JJNY : ด่านแรกสำเร็จแล้ว! ปชน.ลุยแก้รธน.│7 วัน ตายทะลุ 321 ราย│PM 2.5 กทม. 61 พื้นที่│อียูยืนยันก๊าซยังปกติหลังยุติสัญญา

ด่านแรกสำเร็จแล้ว! ปชน.ลุยแก้รธน. ชวนจับตาประชุมรัฐสภา หวังเห็น‘อิ๊งค์’โชว์บทผู้นำ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9574321

พริษฐ์ ลั่นด่านแรกสำเร็จแล้ว ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไข รธน.ให้จัดทำฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง ชวนจับตาประชุมรัฐสภา 14-15 ม.ค. หวังเห็น ‘อิ๊งค์’ แสดงบทผู้นำหาเอกภาพพรรคร่วมดันจัดทำ รธน.ใหม่สำเร็จ
 
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) เปิดเผยว่า 
 
ด่านแรก ทำสำเร็จแล้ว ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้จัดทำรธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง – จ่อคิวพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา 14-15 ม.ค.
 
ในช่วงก่อนปีใหม่ไม่นาน ตนได้รับแจ้งถึงความสำเร็จและความคืบหน้าเล็กน้อยเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ตนได้พยายามผลักดันมาตลอด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของ 2567 เลยขอสรุปดังนี้
 
1. เวลานี้ ทางเว็บไซ์รัฐสภาได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว ว่าทางประธานรัฐสภาได้ตัดสินใจบรรจุร่างแก้ไข รธน. ที่ผมและพรรคประชาชนเสนอ เพื่อให้มีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
 
2. การตัดสินใจครั้งนี้ของประธานรัฐสภานับเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
 
3. ตั้งแต่มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรนูญ 4/2564 ออกมาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ทางประธานรัฐสภา (โดยคำแนะนำของคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ไม่เคยบรรจุร่างแก้ไข รธน. ดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา เพราะไปตีความว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ครั้ง ก่อนจะสามารถบรรจุระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาได้ (จึงทำให้จำนวนประชามติเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้ง เป็น 3 ครั้ง)
 
4. แม้ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และนักวิชาการหลายฝ่าย มองว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าให้ทำประชามติเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้งมาเป็น 3 ครั้ง แต่หากประธานรัฐสภา (และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ยังคงยืนยันคำเดิม และไม่เปลี่ยนใจหันมาบรรจุร่างแก้ไข รธน. เข้าสู่ระเบียบวาระ ประตูสู่การลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง ก็จะยังถูกล็อกไว้
 
5. เมื่อตอนต้นปี 2567 พอประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างดังกล่าว ทางพรรคเพื่อไทยได้พยายามจะเปลี่ยนใจประธานรัฐสภา โดยใช้วิธีการขอมติจากรัฐสภาให้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยให้ชัดว่าประธานรัฐสภาบรรจุร่างดังกล่าวได้หรือไม่
 
6. แต่พอเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญตอน เม.ย. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญกลับมีมติเอกฉันท์ไม่รับเรื่องดังกล่าวมาวินิจฉัย เลยทำให้ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ จนทำให้รัฐบาลถอดใจและ ครม. จึงมีมติให้ยอมเดินตามเส้นทางการทำประชามติ 3 ครั้ง (โดยพ่วงเงื่อนไขว่าจะไม่ทำประชามติครั้งแรกจนกว่าจะแก้ พ.ร.บ.ประชามติ เสร็จ)
 
7. แต่การแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ก็ยืดเยื้อกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้เพราะความเห็นต่างระหว่าง สส. กับ สว. (จนวันนี้ถูกเพิ่มเวลาไปอีก 180 วัน และทำให้ไม่สามารถเสร็จสิ้นได้จนถึงครึ่งหลังของปี 2568) จนทำให้ตัวแทนรัฐบาลหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะถอดใจ ว่าการมี รธน. ฉบับใหม่ ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป (ซึ่งเป็นเป้าหมายและนโยบายของรัฐบาลเอง) เป็นไปไม่ได้แล้ว
 
8. ตอน ต.ค. 2567 ตนได้เสนอว่าพวกเราทุกฝ่ายน่าจะร่วมกันลองอีกสักรอบหนึ่ง ในการลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้การมี รธน. ฉบับใหม่ ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไปยังพอมีความเป็นไปได้ แถมยังเป็นการประหยัดทั้งเวลาของประชาชนในการไปออกเสียง และและงบประมาณในการจัดประชามติ 1 ครั้ง (ประมาณ 3,000 ล้านบาท)
 
