ตอนเดิม
ตอนที่ 27
ต้นลำไยสามต้นแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากับบริเวณหน้าบ้านของบ้านไม้ทรงล้านนาประยุกต์หลังใหญ่ ที่ด้านล่างก่ออิฐไว้โดยรอบเพื่อใช้ประโยชน์ในเนื้อที่ประมาณสักสามไร่เห็นจะได้ หลังเสร็จจากเรื่องของนลินีที่บริษัทแล้ว ศรศิลป์ก็ขับรถพาช่อชบามาถึงที่นี่ในเวลาเกือบเที่ยง
เพิ่งเห็นรถของเขาที่ใช้อยู่ ก็ใช่ว่าจะเป็นรถหรูหราราคาแพงอะไรนัก ถึงศรศิลป์จะมีฐานะที่ร่ำรวย สามารถทำตัวหรูหราฟู่ฟ่าได้เต็มที่ แต่อย่างไรก็ดี เขาเพียงใช้รถยุโรปที่ดูมีคลาสหน่อย บ่งบอกถึงรสนิยมของคนขับบ้างเท่านั้นเอง
“บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านที่คุณแม่ของผมซื้อไว้ตั้งแต่สมัยท่านยังสาว หลังคุณแม่เสียไป คุณพ่อท่านก็เก็บไว้ไม่ยอมขายให้ใคร แต่ทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ผมเลยปรึกษากับคุณพ่อ ขอยกบ้านกับที่ดินตรงนี้ให้ทางมูลนิธิธารทองไป มูลนิธินี้เป็นมูลนิธิสำหรับเด็กหญิง รับอุปการะเด็กกำพร้าและเด็กจรจัด บ้านหลังนี้เลยถูกใช้เป็นที่ทำการของมูลนิธิ แล้วต่อเติมข้างหลังเป็นโรงเรียนของครูอาสา ที่นี่มีเด็กผู้หญิงในอุปการะสิบหกคน มีครูอาสาสมัครทั้งหมดเจ็ดคน ครูบางคนพักที่นี่ บางคนต้องไปกลับ เด็กโตสุดอายุสิบสองปี อายุน้อยสุดแค่สี่ปี เด็กบางคนเราส่งไปเรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐ แต่บางคนเรายังต้องดูแลเองอยู่”
เขาเล่าให้ฟัง ขณะพาเธอเดินเข้าไปภายในตัวบ้านที่ด้านล่างแบ่งสัดส่วนเป็นหลายห้อง ผ่านโถงกลางซึ่งวางชุดรับแขกไม้สัก อันประกอบด้วยเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนโค้งลาดลงแลกเกอร์เป็นเงาวาววับ จำนวนสี่ตัวพร้อมโต๊ะกลางทรงกลม
เขาพาเธอเดินลึกเข้าไปยังประตูที่กรุด้วยกระจกสีด้านบน เคาะเบา ๆ ไปสามที ก่อนผลักประตูเข้าไป ภายในห้อง หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งหลังโต๊ะทำงาน ลุกขึ้นยืนต้อนรับทันทีที่เห็นว่ามีใครผ่านประตูห้องเข้ามา
“มาไวดีจังค่ะ พี่นึกว่าคุณศรจะเข้ามาตอนบ่ายเสียอีก”
หล่อนรับไหว้ชายหนุ่ม พลางยิ้มทักทายหญิงสาวที่เขาพามาด้วย มองดูช่อชบาด้วยสายตาพิจารณาเป็นพิเศษ
“นี่คงเป็นคุณช่อชบาที่คุณศรเคยเล่าให้พี่ฟังใช่ไหมคะ”
ช่อชบายกมือไหว้ผู้หญิงที่น่าจะสูงวัยกว่า ไม่รู้ว่าศรศิลป์พูดถึงตัวเองกับผู้หญิงคนนี้ไปว่าอย่างไรบ้าง จึงยังไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว
“ครับ นี่คือช่อชบาแฟนผมเอง เรียกเขาว่าช่อเฉย ๆ ก็ได้ครับ”
ได้ยินเขาแนะนำเธอว่าเป็นแฟน ช่อชบาก็เริ่มทำหน้าไม่ถูก เล่นละครตบตาคนมันย่อมยากเป็นธรรมดา ยิ่งต้องมาหลอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกันด้วยแบบนี้ มันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ หญิงสาวเหลือบมองหน้าแฟนกำมะลอของตัวเอง สบสายตาที่แลมองมาเช่นเดียวกัน แต่เขาทำเป็นตีหน้าตาย หันไปแนะนำผู้มากวัยกว่าให้เธอรู้จัก
