รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 2 สกัดดาวรุ่ง
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
'เราไม่ควรเอาชีวิตไปแขวนไว้บนปากชาวบ้าน พวกเขาจะพูดจะนินทาว่าอะไรก็ช่าง ไม่ต้องสนใจดีที่สุด จะจริงไม่จริงจะดีจะชั่วตัวเราย่อมรู้ดีที่สุด คนเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง กล้าทำต้องกล้ารับ ยอมแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง คนแบบนี้เรียกว่าเป็นคนจริง'
ตอนที่ 1
https://ppantip.com/topic/39180863
.............................................................
บรรยากาศของตลาดสดตอนเย็นประจำหมู่บ้านหรือ"กาดน้อย" คึกคักไปด้วยชาวบ้านในหมู่บ้านและผู้คนต่างถิ่น เข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเนืองแน่น
ทางเข้าด้านทิศเหนือของตลาด มีแผงขายอาหารสำเร็จรูปหรือภาษาท้องถิ่นเรียก"กับข้าวสุก" แผงนี้มีแม่ค้า 2คนแม่ลูก กำลังยืนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะแม่ค้าคนลูก เทคนิคลีลาการเรียกลูกค้าของเธอนั้นช่างไม่ธรรมดา และดูเหมือนผู้คนให้ความสนใจเป็นพิเศษ นับจากจำนวนที่เข้ามายืนมุงจนล้นหน้าแผง
" ธัมโม สังโค.. เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยพบเคยเห็น คนอะไรกอดจูบดูดปากดูดลิ้นกันกลางชานบ้าน แถมมือยังล้วงควักจกกันไปถึงไหนต่อไหน ถ้าไม่รู้จักอายคน ก็หัดอายผีสางเทวดาบ้าง ห้องหับมีไม่รู้จักใช้ ตอนฉันเข้าไปทำความสะอาดห้อง เอาเสื้อผ้ามาซัก ลำพังเสื้อผ้าคุณเดช ฉันยังพอจับต้องเอาไปซักให้ได้ แต่เสื้อผ้าอีช็อกกะรีนั่น อี๋ย.. ! สกปรกโสโครกน่ารังเกียจขยะแขยงเป็นที่สุด ฉันแทบจะเอานิ้วตีนคีบมาใส่ตะกร้า เวลาซักนี่อยากเอาตีนถูขยี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป มีอยู่หนหนึ่ง ฉันเอาปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนไปซัก พอคลี่ผ้าปูที่นอนออกเท่านั้นแหละ อ๊วกแทบพุ่ง ทั้งรอยทั้งคราบมาเต็มๆ อย่าให้พูดต่อเลย ฉันเป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีไม่งาม บัดสีบัดเถลิง" แม่ค้าคนลูกเล่าเรื่องอย่างถึงใจถึงอารมณ์ ไม่เสียชื่อแม่ค้าปากตลาด
"สกปรกน่าขยะแขยงขนาดนั้น ทำไมเอ็งยังไปซักผ้าให้อีก?" หนึ่งในบรรดาลูกค้าที่มายืนฟังเอ่ยถาม
"เงินเท่านั้นที่ทำให้อีเหลียวคนนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ได้ค่าจ้างจากหมอทรัพย์แล้ว คุณเดชยังให้ค่าเหนื่อยฉันพิเศษอีก ถือว่าได้เงิน 2ต่อ ใครไม่เอา ฉันเอา ยังเล่าเรื่องอีช็อกกะรีไม่จบ วันๆคุณเธอไม่ทำอะไรเลยค่ะ นั่งแต่งหน้าทาปากแดงเหมือนเพิ่งจกลาบเลือดมา ทำท่าเป็นคุณนายนั่งกินนอนกิน ขนาดออกไปซื้อข้าวซื้อโน่นซื้อนี่ ยังจ้างฉันไปซื้อเลย เห็นแก่เงินหรอกนะ ฉันถึงยอมไปซื้อให้มัน"