9. แน่นอนว่า “ด่านแรก” ที่สำคัญคือทำยังไงให้ประธานรัฐสภา (และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) เปลี่ยนใจและหันมาบรรจุร่างแก้ไข รธน. (ที่เสนอให้มีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง) เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
 
10. เพื่อพยายามโน้มน้าวและเปลี่ยนใจประธานรัฐสภา (และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ผมจึงได้ใช้เวลาช่วงปิดสมัยประชุม (พ.ย. 2567) ในการรวบรวมหลักฐานใหม่ๆ ที่คณะกรรมการไม่เคยใช้พิจารณามาก่อนว่าทำไมการทำประชามติ 2 ครั้ง จึงไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
เช่น การรวบรวมคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน รวมถึงการรวบรวมความเห็นนักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญ เช่น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายณรงค์เดช สรุโฆษิต และการขอเข้าพบประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ
 
11. วันที่สภาฯเปิดกลับมา (12 ธ.ค.2567) ตนและพรรคประชาชนจึงยื่นร่างแก้ไข รธน. ที่เสนอให้มีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง เข้าสู่รัฐสภาอีกครั้ง เพื่อทำให้ประธานรัฐภา (และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ต้องวินิจฉัยอีกรอบหนึ่ง
 
12. ในวันที่ 23 ธ.ค.2567 ทางคณะกรรมการของประธานรัฐสภาได้เรียกให้ตนไปให้ข้อมูล จึงได้นำเสนอหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมมา และชี้แจงต่อคณะกรรมการร่วมกับคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา (ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี) และ ตัวแทนภาคประชาชน ที่เห็นตรงกัน
 
13. ภายในวันเดียวกันนั้น ตนได้รับแจ้งว่าพวกเราทำสำเร็จ ในการโน้มน้าวคณะกรรมการของประธานรัฐสภา ให้หันมามีมติเสียงข้างมากให้บรรจุร่างแก้ไข รธน. ที่เสนอการทำประชามติ 2 ครั้ง จนนำมาสู่การที่ประธานรัฐสภาบรรจุร่างดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
14. การฝ่าด่านแรกนี้ได้สำเร็จ นับเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่ เพราะเป็นด่านที่เรายังไม่เคยฝ่าฟันได้สำเร็จมาก่อนตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา
 
15. แต่ในวันที่ 14-15 ม.ค.นี้ เราจะต้องเผชิญกับ ด่านที่สอง ต่อทันที นั่นคือการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไข รธน. ดังกล่าว ที่เสนอการทำประชามติ 2 ครั้ง ในวาระที่ 1 การจะฝ่าด่านนี้ได้ก็ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนของทั้ง สส. และเสียง 1 ใน 3 ของ สว.
 
16. การได้เสียงสนับสนุนจาก สส. คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและประชาชน ซึ่งควรจะผูกมัด สส. รัฐบาลทุกพรรค
 
17. การได้เสียงสนับสนุนจาก สว. เป็นสิ่งที่เราอาจคาดการณ์ได้ยากกว่า หรือคาดว่าจะมีความท้าทายมากกว่า
 
18. หากความเห็นต่างระหว่างสองสภาฯ มีเส้นแบ่งเดียวกัน กับความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล บุคคลที่จะต้องลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการแสวงหาเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล (หรือเอกภาพระหว่างสองสภา ก็หนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าของรัฐบาลผสมนี้
 
19. มารอดูกันครับว่าใน 12 วันข้างหน้านี้ นายกฯจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความจริงใจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร เพื่อทำให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันผลักดันยโยบายเรือธงของรัฐบาลเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้เคยสัญญาไว้กับประชาชน
 
20. เรื่องทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อผมว่า เมื่อมีเจตจำนงชัดเจน การเมืองเป็นเรื่องของความเป็นไปได้ (when there is a will, there is a way) – หวังว่านายกฯจะคิดคล้ายกัน

https://x.com/paritw92/status/1874847868227666262
 


ยอด 7 วันเฝ้าระวังอันตรายปีใหม่ ยอดตายทะลุ 321 ราย
https://tna.mcot.net/politics-1469478

กทม.3 ม.ค. – วันที่ 7 ของช่วงเฝ้าระวังอันตราย ตายยังสูงทะลุ 321 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ด้านรองปลัด มท. ชี้ เป็นโจทย์ที่ต้องทำให้ไทยไร้อุบัติเหตุให้ได้

นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวการประชุมศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 และแถลงข้อมูลช่วง ​10 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ถึง 5 ม.ค. 2568 วันที่ 7 (2 ธค.) ว่า เกิดอุบัติเหตุ 196 ครั้ง ลดลงร้อยละ 2 มีผู้เสียชีวิต จำนวน 43 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว และผู้บาดเจ็บจำนวน 200 คน ลดลงร้อยละ 2.44
 
• จังหวัดเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ตรัง 11 ครั้งรอง ลงมาได้แก่ สุราษฎร์ธานี 9 ครั้ง และนราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี สตูล และสุพรรณบุรี 7 ครั้ง
• จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ สุราษฎร์ธานี 8 ราย รองลงมาได้แก่ ปราจีนบุรี 4 รายและพิษณุโลกและอุทัยธานี 3 ราย
• จังหวัดที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสูงสุดคือ ตรังและลำปาง 11 คน รองลงมาได้แก่สุราษฎร์ธานี 9 คนและนราธิวาส 8 คน
 
สาเหตุของอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นมากที่สุดมีมูลเหตุสันนิษฐานจากการขับรถเร็ว เกินกว่ากฎหมายร้อยละ 40.31 ตัดหน้ากระชั้นชิดร้อยละ 26.02 ประเภทรถที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 86.07
 
ช่วงเวลาที่เกิดเหตุสูงสุดคือ 09.01-12.00 น. ร้อยละ 19.39 พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ประสบเหตุสูงสุดได้แก่ไม่มีอุปกรณ์นิรภัยร้อยละ 64.61 ประเภทถนนลักษณะจุดเกิดเหตุประเภทถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 44.90 ลักษณะถนนทางตรงร้อยละ 83.67
 
เพศชายประสบอุบัติเหตุสูงสุดที่ร้อยละ 65.84 ส่วนช่วงอายุที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 22.23 และช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 17.70
 
ส่วนจำนวนอุบัติเหตุสะสมระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 2 มกราคม 2568 รวม 7 วัน มีจำนวนอุบัติเหตุสะสม 1,938 ครั้ง จำนวนผู้เสีย ชีวิต 321 ราย จำนวนผู้บาดเจ็บ 1,894 คน
 
• จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ สุราษฎร์ธานี 72 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ภูเก็ต 58 ครั้ง และ ตรัง 56 ครั้ง
• จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่สุราษฎร์ธานี 20 ราย รองลงมาได้แก่กรุงเทพมหานคร 18 ราย นนทบุรีและอุดรธานี 10 ราย
• จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุดได้แก่ สุราษฎร์ธานี 82 คน รองลงมาได้แก่ภูเก็ต 59 คนตรังและลำปาง 56 คน
 
นายเชษฐา กล่าวว่า​ ช่วงควบคุมเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2561 ถึงวันนี้​สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุยังคงเป็นสาเหตุเดิมของทุกวัน ทุกปี​ คือ​การใช้ความเร็ว ​ตัดหน้ากระชั้นชิด ดื่มแล้วขับ และมอเตอร์ไซค์ยังเป็นพาหนะ ที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด​ จึงต้องเน้นย้ำเตือนให้ลดความเร็วในการขับขี่ สวมหมวกกันน็อค ไม่ดื่มแล้วขับ ทั้งนี้ ยังคงมาตรการในการตั้งจุดตรวจ​ด่านต่าง​ๆ​ ในการให้บริการผู้ขับขี่ เตือนการใช้ความเร็วและป้องปรามต่างๆ ทั้งนี้ มีผู้ที่ต้องเข้าควบคุมความประพฤติกว่า 900 คดี ได้ดำเนินคดีเมาสุรา ขับรถซิ่ง ขณะที่ หน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินทุกมาตรการแต่ อุบัติเหตุยังเกิดขึ้น จึงเป็นโจทย์ที่ตลอดทั้งปีนี้ จะต้องทำให้เกิดความปลอดภัย ให้เมืองไทยไร้อุบัติเหตุได้ต่อไป.-319​-สำนักข่าวไทย



ฝุ่น PM 2.5 กทม. 61 พื้นที่เกินค่ามาตรฐาน "หนองแขม" หนักสุด
https://siamrath.co.th/n/591612

วันที่ 3 มกราคม 2568 ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอสรุปผลการตรวจวัด PM2.5 เมื่อเวลา 05.00-07.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)  ตรวจวัดได้ 33.7-51.8 มคก./ลบ.ม.  ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 42.6 มคก./ลบ.ม.  ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม  และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 61 พื้นที่

ข้อแนะนำสุขภาพ:  คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
 
ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่