อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 25

 
 
อลเวงรักสองภพ
 
 
 
 
 
โดย...ล. วิลิศมาหรา
 
ความเดิม
 
 
“แหม...มาอยู่กันที่นี่หมดเลยนะคะ ไม่เห็นมีใครบอกนีสักคำว่าคุณลุงเปลี่ยนใจไม่ไปที่บริษัทของศรแล้ว”
 
พลันเสียงหวานเจื้อยแจ้วของนลินีก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของหล่อนโผล่ขึ้นบันไดมา
 
 
......................................................................................
 
หญิงสาวเข้ามาในโถงรับแขกแล้วก็ชะงักกึก เมื่อพบว่าในนั้นไม่ได้มีเฉพาะคนที่ตัวเองต้องการมาพบ หากแต่ยังมีแม่เลขาตัวปัญหา กับผู้หญิงแก่อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมรับแขกด้วย สังเกตเห็นว่าศรศิลป์นั่งติดกันกับหล่อน ท่าทางเหมือนกำลังหยอกเย้าหล่อนเล่นอยู่ หญิงแก่ยิ้มหน้าบาน ส่วนคุณศุภฤกษ์ก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี

“อ้าว”

ร้องอ้าว...ออกมาเพราะคาดไม่ถึง ตวัดสายตามองใบหน้าเด๋อด๋าของแม่สาวเลขาแล้วจึงถาม

“คุณลุงไม่ได้ไปที่บริษัทเพราะติดธุระที่นี่นั่นเอง นีก็ร้อรอนะคะ ให้พวกพนักงานเตรียมพร้อมเพื่อรอนำเสนอผลงาน เลยเก้อกันเป็นแถว เพราะมีเรื่องให้ต้องเคลียร์ที่บ้านนี่เอง ศรคงพาแฟนมาบ้านไม่บอกกล่าวให้รู้ก่อนล่วงหน้า...แล้วนั่นผู้ใหญ่แฟนศรเหรอคะ... ”

พูดเองเออเองฉอด ๆ มองไปทางยายบัวถาแล้วทำท่าว่าจะเข้ามานั่งร่วมวงด้วย แต่ศุภฤกษ์พูดดักคอเสียก่อน

“เดี๋ยว ๆ....พวกเรากำลังปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอยู่ ขอเวลาสักครู่ มาก็ดีแล้ว หนูออกไปรอที่ระเบียงข้างนอกก่อนก็ได้ ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยอยู่พอดี”

ให้ไปรอนอกระเบียง....หญิงสาวคนมาใหม่เบิกตาขึ้น แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของศุภฤกษ์ สรรพนามใช้เรียกตัวเองของผู้ที่เธอเรียกว่าคุณลุงก็เปลี่ยนไป เท่านั้นยังไม่พอ ยังโบกหลังมือไล่เอาเสียด้วย ปกติเธอก็เคยเข้านอกออกในบ้านนี้ได้ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เคยมานั่งกินข้าวกับเจ้าของบ้านอาวุโสไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เวลามีเรื่องอะไรในครอบครัว ศุภฤกษ์ก็มักเล่ามักบ่นให้ฟังเสมอ ไม่เคยกีดกันให้รู้สึกว่าเป็นคนนอกมาก่อน...แล้วนี่มันคืออะไรกัน

อึ้งไปพักหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็ยิ้มหวาน ถามขึ้นอีก ไม่ยอมออกไปง่าย ๆ

“มีอะไรเป็นความลับหรือเปล่าคะ อ๋อ...คงมีเรื่องต้องตกลงกันกับคนของฝ่ายผู้หญิงล่ะสิ...แย่จังนะคะ ค่อยพูดค่อยจากันเถอะค่ะ งั้นนีออกไปก่อนก็ได้ค่ะ”