"มันนั่งเสนอหน้าเป็นคุณนายไม่ยอมทำอะไร สงสัยกลางคืนคงทำงานกับคุณเดชจนบานเบิกฟ้า กลางวันมันถึงอยากนอนพักให้ลมโกรกเข้าโกรกออก เอ็งไปรู้ไปเห็นเรื่องเด็ดอะไรก็มาเล่าให้พวกข้าฟังบ้าง แหล่งข่าวไหนก็รู้ไม่จริงเท่าเอ็ง" ลูกค้าที่มายืนมุงอีกคนแสดงความคิดเห็น
"ก่อนจะฟังเรื่องต่อไป ช่วยกันอุดหนุนกับข้าวฉันก่อนซิ คนละถุงสองถุงก็ยังดี ฝีมือแม่ศรีต๊อดอร่อยทุกอย่าง ทั่งแกงหอยขม แกงหยวกกล้วย แกงหน่อไม้ แกงบอน เดี๋ยวจะเล่าเรื่องเด็ดของหนานอ้ายกับเจ๊เกสมให้ฟัง ฉันเห็นมากับสองตาได้ยินมาเต็มสองรูหูเลย อยากรู้แล้วใช่ไหม? ต้องช่วยซื้อกับข้าวก่อน ฉันจะเล่าให้ฟังทันที"
แม่ค้าคนลูกชื่อ"เฉลียวศรี"หรือ"เหลียว" อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบัวซอนและสินไหม รูปร่างผอมเพรียว สูงยาวเข่าดี ชอบเกล้าผมมวย ผิวขาวแบบสาวเหนือ ตาสองชั้น จมูกแบนไม่มีดั้ง ริมฝีปากหนามีไฝเม็ดเล็กซ่อนอยู่ข้างใต้
เธอเป็นไม้เบื่อไม้เมากับบัวซอนและสินไหม โดยเฉพาะบัวซอน ถือเป็นศัตรูหมายเลข1 ของเธอ
เมื่อก่อนเธอเคยแอบชอบ"เอก" ซึ่งเป็นนักมวยและหนุ่มหล่อประจำหมู่บ้าน ที่สาวๆต่างหมายปอง (เทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน คงได้รับฉายา "สามีแห่งชาติ") สุดท้ายคนที่สามารถพิชิตใจนักมวยรูปหล่อประจำหมู่บ้านคือ บัวซอน
เมื่อพลาดเป้าจากนักมวยประจำหมู่บ้าน เธอก็พุ่งเป้าหมายไปที่สินทบแทน เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สินทบสนใจและหันมามองเธอ แต่สินทบก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆตอบสนองเลย แม้สินทบจะอกหักจากบัวซอน เขาก็ยังไม่เลิกหวังลมๆแล้งๆ ยิ่งทำให้เธอเคียดแค้นและริษยาบัวซอนทวีคูณ
ชาวบ้านต่างพร้อมใจตั้งฉายาให้เธอว่า "โทรโข่งประจำหมู่บ้าน" เพราะนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นไปทุกเรื่อง รู้เห็นอะไรนิดหน่อยก็เอามาโพนทะนาไปทั่ว รวมถึงทักษะทางด้านฝีปากที่ไร้เทียมทาน ใครทำอะไรที่ไหน ใครมีปัญหาเดือดร้อน เธอรู้หมด ไม่มีอะไรในหมู่บ้านนี้ที่คนอย่างเฉลียวศรีไม่รู้
งานอดิเรกยามว่างของเธอคือ การปั่นจักรยานรอบหมู่บ้าน ไปบ้านโน้นออกบ้านนี้ (เทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน คงไม่พ้นฉายานี้ "ผู้สาวขาเลาะ") เพื่อหาข่าวซุบซิบนินทาเอาไว้เป็นกลวิธีหลอกล่อให้คนเดินตลาดอยากรู้เห็นจนทนไม่ไหว ยอมซื้อกับข้าวร้านเธอ เธอถึงเล่าให้ฟัง
.........................................................
