●● ปัญหาปากท้องชาวบ้านช่างมัน!!...ขอเร่งแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นลำดับแรกก่อน?

...เป็นเรื่องที่ทราบกันทั่วไปว่าพรรคการเมืองจำนวนหนึ่ง ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐
   โดยมีเหตุผลต่างๆนานา เช่น ไม่เป็น ปชต.   สืบทอดอำนาจ  เป็นต้น

    เหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังย่อมมีอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะเป็นเรื่อง
    ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้ประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา แตกต่างกันไป 

    เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐...เป็นคุณกับพรรคขนาดเล็ก - กลาง มากกว่าพรรคขนาดใหญ่
    ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ แต่ละพรรคการเมืองก็ย่อมมีเป้าหมายที่ต่างกันไป โดยเล็งผลการเลือกตั้ง
    ในอนาคตเป็นสำคัญ

     กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และใช้เวลานานนับปี...
     ส่วนปัญหาปากท้องของชาวบ้านนั้น สามารถแก้ไขได้เร็วกว่ากันและเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่ากันมาก...

     เป็นที่น่าเสียดายและผิดหวัง...ที่ตอนหาเสียงนั้นพรรคการเมืองส่วนใหญ่มักจะโจมตีรัฐบาลและหยิบยก
     เอาเรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน มาเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญที่สุดที่จะต้องรีบเข้าไปแก้ปัญหา
     หากตนและพรรคการเมืองของตนได้รับเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภา

     แต่ตอนนี้..กลับพบว่าพรรคการเมืองเหล่านั้นเลือกภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนสำคัญลำดับแรกคือ
     การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยละทิ้งปัญหาปากท้องไว้เบื้องหลัง

     ขอบคุณพรรคการเมืองเหล่านี้ที่ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่า... นักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นสำคัญ
      มากกว่าปัญหาของประชาชนนั้น เป็นอย่างไร...

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

●●เพื่อไทยขยับชิงนำรื้อรธน.ทั้งฉบับเขม่น"ปิยบุตร"ไร้เดียงสา !!●●

ไม่รู้เป็นเพราะคำพูด"เลือกเพื่อไทยแต่ได้ ธนาธร"ทำปวดใจหรือเปล่า...

หลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคที่ได้ ส.ส.อันดับหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับ
เปิดทางให้พรรคที่ได้อันดับสามเสนอชื่อหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดความไม่พอใจกัน
ภายในพรรคเพื่อไทยไม่น้อย มีการตั้งคำถามเกิดขึ้นรวมไปถึงการอ้างเสียงสะท้อนเป็นคำพูดของ
ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวออกมา

แม้ว่าในช่วงการโหวตชิงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีในรัฐสภาฝ่ายพันธมิตร 7 พรรคจะพิจารณาด้วยเหตุผล
ทางการเมืองด้านใดก็ตาม เช่น การที่แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ทั้ง 3 คนคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ ชัยเกษม นิติสิริ ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็อาจจะใช่

แต่ขณะเดียวกันสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้จะยังมี ส.ส.แต่ก็ถูก
ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุติการปฏิบัติหน้า ส.ส.ชั่วคราวเพื่อรอการวินิจฉัยคุณสมบัติต้องห้ามจากกรณี
การถือหุ้นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน ก็ไม่อาจเข้าห้องประชุมรัฐสภาได้เช่นเดียวกัน

หรืออาจจะเป็นคำขอร้อง"ก่อนถึงจุดจบ"หรือเปล่า เพราะหากพิจารณาจากกรณีเรื่องปมถือหุ้นสื่อของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่เบาอยู่

อีกทั้งรู้กันดีว่าไม่ว่าใครเข้าแข่งขันชิงเก้าอี้ นายกฯกับ"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แพ้วันยังค่ำ
ซึ่งผลที่ออกมาก็เห็นตำตากันอยู่ เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะคำขอร้อง "คราวนี้ขอผมเถอะ"หรือเปล่า
ทำให้ต้องดันก้น ธนาธร ไปแพ้ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นจะสามารถนำไปต่อยอดสร้างวาทกรรมตามมา เช่น
"ไม่แพ้แต่ถูกปล้น"อะไรประมาณนี้

แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่ามองในมุมไหนจากเรื่องดังกล่าว รวมไปถึงบทบาททางการเมืองในด้านหนึ่งตั้งแต่หลัง
เลือกตั้งเป็นต้นมา พรรคเพื่อไทยถือว่า "แผ่ว"ลงไปอย่างน่าใจหาย ไม่สมกับพรรคแกนนำที่มี เสียง ส.ส.มาก
เป็นอันดับหนึ่งในสภา กลับกลายเป็นว่ามีพรรคอนาคตใหม่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนทุกเรื่อง แม้ว่าอาจเป็นเพราะพวกอดีต ส.ส.ฝีปากกล้าทั้งหลายสอบตกหรือไม่ได้เป็น ส.ส.กันยกพรรคก็อาจเป็นได้ แต่ถึงอย่างไร
ก็มี ส.ส.ในสภาอีกหลายคนที่น่าจะแสดงบทบาทได้ แต่ก็ไม่มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับ ส.ส.ของพรรค
อนาคตใหม่ที่เข้าสภาเป็นสมัยแรก