ยิ้มเยื้อนให้คนพูด ว่าตามที่ตัวเองเข้าใจแล้วทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ศรศิลป์เรียกเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องออกไปหรอกครับคุณนลินี ที่จริงก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก เพราะเราต้องแจกการ์ดเชิญแขกให้มางานแต่งอยู่แล้ว ผมกับคุณพ่อกำลังหารือกับคุณยายของช่อชบาถึงเรื่องไปสู่ขอช่อ กับค่าสินสอดทองหมั้นกันอยู่ คุณจะมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยก็ได้”

“อะไรนะคะ...สู่ขอ...สินสอดทองหมั้น หมายความว่ายังไงคะศร”

หญิงสาวชะงัก หมุนตัวกลับมาใหม่ ถามเขาเสียงแหลม

“หมายความว่าเจ้าศรมันกำลังจะแต่งงานกับหนูช่อ วันนี้ฉันให้ศรมันพายายบัวถามาปรึกษาหาฤกษ์งามยามดีกันอยู่”

ศุภฤกษ์ตอบแทนลูกชายเสียเอง

“เอ๊ะ! คุณลุงคะ ไหนว่าไม่ยอมรับผู้หญิงบ้านนอกคนนี้ไงคะ บอกนีเมื่อวานซืนนี้เอง ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ต้อนรับ จะให้เลิกกันให้ได้ แล้วจัดการเรื่องหมั้นระหว่างศรกับนีโดยเร็วที่สุด คุณลุงหลอกนีเหรอคะ” นลินียืนตะลึง จากนั้นก็เริ่มโวยวายเสียงดัง ใบหน้าเคยสดสวยบึ้งตึงขึ้นมาทันที

ช่อชบาที่นั่งทำหน้าเหลออยู่ข้างศรศิลป์ เกิดนึกฉุนแม่คนสวยปากตลาด อยากตอบโต้หล่อนคืนบ้าง เธอฉวยแขนเขาข้างที่อยู่ติดกันขึ้นมากอด

“คำก็บ้านนอก สองคำก็บ้านนอก ดูถูกคนบ้านนอกอะไรนักหนา แล้วไง...ศรเขาไม่สนใจหรอกว่าฉันจะบ้านนอกบ้านนาขนาดไหน เขารักฉันถึงได้มาขอฉันแต่งงานด้วย เขาไม่ได้รักคุณเพราะคุณเป็นคนใจร้าย เขาจะหมั้นกับคุณทำไมในเมื่อคุณก็ไม่ได้รักเขา ”

พูดเย้ยหล่อนแล้วกระชับแขนชายหนุ่มแน่นเข้า แนบแก้มลงกับต้นแขนเขาพลางชำเลืองตามอง นลินีมองคนทั้งคู่ตาวาว หันมาถามเสียงเครียดกับคุณพ่อของศรศิลป์

“ตกลงคุณลุงจะรับนังบ้านนอกคนนี้เป็นสะใภ้ใช่ไหมคะ”

“อย่ามาว่าแฟนลูกชายฉันแบบนั้น บ้านนอกอะไรกัน ช่อชบาอยู่ที่ดอยสะเก็ดนี่เอง...แต่ถึงเป็นคนบ้านนอกก็ไม่เห็นเป็นไร ขอให้เป็นคนดีก็พอ ที่ฉันเคยบอกเธอไปแบบนั้นเพราะเมื่อก่อนฉันมันโง่ หลงคิดว่าเธอกับพ่อเป็นคนดี เลยอยากให้มาดองกันไว้กับลูกชายฉัน เอาล่ะ...ไหน ๆ เธอก็มาแล้ว พูดตรงนี้เลยก็ดีเหมือนกัน”

พูดจบศุภฤกษ์ก็กดเปิดวีดีโอในโทรศัพท์ที่ถืออยู่ยกชูให้ดู นลินีนึกเอะใจ ก้าวเข้ามาเขม้นมอง พอมองเห็นคนในวีดีโอชัดหญิงสาวก็หน้าถอดสี