รถสองแถวสีน้ำเงินจากคิวท่ารถในตัวอำเภอ วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านอย่างช้าๆ และจอดตรงหน้ากาดน้อย
หญิงสาววัย22 ปี ค่อยๆยกกระเป๋าสัมภาระลงจากรถอย่างทะนุถนอม แฟชั่นการแต่งกายของเธอนั้น ดูดีมีระดับ แตกต่างไปจากสาวชาวบ้านละแวกนี้โดยสิ้นเชิง
หลังจ่ายค่าโดยสารเสร็จเรียบร้อย เธอหันหน้ามองดูทิศทางรอบตัวอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง
ขณะนั้นเฉลียวศรีกำลังขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาพอดี หญิงสาวจึงโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้หยุดรถ
"โทษที เธอรู้จักบ้านหมอทรงทรัพย์ไหม? ช่วยบอกทางฉันหน่อย" หญิงสาวต่างถิ่นเอ่ยถาม
เฉลียวศรีจ้องมองหน้าหญิงสาวผมบ๊อบ หน้าขาว ปัดแก้มชมพู จมูกโด่ง ใส่แว่นตากันแดดนำสมัย ทาปากสีแดงแป๊ด บนข้อมือข้างซ้ายใส่นาฬิกามียี่ห้อ จากนั้นกวาดสายตามองชุดอันสวยหรูบนหุ่นอันสะโอดสะอง ลงมายังรองเท้าส้นสูงที่ประเมินราคาแล้วคงแพงหูฉี่แน่นอน
"อ้าว.. ฉันถามทำไมไม่ตอบ มองฉันหัวจรดเท้าแบบนี้ หมายความว่ายังไง? ฉันไม่ชอบนะ มามองแบบนี้ ตกลงจะบอกฉันได้รึยังว่า รู้จักหมอทรงทรัพย์ไหม? บ้านเขาอยู่ไหน? ถ้าไม่บอกก็เชิญไปไกลๆเลย เสียเวลาฉัน" หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจ
"เป็นอะไรกับหมอทรัพย์ ? เป็นเมียหมอทรัพย์? หรือไม่คงเป็นเพื่อนยัยบุนตา มาจากบ้านใหม่?" เฉลียวศรีถามยียวนกวนบาทา
" ว๊าย.. จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เมียหมอทรงทรัพย์ ฉันเป็นคู่หมั้นของพี่เดช มาจากกรุงเทพ นี่คงง้างปากแกได้นะ" หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ควักธนบัตรสีแดงมา1ใบ
"เดี๋ยวหนูพาคุณไปเอง ที่แท้ก็เป็นคู่หมั้นคุณเดช คุณสวยมาก สวยเหมือนดาราในกรุงเทพ หนูชื่อเหลียว ถ้ามีอะไรให้หนูรับใช้ก็เรียกได้ตลอดเวลา บ้านหนูอยู่ใกล้กับหมอทรัพย์ คุณชื่ออะไรค่ะ? หนูจะได้เรียกถูก" เฉลียวศรีตาลุกวาวเมื่อเห็นค่าจ้าง เธอรีบเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วราวจิ้งจก
"ฉันสายนภา เรียกว่า คุณฟ้า ละกัน" หญิงสาวชาวกรุงแนะนำตัวเอง
" ค่ะ คุณฟ้า เออ.. ไปตอนนี้มันจะดีหรือค่ะ หนูไม่รู้จะบอกคุณฟ้ายังไง มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก" เฉลียวศรีเริ่มคันปากยิกๆ เธอจงใจเปิดประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดอาการสงสัย
หญิงสาวสังเกตเห็นสีหน้าผิดปรกติของเฉลียวศรี เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เธอตัดสินใจเปิดกระเป๋าสตางค์อีกรอบพร้อมควักธนบัตรสีแดงมาอีก 2ใบ
"จะบอกได้ยัง? เร็วๆหน่อย ฉันร้อน เหนียวตัวด้วย"
"ได้เลยค่ะ หนูจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดครบถ้วนไม่มีปกปิด" เฉลียวศรีจัดการร่ายยาวเรื่องราวทั้งหมด
รักเก่าเขาและเธอ : ตอนที่ 2 สกัดดาวรุ่ง
ขอขอบคุณเครดิดรูปภาพปกสวยๆจาก คุณรัชต์สารินท์
'เราไม่ควรเอาชีวิตไปแขวนไว้บนปากชาวบ้าน พวกเขาจะพูดจะนินทาว่าอะไรก็ช่าง ไม่ต้องสนใจดีที่สุด จะจริงไม่จริงจะดีจะชั่วตัวเราย่อมรู้ดีที่สุด คนเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง กล้าทำต้องกล้ารับ ยอมแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง คนแบบนี้เรียกว่าเป็นคนจริง'
ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/39180863
.............................................................
