JJNY : เปิดร่างแก้รธน.ฉบับปชน.│มติป.ป.ช.ชี้มูล 3อดีตส.ส.│หุ้นซื้อขายวันแรกร่วง 15 จุด│อินเดียปี 67 ร้อนสุดรอบกว่า 120 ปี

เปิดร่างแก้รธน.ฉบับปชน. เลือกตั้ง 200 สสร.อายุเกิน 18- ถูกตัดสิทธิ์ สมัครได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4981576

 
เปิดร่างแก้รธน.ฉบับปชน. เลือกตั้ง 200 สสร.อายุเกิน 18- ถูกตัดสิทธิ์ สมัครได้
//////
 
เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชนและคณะ ได้นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.2567 และ นายวันมูหะมัดนอร์ เตรียมนัดประชุมวิป 3 ฝ่าย หารือถึงการนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเตรียมวาระพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันที่ 8 ม.ค. นั้น
 
ล่าสุดสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เผยแพร่เอกสารร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคประชาชนเสนอแล้ว
 
โดยมีสาระสำคัญ ระบุในเหตุผลว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เพราะเชื่อมโยงกับคณะรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม รวมถึงมีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไข โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และแก้ไขมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไข
 
สำหรับสาระที่แก้ไขที่สำคัญ ได้แก่ แก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม ที่กำหนดให้ใช้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ โดยตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของสว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไปและแทนที่ด้วย เสียงเห็นชอบจาก สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทน
 
นอกจากนั้นได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติก่อนการรทูลเกล้าฯ ถวาย ในมาตรา 256 (8) ในกรณี เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรรมนูญย เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระ เรื่องที่ที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้
 
รวมถึงได้แก้ไขความในมาตรา 256(9) ที่กำหนดสิทธิให้ สส. สว. หรือสมาชิกทั้ง2สภารวมกันเข้าชื่อเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ชี้ว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นขัดต่อมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (8) เดิมใช้เกณฑ์เสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 แต่ได้ปรับลดเหลือ 1 ใน 5
 
ขณะที่หมวด 15/1 ซึ่งเพิ่มใหม่ ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น กำหนดให้มี สสร. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนด้วยกติกาบัตร2ใบ แบ่งเป็นเลือกแบบเขต โดยสมัครในนามบุคคล จำนวน 100 คน ให้ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และเลือกแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ได้กำหนดให้การเลือกแบบบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครเป็น สส. ต้องลงสมัครเป็นทีม ทีมละไม่น้อยกว่า 20 คนแต่ไม่เกิน 100 คน
ขณะที่คุณสมบัติของ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสสร. อาทิ อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีสัญชาติไทย ส่วนลักษณะต้องห้ามลงสมัครนั้น กำหนดไว้ 13 ข้อ โดยได้นำบทบัญญัติการห้ามลงสมัคร สส.มาบังคับใช้ ยกเว้น ข้อห้ามที่ระบุว่า อยู่ระหว่างต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อยู่ระหว่างการระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน และเพิ่มเติมคือ ห้ามข้าราชการการเมืองลงสมัคร รวมถึงเป็น สส. สว. รัฐมนตรี สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นด้วย
 
ทั้งนี้ได้กำหนดให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้ง สสร.​ให้เสร็จภายใน 60 วันนับแต่มีเหตุให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อเลือกตั้งแล้วเสร็จให้ กกต.รับรองผลภายใน15 วัน จากนั้นให้ส่งประธานรัฐสภาประกาศรายชื่อ สส.ในราชกิจจานุเบกษาภายใน5 วัน อย่างไรก็ดีในคราวแรกเมื่อรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมใช้บังคับ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ระบุว่าภายใน 30 วัน ให้ตราพระราชกฤษฏีกาเลือกตั้ง สสร. และดำเนินเลือกตั้งสรร.ให้เสร็จภายใน 60 วัน
 
สำหรับการทำงานของ สสร. นั้น ยังกำหนดไว้ด้วยคือ ต้องจัดประชุมสสร. ภายใน 15 วันนับแต่ที่กกต.ประกาศผลเลือกตั้ง สสร. และให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผ่านคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมกำหนดระยะเวลาทำให้แล้วเสร็จภายใน 360 วันนับจากวันประชุมนัดแรก หาก สสร. ทำไม่เสร็จตามกรอบเวลาให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส่วนการจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องทำทันทีที่รัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ และทำให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน แต่หากทำไม่เสร็จตามกรอบเวลาให้เป็นอำนาจของรัฐสภาดำเนินการ
 
ทั้งนี้ในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้น พรรคประชาชนได้เสนอว่า ให้มีจำนวน 45 คน มาจาก การแต่งตั้งบุคคลที่เป็น สสร. 2 ใน 3 หรือ 30 คนและกรรมาธิการอื่นประมาณ 15 คน โดยสามารถตั้งจากสสร. หรือไม่เป็นก็ได้ โดยให้คำนึงถึงความเชี่ยวชาญในการทำหน้าที่และมีจำนวนกรรมาธิการตามจำเป็น
 
