำ สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลม แขนเสื้อยาวสีดำหรือสีครามด้วยประดับด้วยแถบผ้าสีต่างๆ มีผืนผ้าต่อจากสายหน้าป้ายมาติดกระดุมเงินบริเวณใกล้รักแร้และเอว ใส่กางเกงก้นลึกสีดำ ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “เตี่ยว 3 ดูก” ผ้าขาวม้าคาดเอว
ชาวบ้านผู้หญิงโพกหัวด้วยผ้าสีขาวหรือสีชมพู สวมเสื้อที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่าเสื้อปั๊ด แขนยาวตัดเสื้อเข้ารูป เอวลอยมีสายหน้าเฉียงผูกติดกันด้วยด้ายฟั่นหรือแถบผ้าเล็กๆที่มุมซ้ายหรือขวาของลำตัว ชายเสื้อนิยมยกลอยขึ้นทั้งสองข้าง สาบเสื้อประดับด้วยแถบผ้าสีต่างๆมีกระดุมเม็ดเล็กเรียงกัน นุ่งซิ่นไทลื้อที่มีลวดลายกลางตัวซิ่น โดยหัวซิ่นเป็นผ้าฝ้ายสีดำหรือสีน้ำตาล ขาว ส่วนตีนซิ่นเป็นผ้าพื้นสีดำ)
บริเวณลานสนามหญ้าข้างวัด เต็มไปด้วยซุ้มของบรรดาร้านรวงต่างๆ มีทั้งอาหารคาว หวาน ผัก ผลไม้ ของใช้ครัวเรือน ของเล่นเด็ก รวมถึงผ้าทอไทลื้อและสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน
สองฝั่งถนนหน้าประตูทางเข้าวัด เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้ารอดูขบวนแห่ซึ่งประกอบด้วยขบวนช่างฟ้อน กลองสะบัดชัย และขบวนคณะศรัทธาต่างหมู่บ้าน
เดชศักดาเฝ้ารอดูขบวนช่างฟ้อนอย่างใจจดใจจ่อ ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปเตรียมไว้พร้อมที่จะกดชัตเตอร์ทันทีที่ขบวนช่างฟ้อนมาถึง
จังหวะของเสียงฆ้องและกลองค่อยๆดังขึ้น อันเป็นสัญญาณว่า ขบวนช่างฟ้อนกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ ภายในขบวนมีช่างฟ้อนเล็บ ฟ้อนรำเรียงกันเป็นแถวตอนลึก ขนานกัน 2แถวๆละ 10คน โดยมีบัวซอนฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางขวามือ สินไหมฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางซ้ายมือ ส่วนเฉลียวศรีนั้นฟ้อนอยู่รั้งท้ายขบวนทางซ้ายมือ
เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึง เดชศักดาจ้องมองสาวช่างฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางขวามือ อย่างไม่ละสายตา เธอสวมเสื้อทรงกระบอกสีขาวแขนยาว คอกลม ห่มสไบเฉียงสีบานเย็น นุ่งผ้าซิ่นทอลายขวาง ลีลาการฟ้อนเล็บช่างงดงามอ่อนช้อย
เขารีบยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ใบหน้าสวยหวานรูปไข่รับกับทรงผมเกล้ามวยทัดดอกจำปี คิ้วอ่อนโค้งเข้มนิดๆจากดินสอเขียน เปลือกตาสีฟ้าอ่อนจากเครื่องสำอางค์ ขนตางอนเป็นแผงช่วยเสริมดวงตากลมโตให้ชวนน่าค้นหา แก้มสีชมพูนวลดูเข้ากับริมฝีปากแดงแวววาว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ตรึงตราตรึงใจในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ปรกติบัวซอนเป็นคนที่ไม่แต่งหน้าไม่ค่อยแต่งตัวอะไรมาก ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงผ้ารัดรูปหรือไม่ก็กางเกงขา 3ส่วน ผมก็แค่มัดไว้ตรงท้ายทอย ไม่เหมือนพวกสาวๆส่วนใหญ่ที่ชอบย้อมสีผมและตัดผมเป็นทรงต่างๆตามสมัยนิยม