”พี่สายทองเป็นผู้จัดการบ้านอุปถัมภ์ธารทอง เป็นคนก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กหญิงธารทองขึ้นมาตั้งแต่ทีแรก ผมเพียงคอยสนับสนุนมูลนิธิบ้างเท่านั้น การทำงานทุกอย่างของที่นี่ พี่สายทองกับทีมครูอาสาเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด ส่วนคุณ พี่สายทองจะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการของมูลนิธิด้วยอีกคนหนึ่ง”
ช่อชบาพนมมือไหว้พี่สายทองของศรศิลป์ หล่อนรับไหว้เธอด้วยรอยยิ้มละไม สายตายังมองหน้าเธออย่างพินิจพิจารณาเช่นเดิม คงกำลังสงสัยว่าทำไมผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเธอ ศรศิลป์ถึงให้ความสนใจ เลือกมาเป็นแฟน ซึ่งมันไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เป็นใครก็ต้องคิดด้วยกันทุกคน
สายทองผายมือให้แขกทั้งสองนั่งลงที่โซฟารับแขกภายในห้อง
“เชิญนั่งค่ะ ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนนะคะ ดีใจที่คุณศรพาคุณช่อมาให้พี่รู้จัก แล้วอีกหน่อยยังจะได้ทำงานร่วมกันกับคุณช่อด้วย”
หล่อนเดินจากโต๊ะทำงานไปเปิดตู้เย็นมุมห้อง หยิบขวดน้ำกับแก้วอีกสองใบมาตั้งไว้ที่โต๊ะกลาง ก่อนนั่งลงสนทนาด้วยที่โซฟาอีกตัว
“คุณช่อหน้าตาน่ารักดีจัง คุณศรครองตัวเป็นโสดอยู่นาน ไม่เห็นเคยมีใครเป็นแฟนมาก่อน บทจะมีแฟนขึ้นมาก็มีปุบปับจนสาว ๆ หลายคนเกือบรับไม่ทัน”
หล่อนเย้าชายหนุ่มยิ้ม ๆ สาวหลายคนของสายทอง คงหมายรวมถึงแม่สาวชุดแดง ที่วันนี้บุกเข้ามาแผลงฤทธิ์ถึงในบริษัทด้วย
“แล้วที่บอกว่าเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้นก็ไม่จริงหรอกค่ะ คุณศรให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับทางมูลนิธิมาตลอด ทั้งที่ดินเอย ทั้งบ้านหลังนี้ด้วย ช่วยหาทุนดำเนินการจากองค์กรต่างประเทศ ให้ทุนการศึกษากับเด็ก ๆ ทุกปี จนเด็กที่นี่เรียกคุณศรว่าพ่อศรไปแล้วล่ะค่ะ”
ศรศิลป์ยิ้มรับคำชมนั้น ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงเมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“พี่สายทองเคยเป็นครูอาสาหรือครูข้างถนนมาก่อน เลยเข้าใจเด็กเร่ร่อนได้เป็นอย่างดี เด็กที่นี่เป็นเด็กขาดรัก ขาดความอบอุ่น ขาดทักษะในการใช้ชีวิต การเรียนการสอนของที่นี่จึงเริ่มจากพื้นฐานง่าย ๆ ในการดำเนินชีวิตก่อน อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กทั่วไป แต่เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่ขาดพ่อแม่ ไม่เคยได้รับการขัดเกลาจากผู้ปกครอง พอเด็กมีความพร้อมในระดับหนึ่งเราถึงจะส่งไปเรียนที่โรงเรียน เดี๋ยวพี่สายทองจะเอาข้อมูลของมูลนิธิให้คุณดู จะได้รู้ถึงวิธีการทำงานของเรา”