ทั้งนี้ในขั้นตอนการเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น พรรคประชาชน กำหนดไว้ว่า ต้องให้เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีการลงมติ ภายใน 7 วัน เมื่อเสร็จสิ้นให้ กกต. นำไปออกเสียงประชามติภายในเวลา 90 – 120 วัน พร้อมกำหนดการตั้งคำถามประชามติด้วยว่าต้องชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ชี้นำ และเป็นกลางต่อทุกฝ่าย พร้อมให้สิทธิ เสรีภาพกับประชาชนในการแสดงความเห็น เมื่อทำประชามติเสร็จให้ กกต.ประกาศผลภายใน 15 วัน
 
กรณีที่ผลประชามติเห็นชอบด้วยให้ประธานสสร.นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แต่หากประชามติไม่เห็นชอบให้ถือว่าตกไป พร้อมกำหนดบทที่ใช้บังคับกรณีที่การจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นตกไปด้วยว่า ให้สิทธิสมาชิกรัฐสภาเสนอญัตติเพื่อจัดทำรัฐธรรรมนูญฉบับใหม่ ได้ 1 ครั้งในสมัยของรัฐสภา โดยใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มีอยู่ และต้องมี สส.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ทั้งนี้ บุคคลที่เป็นสสร.มาแล้วจะเป็นสสร.อีกไม่ได้
 
ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ยังได้กำหนดเพิ่มเติมด้วยว่า ภายในระยะเวลา 5 ปี ที่สมาชิกภาพ สสร. สิ้นสุด ห้ามดำรงตำแหน่ง นายกฯ รัฐมนตรี สส. สว. สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้พิพากษาศาลฎีกา ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ และอัยการสูงสุด



มติป.ป.ช. ชี้มูล 3 อดีตส.ส. เสียบบัตรแทนกัน มีชื่อตัวตึง 'ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ' ด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4981490
 
มติป.ป.ช. ชี้มูล 3 อดีตส.ส. เสียบบัตรแทนกัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง มีชื่อตัวตึง ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ด้วย
 
เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ส.ส.จำนวน 3 ราย กรณีฝากผู้อื่นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงคะแนนแทน ในการพิจารณาและลงมติร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 โดยที่ตนเองไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
 
โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
 
ชุดที่ 24 ปีที่ 3 ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … ได้ปรากฏชื่อ นายชัยวุฒิ  ผ่องแผ้ว และ นายภิรพล ลาภาโรจน์กิจ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ นายศรัณย์วุฒิ  ศรัณย์เกตุ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงตน และลงคะแนนทั้งที่บุคคลทั้ง 3 ไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรตลอดระยะเวลาที่มีการประชุม เนื่องจากมีการเดินทางไป-กลับต่างจังหวัดโดยเครื่องบิน
 
กรณีดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่านายชัยวุฒิ นายภิรพล และนายศรัณย์วุฒิ ได้ฝากบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของตนไว้กับ ส.ส.รายอื่น หรือยินยอมให้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ของตนไปอยู่ในความครอบครองของ ส.ส.รายอื่น เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์กดปุ่มแสดงตนและลงคะแนนแทนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
 
คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติ การกระทำของนายชัยวุฒิ นายภิรพล และนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ มีมูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 76



หุ้นไทยเปิดซื้อขายวันแรกปีงูเล็ก ร่วง 15 จุด ดัชนีหลุดระดับ 1,400 จุด หลังจากปัจจัยหนุนใหม่
https://www.matichon.co.th/economy/news_4981517

หุ้นไทยเปิดซื้อขายวันแรกปีงูเล็ก ร่วง 15 จุด ดัชนีหลุดระดับ 1,400 จุด หลังจากปัจจัยหนุนใหม่
 
เมื่อวันที่ 2 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นไทยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,400.21 จุด เคลื่อนไหวในแดนลบที่ระดับ 1,384.62 จุด ปรับลดลง 15.59 จุด หรือ 1.11% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,399.35 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,383.71 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 11,534.50 ล้านบาท
 
โดย นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดยังรอปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคมนี้ หลังจากวันเปิดตลาดวันสุดท้ายของปี 2567 วันที่ 30 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยดัชนีปิดลบประมาณ 0.09% เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอ เพื่อติดตามสถานการณ์สำคัญในช่วงเดือนมกราคมนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า 2.0 จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แนวนโยบายการเงินของสหรัฐ รวมทั้งโมเมนตัมการจับจ่ายในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคม เมื่อมาตรการอีซี่ อี-รีซีท (Easy e-Receipt) มีผลให้ใช้ได้ตามกำหนด
 
“ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายวันแรกของปี 2568 ด้วยการเคลื่อนไหวในแดนลบ ตามตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 แต่ไม่ได้มีปัจจัยลบใดๆ เข้าสู่ตลาด น่าจะเป็นเพียงการปรับพอร์ตหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนโดดเด่นตลอดปี 2567
โดยมองว่าภาพระยะสั้นของตลาดยังคงทรงตัว เนื่องจากรอปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและในประเทศ ผนวกกับอาจมีแรงขายไถ่ถอนกองทุนแอลทีเอฟออกมาบ้างในระดับหนึ่ง แต่มองว่าแรงขายไม่น่ารุนแรงมากนัก เนื่องจากกองทุนแอลทีเอฟที่ซื้อในปี 2562 น่าจะยังมีผลขาดทุนกันอยู่เป็นส่วนใหญ่ จึงคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะถือลงทุนต่อไปมากกว่า” นายรักพงศ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่