หลังจากขบวนช่างฟ้อน กลองสะบัดชัย และขบวนคณะศรัทธาต่างหมู่บ้าน ได้เข้ามาถึงในวัดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งในวิหารหรือตามซุ้มหมายเลขหัวศีลต่างๆ ชาวบ้านบางกลุ่มก็ไปช่วยงานตามความถนัดของแต่ละคน สำหรับเฉลียวศรี พอฟ้อนเล็บเสร็จก็รีบวิ่งไปช่วยนางศรีต๊อดผู้เป็นแม่ขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ที่ลานสนามหญ้าข้างวัด
"วันนี้บัวซอนสวยมาก รำก็เก่ง เหนื่อยไหมครับ?" เดชศักดารีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว
"ไม่เหนื่อยค่ะ" บัวซอนส่งยิ้ม
"ไม่รอกันเลยนะ" หมอทรงทรัพย์เดินตามหลังมาพร้อมกับสินไหม
"อ้าว ยังจะมาบ่นกูอีก ที่กูรีบเดินนำหน้า ไม่อยากขัดคอ เผื่ออยากเดินกับไหมสองต่อสอง" เดชศักดาสวนกลับ
"เร็วๆ รีบส่งกล้องมา พูดมากอยู่ได้ น่ารำคาญ" หมอทรงทรัพย์รีบตัดบททันที เขารับกล้องถ่ายรูป และจัดการถ่ายรูปคู่ให้เดชศักดากับบัวซอน
จากนั้นก็ถึงรอบของเดชศักดาที่ต้องถ่ายรูปคู่ให้หมอทรงทรัพย์กันสินไหม
ทั้งสองคู่เดินเข้าไปนั่งภายในวิหารเพื่อฟังเทศน์ฟังธรรมและรับพรจากพระสงฆ์
.......................................................................
"พ่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? หนูนึกว่ายังนั่งคุยอยู่กับกลุ่มลุงดิษฐ์ข้างวิหาร" บัวซอนเดินขึ้นเรือนด้วยสีหน้าอิ่มเอมเปรมใจ
"เพิ่งกลับมาเมื่อกี้ ดูมีความสุขจริง" นายแก้วสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกสาว ระยะนี้ดูมีความสุขมากเกินกว่าที่เคยเป็น
"ไม่มีอะไร คนไปวัดไปทำบุญทำทาน ย่อมมีความสุขมากเป็นพิเศษ" บัวซอนให้เหตุผล
"ให้มันจริงอย่างที่เอ็งพูดเถอะ พ่ออยากคุยเรื่องคุณเดช หมู่นี้เห็นเอ็งกับเขาดูสนิทสนมกันเหลือเกิน คุณเดชเป็นคนดีมีน้ำใจ ไม่เคยถือเนื้อถือตัวกับคนอย่างพวกเราเลย พ่อไม่อยากให้เอ็งฝันสูงเกินไป อีกอย่างเอ็งเป็นผู้หญิงด้วย ถ้าเกิดไปแอบชอบเขาฝ่ายเดียว มันไม่ดีไม่งาม เขากับพวกเรามันคนละชั้นกัน ที่พ่อพูดเพราะพ่อรักเอ็ง ไม่อยากเห็นเอ็งต้องเสียใจ" นายแก้วตักเตือนลูกสาวด้วยความห่วงใย
"จ๊ะ หนูจะจำไว้" บัวซอนรับคำ
....................................................................
รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 5 ดอกไม้กับแมลง
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
.........................................................................................................................................