บรรยากาศของตลาดสดตอนเย็นประจำหมู่บ้านหรือ"กาดน้อย" คึกคักไปด้วยชาวบ้านในหมู่บ้านและผู้คนต่างถิ่น เข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเนืองแน่น
ทางเข้าด้านทิศเหนือของตลาด มีแผงขายอาหารสำเร็จรูปหรือภาษาท้องถิ่นเรียก"กับข้าวสุก" แผงนี้มีแม่ค้า 2คนแม่ลูก กำลังยืนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะแม่ค้าคนลูก เทคนิคลีลาการเรียกลูกค้าของเธอนั้นช่างไม่ธรรมดา และดูเหมือนผู้คนให้ความสนใจเป็นพิเศษ นับจากจำนวนที่เข้ามายืนมุงจนล้นหน้าแผง
" ธัมโม สังโค.. เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยพบเคยเห็น คนอะไรกอดจูบดูดปากดูดลิ้นกันกลางชานบ้าน แถมมือยังล้วงควักจกกันไปถึงไหนต่อไหน ถ้าไม่รู้จักอายคน ก็หัดอายผีสางเทวดาบ้าง ห้องหับมีไม่รู้จักใช้ ตอนฉันเข้าไปทำความสะอาดห้อง เอาเสื้อผ้ามาซัก ลำพังเสื้อผ้าคุณเดช ฉันยังพอจับต้องเอาไปซักให้ได้ แต่เสื้อผ้าอีช็อกกะรีนั่น อี๋ย.. ! สกปรกโสโครกน่ารังเกียจขยะแขยงเป็นที่สุด ฉันแทบจะเอานิ้วตีนคีบมาใส่ตะกร้า เวลาซักนี่อยากเอาตีนถูขยี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป มีอยู่หนหนึ่ง ฉันเอาปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนไปซัก พอคลี่ผ้าปูที่นอนออกเท่านั้นแหละ อ๊วกแทบพุ่ง ทั้งรอยทั้งคราบมาเต็มๆ อย่าให้พูดต่อเลย ฉันเป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีไม่งาม บัดสีบัดเถลิง" แม่ค้าคนลูกเล่าเรื่องอย่างถึงใจถึงอารมณ์ ไม่เสียชื่อแม่ค้าปากตลาด
"สกปรกน่าขยะแขยงขนาดนั้น ทำไมเอ็งยังไปซักผ้าให้อีก?" หนึ่งในบรรดาลูกค้าที่มายืนฟังเอ่ยถาม
"เงินเท่านั้นที่ทำให้อีเหลียวคนนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ได้ค่าจ้างจากหมอทรัพย์แล้ว คุณเดชยังให้ค่าเหนื่อยฉันพิเศษอีก ถือว่าได้เงิน 2ต่อ ใครไม่เอา ฉันเอา ยังเล่าเรื่องอีช็อกกะรีไม่จบ วันๆคุณเธอไม่ทำอะไรเลยค่ะ นั่งแต่งหน้าทาปากแดงเหมือนเพิ่งจกลาบเลือดมา ทำท่าเป็นคุณนายนั่งกินนอนกิน ขนาดออกไปซื้อข้าวซื้อโน่นซื้อนี่ ยังจ้างฉันไปซื้อเลย เห็นแก่เงินหรอกนะ ฉันถึงยอมไปซื้อให้มัน"
"มันนั่งเสนอหน้าเป็นคุณนายไม่ยอมทำอะไร สงสัยกลางคืนคงทำงานกับคุณเดชจนบานเบิกฟ้า กลางวันมันถึงอยากนอนพักให้ลมโกรกเข้าโกรกออก เอ็งไปรู้ไปเห็นเรื่องเด็ดอะไรก็มาเล่าให้พวกข้าฟังบ้าง แหล่งข่าวไหนก็รู้ไม่จริงเท่าเอ็ง" ลูกค้าที่มายืนมุงอีกคนแสดงความคิดเห็น