“นี่มันอะไรกัน...ใครมันทำแบบนี้...เอ้อ คุณลุงคะ ไม่จริง...ไม่จริงนะคะ นั่นไม่ใช่นี” ละล่ำละลักปฏิเสธด้วยความตกใจ ยืนเหงื่อแตกซึม แข้งขามือไม้เริ่มสั่น

“จริงหรือไม่จริงของมันตรวจสอบกันได้อยู่แล้ว ฉันเองแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอกับพ่อจะคิดร้ายกับฉันได้ถึงขนาดนี้ เสียแรงรักและหวังดีด้วยมานาน พวกเธอมันงูเห่าเลี้ยงไม่เชื่องชัด ๆ”

“ไม่จริงค่ะ นีถูกใส่ร้าย ต้องมีคนใส่ร้ายนีแน่ ๆ คิดดูสิคะ นีอยู่ในห้องน้ำ ใครมันจะเข้ามาอัดวีดีโอถึงข้างในนั้นได้” โพล่งออกมาอย่างลืมคิดไปว่า บอกแบบนั้นมันก็หมือนกับไปยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนในวีดีโอโดยปริยาย

“ฉันนี่ไง ฉันเป็นคนตั้งกล้องแอบดูคุณเอง ห้องบนชั้นห้าฉันเป็นคนตั้งกล้องอัจฉริยะไว้ทุกห้อง แม้แต่ในห้องน้ำ พอเห็นคุณคุยโทรศัพท์ก็แค่กดสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์ กล้องมันก็จะทำงานเองได้อัตโนมัติ คุณย่ามใจปากพล่อยเพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีใครรู้เรื่องเลว ๆ ของตัวเอง บาปกรรมมันมีจริงนะคุณ”

ช่อชบาเหลือบมองศรศิลป์นิดหนึ่งแล้วเชิดหน้าขึ้นบอก...ไม่ได้โกหกอะไรหล่อนหรอก ตัวเองมีกล้องอัจฉริยะจริง ๆ...ชื่อว่าสีมอย

นลินีอ้าปากค้าง ตาลุกโพลง ไม่นึกว่าจะมาเสียท่าให้กับนังบ้านนอกที่ตัวเองเคยดูถูก แต่มันกลับมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีดีอย่างน่าเจ็บใจ...ไม่น่าเข้าไปพักในห้องนั้นเลย หมายใจจะเข้าไปก่อกวนกลั่นแกล้งมันให้อยู่ไม่เป็นสุข แต่กลายเป็นว่า แผนการที่อุตส่าห์เตรียมไว้ต้องมาล่มไม่เป็นท่าเพราะฝีมือนังเลขาตัวดี

“กลับไปบอกพ่อเธอให้รอหมายศาลได้เลย ฉันจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมผู้ถือหุ้น และจะสั่งให้มีการตรวจสอบทุกบริษัทที่เธอกับพ่อเข้าไปเกี่ยวข้อง หากพบว่ามีการทุจริตจริง ฉันจะดำเนินคดีกับพวกเธอให้ถึงที่สุด”

“คุณลุงกล้าทำนีกับพ่อเหรอคะ” เค้นเสียงถาม คับแค้นแน่นอกระคนผิดหวังเสียจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ต้องหอบหายใจเข้าออกถี่แรง แผนการทุกอย่างพังทลายลงก็เพราะวีดีโอนั่น หมดหนทางแก้ตัวเพราะหลักฐานมัดตัวให้ต้องยอมจำนนแสดงอยู่ต่อหน้าโทนโท่ ถึงแก้ตัวอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้น

“ทำไมฉันจะไม่กล้า ทีเธอกับพ่อยังคิดฆ่าแกงฉันกับลูกได้ลงคอ เรื่องนี้ฉันจะให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันเอาไว้ด้วย”