"ความรักคือสิ่งสวยงาม คนที่ใช้ความรักผิดวิธีย่อมมองเห็นแต่ด้านตรงข้ามของมัน"
ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/39180863
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/39197402
ตอนที่ 3 https://ppantip.com/topic/39233749
ตอนที่ 4 https://ppantip.com/topic/39242378
เย็นวันนี้ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันมาที่วัด เพื่อจัดเตรียมสถานที่และปัจจัยต่างๆเอาไว้สำหรับงานทำบุญถวายสลากภัต[1] ที่จะมีในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยแบ่งตามหัวศีล[2]ต่างๆ
( [1] สลากภัต = ทางภาคเหนือเรียกว่า ตานก๋วยสลาก การถวายทานแก่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง โดยการจับสลาก จัดในช่วงออกพรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้อุดมสมบูรณ์ โดยมีการรวมตัวของคณะศรัทธาทั้งหมู่บ้านนำผลไม้และสำรับคาวหวานไปตั้งเป็นสลากถวายพระภิกษุที่นิมนต์มาจากวัดต่างๆ เป็นประเพณีใหญ่สำหรับหมู่บ้านและวัดนั้นๆ)
( [2] หัวศีล = การแบ่งเขตรับผิดชอบงานและกิจกรรมในหมู่บ้านของชาวบ้านตามจำนวนหลังคาเรือน โดยแบ่งตามทิศทาง+ความยาวถนนภายในหมู่บ้าน เช่น ศีล1 หลังคาเรือนภายในรัศมี100 เมตรจากถนนทางทิศใต้ ศีล2 หลังคาเรือนภายในรัศมี100 เมตรจากถนนทางทิศตะวันออก ศีล3 .... ศีล4 .... เป็นต้น)
ชาวบ้านผู้ชายส่วนใหญ่มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้แรงงานทั้งหมด อย่างเช่นการตั้งซุ้มสำหรับนั่งฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งบางคนก็มาช่วยกันตั้งแต่ตอนกลางวัน ยกเสาโครงไม้ มุงหลังคาด้วยแผ่นตับหญ้าคา ปูพื้นนั่งด้วยฟางข้าว จากนั้นใช้เสื่อกกรองทับอีกชั้น ข้างหน้าซุ้มทำเป็นชั้นวางก๋วยสลาก ขนาดสูงเท่าเอว
ส่วนชาวบ้านผู้หญิงมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมอาหารคาวหวาน น้ำท่าบริการแขกเหรื่อ หมากพลู เมี่ยงหวาน เมี่ยงส้ม รวมถึงขบวนช่างฟ้อน
"ยังไม่ไปซ้อมรำอีกหรือครับ?" เดชศักดากับหมอทรงทรัพย์เดินเข้ามายังโรงครัวของวัด เขาเห็นทั้งบัวซอนและสินไหมพร้อมชาวบ้านอีก 3คน ยืนล้อมรอบกระทะใบบัวขนาดใหญ่ ทั้งหมดถือไม้พายด้ามยาวที่ทำจากไม้ไผ่ กำลังช่วยกันกวนบางสิ่งที่อยู่ในกระทะอย่างเพลิดเพลิน
"ช่างฟ้อนยังมาไม่ครบเลยค่ะ ระหว่างรอเลยมาช่วยกวนขนมปาด[3]" บัวซอนส่งยิ้มให้เดชศักดา
"กลิ่นหอมจัง" เดชศักดาก้มหน้ามองดูสิ่งของลักษณะคล้ายแป้งสีน้ำตาลหนืดๆที่อยู่ในกระทะใบบัว
( [3] ขนมปาด = ขนมพื้นเมืองทางภาคเหนือ ทำจากข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเจ้า น้ำอ้อยเคี่ยวจนเหนียวเป็นก้อน ทางภาคเหนือจะนิยมใช้น้ำอ้อยชนิดนี้ในการทำขนมหวานต่างๆ และมะพร้าวทึนทึกขูด)
"คุณหมอกับคุณเดชสบายดีนะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นไปที่ตลาด" บัวเงินกล่าวทักทายชายหนุ่มทั้งสอง เธอกำลังยืนทอดบางสิ่งในกระทะใบบัว อยู่อีกฝากหนึ่งของโรงครัว
"ครับผม ช่วงนี้ยุ่งๆครับ ถึงไม่ได้ไปตลาดด้วยตัวเอง แต่ผมยังให้เหลียวไปซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านพี่มากินที่บ้านประจำ ทอดอะไรครับ?" เดชศักดามองดูแผ่นกลมๆบางๆขนาดเท่าฝ่ามือวางเรียงกันอยู่บนกระด้ง มีทั้งสีขาว สีชมพู สีเหลือง และสีเขียว
"ทอดข้าวแคบ[4] เอาไว้กินคู่กับขนมปาด ลองชิมดูซิค่ะ" บัวเงินหยิบแผ่นกลมๆส่งให้เดชศักดาและหมอทรงทรัพย์คนละแผ่น
( [4] ข้าวแคบ = อาหารว่างทางภาคเหนือ ทำมาจากข้าวสารเหนียวแช่น้ำและบดละเอียดจนเป็นแป้ง งาดำ และเกลือ วิธีการทำคล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อ เพียงแต่ต้องเอาแผ่นแป้งไปตากแดด ก่อนจะรับประทานนิยมทำให้สุกด้วยการทอดหรือปิ้ง)
"ไหมอยู่ตรงโน้นโว้ย กูว่าไปตัดแว่นใหม่ได้แล้วมั้ง" เดชศักดาสังเกตเห็นหมอทรงทรัพย์กวาดสายตามองไปรอบวัดเหมือนกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง
"กูรู้แล้วว่าไหมอยู่ทางโน้น กูมองหายัยเหลียว ปรกติถ้ามีงานบุญใหญ่ขนาดนี้ หล่อนต้องเดินเสนอหน้าไปมุมนั้นมุมนี้ หรือไม่ก็ได้ยินเสียงหล่อนพูดดังกังวานกลบเสียงคนทั้งวัด วันนี้แปลกแฮะ อย่าว่าแต่เสียงเลย แม้แต่หน้าก็ยังไม่เห็น"
"ป่านนี้คุณเธออยู่ที่ประสบสุขราม่า เห็นบอกว่ามีหนังเข้าใหม่อยากไปดู กูเลยให้เงินค่าตั๋วไป" เดชศักดายักคิ้ว
"ร้ายไม่เบานะ วางแผนได้ล้ำลึกมาก" หมอทรงทรัพย์ทึ่งในแผนการของเพื่อนสนิท
.....................................................................