"ก่อนจะฟังเรื่องต่อไป ช่วยกันอุดหนุนกับข้าวฉันก่อนซิ คนละถุงสองถุงก็ยังดี ฝีมือแม่ศรีต๊อดอร่อยทุกอย่าง ทั่งแกงหอยขม แกงหยวกกล้วย แกงหน่อไม้ แกงบอน เดี๋ยวจะเล่าเรื่องเด็ดของหนานอ้ายกับเจ๊เกสมให้ฟัง ฉันเห็นมากับสองตาได้ยินมาเต็มสองรูหูเลย อยากรู้แล้วใช่ไหม? ต้องช่วยซื้อกับข้าวก่อน ฉันจะเล่าให้ฟังทันที"
แม่ค้าคนลูกชื่อ"เฉลียวศรี"หรือ"เหลียว" อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบัวซอนและสินไหม รูปร่างผอมเพรียว สูงยาวเข่าดี ชอบเกล้าผมมวย ผิวขาวแบบสาวเหนือ ตาสองชั้น จมูกแบนไม่มีดั้ง ริมฝีปากหนามีไฝเม็ดเล็กซ่อนอยู่ข้างใต้
เธอเป็นไม้เบื่อไม้เมากับบัวซอนและสินไหม โดยเฉพาะบัวซอน ถือเป็นศัตรูหมายเลข1 ของเธอ
เมื่อก่อนเธอเคยแอบชอบ"เอก" ซึ่งเป็นนักมวยและหนุ่มหล่อประจำหมู่บ้าน ที่สาวๆต่างหมายปอง (เทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน คงได้รับฉายา "สามีแห่งชาติ") สุดท้ายคนที่สามารถพิชิตใจนักมวยรูปหล่อประจำหมู่บ้านคือ บัวซอน
เมื่อพลาดเป้าจากนักมวยประจำหมู่บ้าน เธอก็พุ่งเป้าหมายไปที่สินทบแทน เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สินทบสนใจและหันมามองเธอ แต่สินทบก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆตอบสนองเลย แม้สินทบจะอกหักจากบัวซอน เขาก็ยังไม่เลิกหวังลมๆแล้งๆ ยิ่งทำให้เธอเคียดแค้นและริษยาบัวซอนทวีคูณ
ชาวบ้านต่างพร้อมใจตั้งฉายาให้เธอว่า "โทรโข่งประจำหมู่บ้าน" เพราะนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นไปทุกเรื่อง รู้เห็นอะไรนิดหน่อยก็เอามาโพนทะนาไปทั่ว รวมถึงทักษะทางด้านฝีปากที่ไร้เทียมทาน ใครทำอะไรที่ไหน ใครมีปัญหาเดือดร้อน เธอรู้หมด ไม่มีอะไรในหมู่บ้านนี้ที่คนอย่างเฉลียวศรีไม่รู้
งานอดิเรกยามว่างของเธอคือ การปั่นจักรยานรอบหมู่บ้าน ไปบ้านโน้นออกบ้านนี้ (เทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน คงไม่พ้นฉายานี้ "ผู้สาวขาเลาะ") เพื่อหาข่าวซุบซิบนินทาเอาไว้เป็นกลวิธีหลอกล่อให้คนเดินตลาดอยากรู้เห็นจนทนไม่ไหว ยอมซื้อกับข้าวร้านเธอ เธอถึงเล่าให้ฟัง
.........................................................