“เราคุยกันได้นะคะคุณลุง เห็นแก่คุณพ่อของนีด้วยเถอะค่ะ คุณพ่อทำงานให้คุณลุงมาตั้งหลายปี ปล่อยเราไปเถอะนะคะ อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลย”

เห็นท่าทางเอาจริงของท่านประธานอิมพีเรียล กรุ๊ป จากท่าทางเคียดแค้นนลินีเปลี่ยนท่าทีมาเป็นลองขอความเห็นใจดู เผื่อศุภฤกษ์จะใจอ่อนให้

“อ้อ คิดได้เหมือนกันเหรอนลินี ว่าฉันเคยอุ้มชูพ่อเธอมาตั้งเท่าไหร่ จากที่ไม่มีอะไรเลยจนตั้งตัวได้ แล้วยังช่วยสนับสนุนกิจการให้จนร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี ไม่นึกเลยว่าเธอกับพ่อจะโลภมาก มีเท่าไหร่ไม่รู้จักพอ ถึงฉันจะยอมยกโทษให้ แต่คิดหรือว่าหุ้นส่วนของอิมพีเรียล กรุ๊ป คนอื่นเขาจะยอมไปด้วย ยังไงเรื่องมันก็ต้องถึงตำรวจ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่แล้ว”

“อีกคนที่คงไม่ยอมแน่ ๆ เห็นทีจะเป็นเจ้าหนี้ในบ่อนพนันของคุณนั่นแหละ ติดหนี้การพนันเขาอื้อไม่ใช่เหรอ คงต้องหาเงินมาใช้เขาวิธีใหม่แล้วล่ะ” ศรศิลป์เอ่ยเสียงเย็นถึงแผลฉกรรจ์ในใจเธอ

“จะเอาเรื่องกันให้ได้ใช่ไหม...”

นลินีเจ็บจี๊ดขึ้นมากับคำพูดแทงใจดำของเขา สายเลือดในตัวราวจะกระอักออกมาทางปากจากความแค้นใจ ตวัดสายตาวาบมองหน้าเขากับช่อชบาอย่างเคียดแค้น...พวกมันกำลังจะมีความสุขอยู่ด้วยกันท่ามกลางหายนะของตัวเอง

“ได้...แต่พวกแกต้องไปลงนรกกันให้หมดเสียก่อน”

ฉับพลันโดยไม่มีใครทันคาดคิด นลินีล้วงเอาปืนพกสั้นจากในกระเป๋าถือออกมา สลัดกระเป๋าทิ้งก่อนวาดปากกระบอกปืนมาที่ช่อชบา

“แก นังหน้าโง่ แกกล้าดีที่เข้ามาขวางทางฉัน ไปลงนรกเป็นคนแรกเถอะ”

“อย่า!!!”

ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ศรศิลป์ผวาเข้าเอาตัวบังช่อชบาไว้ เขาโอบกอดเธอพร้อมกับเสียงปืนระเบิดเปรี้ยง!!!

“ว้าย!!! คุณศร”

ช่อชบาหวีดร้องเรียกชื่อเขา  สองมือกอดตอบเขาแน่น ใจหล่นหายไปอยู่ที่ปลายเท้า

ทว่า...ท่ามกลางสายตาทุกคู่ กระสุนนัดนั้นไม่ได้พุ่งตรงมาที่ศรศิลป์กับช่อชบา หญิงสาวในอ้อมกอดของศรศิลป์เห็นกับตาตัวเองว่า ท่อนแขนของนลินีถูกปัดให้ยกสูงขึ้นโดยพลังงานบางอย่าง ปลายกระบอกปืนจึงชี้ไปบนเพดาน คมกระสุนเจาะทะลุฝ้าเพดานเป็นรูโหว่

เปรี้ยง!!!