เช้าวันงานทำบุญสลากภัต ซึ่งเป็นหนึ่งในงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของหมู่บ้านนี้ ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านจึงพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดไทลื้อ[5] ส่วนชาวบ้านต่างถิ่นรวมถึงบรรดาวัยรุ่นแต่งกายตามสมัยนิยม
( [5] ชุดไทลื้อ ชาวบ้านผู้ชายโพกหัวด้วยผ้าสีน้ำตาล สีขาว หรือสีดำ สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลม แขนเสื้อยาวสีดำหรือสีครามด้วยประดับด้วยแถบผ้าสีต่างๆ มีผืนผ้าต่อจากสายหน้าป้ายมาติดกระดุมเงินบริเวณใกล้รักแร้และเอว ใส่กางเกงก้นลึกสีดำ ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “เตี่ยว 3 ดูก” ผ้าขาวม้าคาดเอว
ชาวบ้านผู้หญิงโพกหัวด้วยผ้าสีขาวหรือสีชมพู สวมเสื้อที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่าเสื้อปั๊ด แขนยาวตัดเสื้อเข้ารูป เอวลอยมีสายหน้าเฉียงผูกติดกันด้วยด้ายฟั่นหรือแถบผ้าเล็กๆที่มุมซ้ายหรือขวาของลำตัว ชายเสื้อนิยมยกลอยขึ้นทั้งสองข้าง สาบเสื้อประดับด้วยแถบผ้าสีต่างๆมีกระดุมเม็ดเล็กเรียงกัน นุ่งซิ่นไทลื้อที่มีลวดลายกลางตัวซิ่น โดยหัวซิ่นเป็นผ้าฝ้ายสีดำหรือสีน้ำตาล ขาว ส่วนตีนซิ่นเป็นผ้าพื้นสีดำ)
บริเวณลานสนามหญ้าข้างวัด เต็มไปด้วยซุ้มของบรรดาร้านรวงต่างๆ มีทั้งอาหารคาว หวาน ผัก ผลไม้ ของใช้ครัวเรือน ของเล่นเด็ก รวมถึงผ้าทอไทลื้อและสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน
สองฝั่งถนนหน้าประตูทางเข้าวัด เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้ารอดูขบวนแห่ซึ่งประกอบด้วยขบวนช่างฟ้อน กลองสะบัดชัย และขบวนคณะศรัทธาต่างหมู่บ้าน
เดชศักดาเฝ้ารอดูขบวนช่างฟ้อนอย่างใจจดใจจ่อ ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปเตรียมไว้พร้อมที่จะกดชัตเตอร์ทันทีที่ขบวนช่างฟ้อนมาถึง
จังหวะของเสียงฆ้องและกลองค่อยๆดังขึ้น อันเป็นสัญญาณว่า ขบวนช่างฟ้อนกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ ภายในขบวนมีช่างฟ้อนเล็บ ฟ้อนรำเรียงกันเป็นแถวตอนลึก ขนานกัน 2แถวๆละ 10คน โดยมีบัวซอนฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางขวามือ สินไหมฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางซ้ายมือ ส่วนเฉลียวศรีนั้นฟ้อนอยู่รั้งท้ายขบวนทางซ้ายมือ
เมื่อขบวนเคลื่อนมาถึง เดชศักดาจ้องมองสาวช่างฟ้อนนำหน้าขบวนแถวทางขวามือ อย่างไม่ละสายตา เธอสวมเสื้อทรงกระบอกสีขาวแขนยาว คอกลม ห่มสไบเฉียงสีบานเย็น นุ่งผ้าซิ่นทอลายขวาง ลีลาการฟ้อนเล็บช่างงดงามอ่อนช้อย
เขารีบยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ใบหน้าสวยหวานรูปไข่รับกับทรงผมเกล้ามวยทัดดอกจำปี คิ้วอ่อนโค้งเข้มนิดๆจากดินสอเขียน เปลือกตาสีฟ้าอ่อนจากเครื่องสำอางค์ ขนตางอนเป็นแผงช่วยเสริมดวงตากลมโตให้ชวนน่าค้นหา แก้มสีชมพูนวลดูเข้ากับริมฝีปากแดงแวววาว ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ตรึงตราตรึงใจในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ปรกติบัวซอนเป็นคนที่ไม่แต่งหน้าไม่ค่อยแต่งตัวอะไรมาก ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงผ้ารัดรูปหรือไม่ก็กางเกงขา 3ส่วน ผมก็แค่มัดไว้ตรงท้ายทอย ไม่เหมือนพวกสาวๆส่วนใหญ่ที่ชอบย้อมสีผมและตัดผมเป็นทรงต่างๆตามสมัยนิยม
หลังจากขบวนช่างฟ้อน กลองสะบัดชัย และขบวนคณะศรัทธาต่างหมู่บ้าน ได้เข้ามาถึงในวัดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งในวิหารหรือตามซุ้มหมายเลขหัวศีลต่างๆ ชาวบ้านบางกลุ่มก็ไปช่วยงานตามความถนัดของแต่ละคน สำหรับเฉลียวศรี พอฟ้อนเล็บเสร็จก็รีบวิ่งไปช่วยนางศรีต๊อดผู้เป็นแม่ขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ที่ลานสนามหญ้าข้างวัด
"วันนี้บัวซอนสวยมาก รำก็เก่ง เหนื่อยไหมครับ?" เดชศักดารีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว
"ไม่เหนื่อยค่ะ" บัวซอนส่งยิ้ม
"ไม่รอกันเลยนะ" หมอทรงทรัพย์เดินตามหลังมาพร้อมกับสินไหม
"อ้าว ยังจะมาบ่นกูอีก ที่กูรีบเดินนำหน้า ไม่อยากขัดคอ เผื่ออยากเดินกับไหมสองต่อสอง" เดชศักดาสวนกลับ
"เร็วๆ รีบส่งกล้องมา พูดมากอยู่ได้ น่ารำคาญ" หมอทรงทรัพย์รีบตัดบททันที เขารับกล้องถ่ายรูป และจัดการถ่ายรูปคู่ให้เดชศักดากับบัวซอน
จากนั้นก็ถึงรอบของเดชศักดาที่ต้องถ่ายรูปคู่ให้หมอทรงทรัพย์กันสินไหม
ทั้งสองคู่เดินเข้าไปนั่งภายในวิหารเพื่อฟังเทศน์ฟังธรรมและรับพรจากพระสงฆ์
.......................................................................
"พ่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? หนูนึกว่ายังนั่งคุยอยู่กับกลุ่มลุงดิษฐ์ข้างวิหาร" บัวซอนเดินขึ้นเรือนด้วยสีหน้าอิ่มเอมเปรมใจ
"เพิ่งกลับมาเมื่อกี้ ดูมีความสุขจริง" นายแก้วสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกสาว ระยะนี้ดูมีความสุขมากเกินกว่าที่เคยเป็น
"ไม่มีอะไร คนไปวัดไปทำบุญทำทาน ย่อมมีความสุขมากเป็นพิเศษ" บัวซอนให้เหตุผล
"ให้มันจริงอย่างที่เอ็งพูดเถอะ พ่ออยากคุยเรื่องคุณเดช หมู่นี้เห็นเอ็งกับเขาดูสนิทสนมกันเหลือเกิน คุณเดชเป็นคนดีมีน้ำใจ ไม่เคยถือเนื้อถือตัวกับคนอย่างพวกเราเลย พ่อไม่อยากให้เอ็งฝันสูงเกินไป อีกอย่างเอ็งเป็นผู้หญิงด้วย ถ้าเกิดไปแอบชอบเขาฝ่ายเดียว มันไม่ดีไม่งาม เขากับพวกเรามันคนละชั้นกัน ที่พ่อพูดเพราะพ่อรักเอ็ง ไม่อยากเห็นเอ็งต้องเสียใจ" นายแก้วตักเตือนลูกสาวด้วยความห่วงใย
"จ๊ะ หนูจะจำไว้" บัวซอนรับคำ
....................................................................