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 27
ต้นลำไยสามต้นแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากับบริเวณหน้าบ้านของบ้านไม้ทรงล้านนาประยุกต์หลังใหญ่ ที่ด้านล่างก่ออิฐไว้โดยรอบเพื่อใช้ประโยชน์ในเนื้อที่ประมาณสักสามไร่เห็นจะได้ หลังเสร็จจากเรื่องของนลินีที่บริษัทแล้ว ศรศิลป์ก็ขับรถพาช่อชบามาถึงที่นี่ในเวลาเกือบเที่ยง
เพิ่งเห็นรถของเขาที่ใช้อยู่ ก็ใช่ว่าจะเป็นรถหรูหราราคาแพงอะไรนัก ถึงศรศิลป์จะมีฐานะที่ร่ำรวย สามารถทำตัวหรูหราฟู่ฟ่าได้เต็มที่ แต่อย่างไรก็ดี เขาเพียงใช้รถยุโรปที่ดูมีคลาสหน่อย บ่งบอกถึงรสนิยมของคนขับบ้างเท่านั้นเอง
“บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านที่คุณแม่ของผมซื้อไว้ตั้งแต่สมัยท่านยังสาว หลังคุณแม่เสียไป คุณพ่อท่านก็เก็บไว้ไม่ยอมขายให้ใคร แต่ทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ผมเลยปรึกษากับคุณพ่อ ขอยกบ้านกับที่ดินตรงนี้ให้ทางมูลนิธิธารทองไป มูลนิธินี้เป็นมูลนิธิสำหรับเด็กหญิง รับอุปการะเด็กกำพร้าและเด็กจรจัด บ้านหลังนี้เลยถูกใช้เป็นที่ทำการของมูลนิธิ แล้วต่อเติมข้างหลังเป็นโรงเรียนของครูอาสา ที่นี่มีเด็กผู้หญิงในอุปการะสิบหกคน มีครูอาสาสมัครทั้งหมดเจ็ดคน ครูบางคนพักที่นี่ บางคนต้องไปกลับ เด็กโตสุดอายุสิบสองปี อายุน้อยสุดแค่สี่ปี เด็กบางคนเราส่งไปเรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐ แต่บางคนเรายังต้องดูแลเองอยู่”
เขาเล่าให้ฟัง ขณะพาเธอเดินเข้าไปภายในตัวบ้านที่ด้านล่างแบ่งสัดส่วนเป็นหลายห้อง ผ่านโถงกลางซึ่งวางชุดรับแขกไม้สัก อันประกอบด้วยเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนโค้งลาดลงแลกเกอร์เป็นเงาวาววับ จำนวนสี่ตัวพร้อมโต๊ะกลางทรงกลม
เขาพาเธอเดินลึกเข้าไปยังประตูที่กรุด้วยกระจกสีด้านบน เคาะเบา ๆ ไปสามที ก่อนผลักประตูเข้าไป ภายในห้อง หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งหลังโต๊ะทำงาน ลุกขึ้นยืนต้อนรับทันทีที่เห็นว่ามีใครผ่านประตูห้องเข้ามา
“มาไวดีจังค่ะ พี่นึกว่าคุณศรจะเข้ามาตอนบ่ายเสียอีก”
หล่อนรับไหว้ชายหนุ่ม พลางยิ้มทักทายหญิงสาวที่เขาพามาด้วย มองดูช่อชบาด้วยสายตาพิจารณาเป็นพิเศษ
“นี่คงเป็นคุณช่อชบาที่คุณศรเคยเล่าให้พี่ฟังใช่ไหมคะ”
ช่อชบายกมือไหว้ผู้หญิงที่น่าจะสูงวัยกว่า ไม่รู้ว่าศรศิลป์พูดถึงตัวเองกับผู้หญิงคนนี้ไปว่าอย่างไรบ้าง จึงยังไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว
“ครับ นี่คือช่อชบาแฟนผมเอง เรียกเขาว่าช่อเฉย ๆ ก็ได้ครับ”
ได้ยินเขาแนะนำเธอว่าเป็นแฟน ช่อชบาก็เริ่มทำหน้าไม่ถูก เล่นละครตบตาคนมันย่อมยากเป็นธรรมดา ยิ่งต้องมาหลอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกันด้วยแบบนี้ มันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ หญิงสาวเหลือบมองหน้าแฟนกำมะลอของตัวเอง สบสายตาที่แลมองมาเช่นเดียวกัน แต่เขาทำเป็นตีหน้าตาย หันไปแนะนำผู้มากวัยกว่าให้เธอรู้จัก