ล่าสุดก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างภายในพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นการเป็นงานบ้างแล้ว เริ่มจาก
การขยับเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจาก พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็น สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ เนื่องจากต้องเข้าเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก พล.ต.ท.วิโรจน์ ไม่ได้เป็น ส.ส. พร้อมทั้งประกาศภารกิจแรกคือการ"รื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ"

แต่สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทยกลับมีขึ้นทีหลัง
พรรคอนาคตใหม่ ขณะเดียวกันทั้งสองพรรคกลับมีความคิดที่สวนทางกัน

โดยก่อนหน้านี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้ประกาศจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน
เพียงแค่ 2 มาตราเท่านั้นคือ มาตรา 272 และมาตรา 279

โดย มาตรา 272 ที่กำหนดให้ ส.ว.ร่วมกับ ส.ส.โหวตเลือกนายกฯใน 5 ปีแรกตามบทเฉพาะกาล

ส่วนมาตรา 279 ที่ต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกนั้นเกี่ยวกับการรับรองความชอบ การออกประกาศ คำสั่ง
และการกระทำของคสช.ว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย คงหวังว่าจะตามเช็กบิล พล.อ.ประยุทธ์
และคณะตามมาในภายหลัง

ซึ่งกรณีความคิดของ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ก็มีหลายคนที่เป็นนักกฎหมาย
สอนมวยเอาไว้แล้วว่า"ทำยาก"และทำไม่ได้ "เข้าขั้นเพ้อเจ้อ"เอาเลยทีเดียว เพราะหนึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้
แก้ไขยาก ถึงยากมาก

ส่วนการแก้ไขมาตรา 279 นั้นเพื่อจะเอาผิดหรือไม่ให้มีกฎหมายคุ้มครอง คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าเปล่าประโยชน์และไม่ทันกาลแล้ว เพราะที่ผ่านมามีการรับรอง หรือนิรโทษตามกฎหมายมาผลโดย
สมบูรณ์มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 มีผลใช้บังคับ รวมทั้งก่อนหน้านั้นที่ คสช.ได้รับนิรโทษกรรม ตามมาตรา 48 ในรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว)ฉบับปี 2557 ที่ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. 2557 ที่ผ่านมาแล้ว

แน่นอนว่าสำหรับโปรไฟล์ของ ปิยบุตร แสงกนกกุล มีการระบุว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญทั้งของไทย
และฝรั่งเศส จะไม่รู้เชียวหรือว่าการเสนอแก้ไขมาตรดังกล่าวมันไม่มีทางเป็นจริง แต่เพียงต้องการเคลื่อนไหว
เพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่างให้ปั่นป่วนตามมาหรือไม่ จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แทบเป็นไปไม่ได้

จากกรณีดังกล่าวก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างออกมาจากฝั่งพรรคเพื่อไทยที่"ตำหนิ" ปิยบุตร
แสงกนกกุล ในทำนองว่า"ไร้เดียงสา"ที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางมาตราแบบนั้น แม้ว่าจะออกมา
จากระดับปลายแถวจาก หมวดเจี๊ยบ" ร.ท.สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ทึ่ออกมาสอนมวยทำนองว่าทางแก้ก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ ไม่ใช่แก้ไขเพียงแค่บางมาตรา เพราะถึงอย่างไร
ก็แก้ไขยาก และไม่คุ้มค่ากับพลังงานในการขับเคลื่อน

เธอยังสอนมวยอีกว่า ต่อให้เสนอแก้ไขเพียงมาตราเดียว ก็ต้องมี ส.ว.อย่างน้อย 84 เสียงยกมือสนับสนุน
ถึงจะผ่านขั้นรับหลักการได้ ซึ่งก็เพียงแค่ด่านแรกเท่านั้น

แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายย่อมมีบางเรื่องที่ซ่อนเอาไว้ไม่พูดออกมา จากเหตุและผลที่แท้จริงสำหรับ
การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ โดยปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่เอาเข้าจริงแล้วลึกๆพวกเขา
อาจจะไม่อยากให้แก้ไขทั้งฉบับก็ได้ เพราะอย่างที่เห็นกันอยู่ว่าเป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั่นแหละ
ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เข้ามามากโดยเฉพาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อหรือระบบการเลือกตั้ง
แบบจัดสรรปันส่วนผสม

ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับเสียประโยชน์ และคิดว่าหากปล่อยให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป
ก็น่าเชื่อว่า"ระบอบทักษิณ"เสี่ยงจะสูญพันธุ์ แต่ขณะเดียวกันหากมองในเกมการเคลื่อนไหว พวกเขาก็
คงไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง หมดสภาพพรรคแกนนำไปต่อหน้าต่อตาให้กับพรรคอนาคตใหม่ที่คาดว่าจะ
"เป็นคู่แข่งร่วมทาง"ในอนาคตได้ง่ายๆ งานนี้ถึงได้ไม่ยอมปล่อยให้ผ่าไปได้ง่ายๆหรอก

Cr.  https://mgronline.com/politics/detail/9620000055314
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่