เสียงกระสุนระเบิดขึ้นอีกหนึ่งนัดจากความตกใจของมือปืน ทิศทางพุ่งขึ้นข้างบนอีกเช่นกัน ทันใดนั้นราวกับมีมือที่มองไม่เห็นจับข้อมือหล่อนบิด นลินีเอี้ยวตัวตามอย่างเจ็บปวด ปืนสั้นหลุดจากมือตกลงพื้น

พริบตานั้นเอง ร่างของหล่อนก็เหมือนถูกยกลอยขึ้น ก่อนถูกทุ่มฟาดลงกับพื้น

พลั่ก!!!

ว้าย! โอ้ยยย

นลินีกรีดร้องดังลั่น นอนบิดตัวกับพื้น ร้องโอดโอยออกมาอย่างเจ็บปวด

ศุภฤกษ์ได้สติปราดเข้าไปเก็บปืนพกขึ้นมาถือ ขณะที่ยายบัวถายกมือขึ้นกุมหน้าอกอย่างขวัญหนีดีฝ่อ

ศรศิลป์ซึ่งหลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองคงโดนยิงเข้าเต็มแผ่นหลังแน่ แต่เมื่อรอดูก็ไม่รู้สึกว่าโดนยิง เขาจึงคลายอ้อมแขนออกจากตัวของช่อชบา หันมามองเหตุการณ์ข้างหลัง

“เลวมากนลินี ฉันจะเรียกตำรวจให้มาจัดการเธอ”

ศุภฤกษ์ชี้ปากกระบอกปืนไปที่นลินี ซึ่งพอได้ยินคำว่าตำรวจ หล่อนก็ลืมความเจ็บปวด รีบลุกพรวดพราดขึ้นยืนหันหลังวิ่งหนีลงไปจากบ้านทันที ศรศิลป์ขยับจะตามไปแต่ศุภฤกษ์ห้ามเอาไว้

“ปล่อยเขาไป เรื่องนี้จะให้ตำรวจจัดการ” บอกลูกแล้วถอนหายใจยาว สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นออกไปจากบ้าน

“ฉันหลงเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้มานาน ในที่สุดก็โดนมันแว้งกัดเอาจนได้ โชคดีที่ปืนมันสะบัด ไม่งั้นศรคงโดนยิง”

เขาวางอาวุธร้ายแรงไว้บนโต๊ะกลางชุดรับแขก เพ่งมองมันอย่างประหลาดใจ

“ปืนยี่ห้อนี้ทำไมมันสะบัดแรงนัก ดีดเสียจนนลินีล้มคว่ำคะมำหงายไปแบบนั้น”

พึมพำอย่างไม่เข้าใจ ช่อชบาและศรศิลป์หันมองหน้ากัน สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนทั้งคู่จะเข้าใจว่าทำไม...เรื่องนี้ต้องขอบคุณสีมอย

“หนูกับยายยังไม่ควรกลับไปบ้านสวนตอนนี้ ไม่แน่ว่านลินีอาจคิดทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาอีก พักกันเสียที่นี่ไปพลางก่อน ศร แกพาแฟนแกกับยายไปพักที่ห้องรับรองแขกก่อน ยายกับหนูช่อคงตกใจกันแย่แล้ว ไปพักก่อนเถอะ ฉันจะโทร.หาศักดาให้จัดการกับเรื่องนี้”

บอกลูกชายแล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดหาทนายความประจำตระกูล ศรศิลป์รับคำผู้เป็นพ่อ เขาเชิญให้ยายบัวถากับช่อชบาตามเข้าไปข้างในบ้าน ช่อชบาประคองยายบัวถาที่ลุกขึ้นยืนงก ๆ เงิ่น ๆ เดินตามศรศิลป์ไปแต่โดยดี

จบตอน

 ใกล้จะจบเต็มทีแล้วค่ะ ลิดีใจจัง ขณะนี้นิยายทุกเรื่องของลิได้ทำเป็นนิยายเสียงให้ฟังแล้วนะคะ ติดตามได้ที่ช่องยูทูปของบ้านนิยายวิลิศมาหราค่ะ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่