”พี่สายทองเป็นผู้จัดการบ้านอุปถัมภ์ธารทอง เป็นคนก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กหญิงธารทองขึ้นมาตั้งแต่ทีแรก ผมเพียงคอยสนับสนุนมูลนิธิบ้างเท่านั้น การทำงานทุกอย่างของที่นี่ พี่สายทองกับทีมครูอาสาเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด ส่วนคุณ พี่สายทองจะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการของมูลนิธิด้วยอีกคนหนึ่ง”
ช่อชบาพนมมือไหว้พี่สายทองของศรศิลป์ หล่อนรับไหว้เธอด้วยรอยยิ้มละไม สายตายังมองหน้าเธออย่างพินิจพิจารณาเช่นเดิม คงกำลังสงสัยว่าทำไมผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเธอ ศรศิลป์ถึงให้ความสนใจ เลือกมาเป็นแฟน ซึ่งมันไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เป็นใครก็ต้องคิดด้วยกันทุกคน
สายทองผายมือให้แขกทั้งสองนั่งลงที่โซฟารับแขกภายในห้อง
“เชิญนั่งค่ะ ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนนะคะ ดีใจที่คุณศรพาคุณช่อมาให้พี่รู้จัก แล้วอีกหน่อยยังจะได้ทำงานร่วมกันกับคุณช่อด้วย”
หล่อนเดินจากโต๊ะทำงานไปเปิดตู้เย็นมุมห้อง หยิบขวดน้ำกับแก้วอีกสองใบมาตั้งไว้ที่โต๊ะกลาง ก่อนนั่งลงสนทนาด้วยที่โซฟาอีกตัว
“คุณช่อหน้าตาน่ารักดีจัง คุณศรครองตัวเป็นโสดอยู่นาน ไม่เห็นเคยมีใครเป็นแฟนมาก่อน บทจะมีแฟนขึ้นมาก็มีปุบปับจนสาว ๆ หลายคนเกือบรับไม่ทัน”
หล่อนเย้าชายหนุ่มยิ้ม ๆ สาวหลายคนของสายทอง คงหมายรวมถึงแม่สาวชุดแดง ที่วันนี้บุกเข้ามาแผลงฤทธิ์ถึงในบริษัทด้วย
“แล้วที่บอกว่าเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้นก็ไม่จริงหรอกค่ะ คุณศรให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับทางมูลนิธิมาตลอด ทั้งที่ดินเอย ทั้งบ้านหลังนี้ด้วย ช่วยหาทุนดำเนินการจากองค์กรต่างประเทศ ให้ทุนการศึกษากับเด็ก ๆ ทุกปี จนเด็กที่นี่เรียกคุณศรว่าพ่อศรไปแล้วล่ะค่ะ”
ศรศิลป์ยิ้มรับคำชมนั้น ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงเมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“พี่สายทองเคยเป็นครูอาสาหรือครูข้างถนนมาก่อน เลยเข้าใจเด็กเร่ร่อนได้เป็นอย่างดี เด็กที่นี่เป็นเด็กขาดรัก ขาดความอบอุ่น ขาดทักษะในการใช้ชีวิต การเรียนการสอนของที่นี่จึงเริ่มจากพื้นฐานง่าย ๆ ในการดำเนินชีวิตก่อน อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กทั่วไป แต่เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่ขาดพ่อแม่ ไม่เคยได้รับการขัดเกลาจากผู้ปกครอง พอเด็กมีความพร้อมในระดับหนึ่งเราถึงจะส่งไปเรียนที่โรงเรียน เดี๋ยวพี่สายทองจะเอาข้อมูลของมูลนิธิให้คุณดู จะได้รู้ถึงวิธีการทำงานของเรา”
(มีต่อ)