รถสองแถวสีน้ำเงินจากคิวท่ารถในตัวอำเภอ วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านอย่างช้าๆ และจอดตรงหน้ากาดน้อย
หญิงสาววัย22 ปี ค่อยๆยกกระเป๋าสัมภาระลงจากรถอย่างทะนุถนอม แฟชั่นการแต่งกายของเธอนั้น ดูดีมีระดับ แตกต่างไปจากสาวชาวบ้านละแวกนี้โดยสิ้นเชิง
หลังจ่ายค่าโดยสารเสร็จเรียบร้อย เธอหันหน้ามองดูทิศทางรอบตัวอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง
ขณะนั้นเฉลียวศรีกำลังขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาพอดี หญิงสาวจึงโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้หยุดรถ
"โทษที เธอรู้จักบ้านหมอทรงทรัพย์ไหม? ช่วยบอกทางฉันหน่อย" หญิงสาวต่างถิ่นเอ่ยถาม
เฉลียวศรีจ้องมองหน้าหญิงสาวผมบ๊อบ หน้าขาว ปัดแก้มชมพู จมูกโด่ง ใส่แว่นตากันแดดนำสมัย ทาปากสีแดงแป๊ด บนข้อมือข้างซ้ายใส่นาฬิกามียี่ห้อ จากนั้นกวาดสายตามองชุดอันสวยหรูบนหุ่นอันสะโอดสะอง ลงมายังรองเท้าส้นสูงที่ประเมินราคาแล้วคงแพงหูฉี่แน่นอน
"อ้าว.. ฉันถามทำไมไม่ตอบ มองฉันหัวจรดเท้าแบบนี้ หมายความว่ายังไง? ฉันไม่ชอบนะ มามองแบบนี้ ตกลงจะบอกฉันได้รึยังว่า รู้จักหมอทรงทรัพย์ไหม? บ้านเขาอยู่ไหน? ถ้าไม่บอกก็เชิญไปไกลๆเลย เสียเวลาฉัน" หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจ
"เป็นอะไรกับหมอทรัพย์ ? เป็นเมียหมอทรัพย์? หรือไม่คงเป็นเพื่อนยัยบุนตา มาจากบ้านใหม่?" เฉลียวศรีถามยียวนกวนบาทา
" ว๊าย.. จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เมียหมอทรงทรัพย์ ฉันเป็นคู่หมั้นของพี่เดช มาจากกรุงเทพ นี่คงง้างปากแกได้นะ" หญิงสาวเปิดกระเป๋าสตางค์ควักธนบัตรสีแดงมา1ใบ
"เดี๋ยวหนูพาคุณไปเอง ที่แท้ก็เป็นคู่หมั้นคุณเดช คุณสวยมาก สวยเหมือนดาราในกรุงเทพ หนูชื่อเหลียว ถ้ามีอะไรให้หนูรับใช้ก็เรียกได้ตลอดเวลา บ้านหนูอยู่ใกล้กับหมอทรัพย์ คุณชื่ออะไรค่ะ? หนูจะได้เรียกถูก" เฉลียวศรีตาลุกวาวเมื่อเห็นค่าจ้าง เธอรีบเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วราวจิ้งจก
"ฉันสายนภา เรียกว่า คุณฟ้า ละกัน" หญิงสาวชาวกรุงแนะนำตัวเอง
" ค่ะ คุณฟ้า เออ.. ไปตอนนี้มันจะดีหรือค่ะ หนูไม่รู้จะบอกคุณฟ้ายังไง มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก" เฉลียวศรีเริ่มคันปากยิกๆ เธอจงใจเปิดประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดอาการสงสัย
หญิงสาวสังเกตเห็นสีหน้าผิดปรกติของเฉลียวศรี เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เธอตัดสินใจเปิดกระเป๋าสตางค์อีกรอบพร้อมควักธนบัตรสีแดงมาอีก 2ใบ
"จะบอกได้ยัง? เร็วๆหน่อย ฉันร้อน เหนียวตัวด้วย"
"ได้เลยค่ะ หนูจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดครบถ้วนไม่มีปกปิด" เฉลียวศรีจัดการร่ายยาวเรื่องราวทั้งหมด