ตอนเดิม
ตอนที่ 26
เช้าวันนี้ช่อชบารีบลงมาที่ห้องทำงานของเจ้านายใหญ่ ต้องไปนั่งทำงานแต่เช้าให้เขาเห็นว่าตัวเองยังแข็งแรงดี และพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างทั้งงานเลขาฯ และงานพิเศษ ให้สมกับราคาค่าจ้างโคตรแพงที่เขายอมจ่ายให้ตามข้อตกลงในสัญญา หญิงสาวเข้านั่งประจำที่หลังโต๊ะทำงานตัวเอง ที่เนตรนภิสจัดเตรียมไว้ให้ใกล้กันกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของศรศิลป์
...ทำไมตั้งโต๊ะเอาไว้ใกล้กันแบบนี้นะพี่เนตร จะแกล้งกันหรือไง...
เธอคิดวุ่นวายในใจ รู้ทั้งรู้ว่าเธอกับเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้ากัน ถึงจะเป็นนายจ้างลูกจ้างกันก็เถอะ นึกอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ระแวงว่าตัวเองจะถูกจับคู่ทั้งในโลกมนุษย์และในโลกของวิญญาณเสียก็ไม่รู้ ดูเหมือนพี่เนตรของเธอก็มักจะพูดถึงศรศิลป์ในทำนองที่ว่าเขาเป็นคนดีงู้นงี้อยู่บ่อย ๆ
มองบนโต๊ะตัวเองที่ขณะนี้ว่างเปล่า ไม่มีเอกสารอะไรมาวางให้จัดการเลยสักอย่าง หน้าที่เลขาฯส่วนตัวของศรศิลป์คงมีแต่เพียงคอยกีดกันนลินีไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับเขาอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นเลยไม่ต้องทำอะไร
นั่งมองโน่นนี่ไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีอะไรทำ เอาข้อศอกยันโต๊ะทำงาน ยกมือเท้าคางมองเหม่อไปที่โต๊ะเจ้านาย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะพลางใช้ความคิดใคร่ครวญดูถึงวิธีทำงานของตัวเอง มันคงน่าเบื่อแทบตาย ถ้าวัน ๆ ต้องมานั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำแบบนี้ตลอดทั้งวัน
ทันใดนั้น ร่างสูงในชุดแต่งกายตามสบายด้วยเสื้อยืดคอปกสีขาวสะอาดตากับกางเกงยีนส์สีซีด ก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เขายังมีสีหน้าที่เธอแอบนินทาในใจว่า ‘ขี้เก๊ก’ เหมือนเคย
ช่อชบาหายจากอาการมองเหม่อ รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ เห็นสีหน้าเฉยเมยของเขาแล้วเธอก็กลั้นใจส่งยิ้มเฝื่อนฝาดทักทายไป พยายามเตือนตัวเองว่า...เงินล้าน เงินล้าน
ศรศิลป์พยักหน้าให้นิดเดียว เขาเองยังปรับอารมณ์เสียจากการกวนประสาทของนลินีที่บ้านบิดาไม่ได้ จึงไม่มีแก่ใจยิ้มตอบเลขาฯสาว เดินหน้าขรึมเข้าไปนั่งหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ครุ่นคิดถึงคำพูดของบิดาที่บอกว่าจะตามมาดูหน้าช่อชบาถึงในบริษัท ซึ่งเขายังคิดไม่ออกว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี
ช่อชบาหุบยิ้มลง ทรุดตัวนั่งตามเดิม พลางชำเลืองมองหน้าเจ้านายที่ทำทีเหมือนกับว่าไม่มีใครนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยอย่างนั้นแหละ
...อุตส่าห์ยิ้มทักทายไปแล้ว ตั้งใจจะพูดคุยด้วย พยายามทำดีกับเขาที่สุดแล้วนะสีมอย แต่ดูท่าทางเขาสิ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มตอบเลยสักนิดเดียว...
คิดพลางพิจารณาดูใบหน้าหล่อใสคล้ายเน็ตไอดอลเกาหลี ที่ตอนนี้นั่งทำหน้าบึ้ง สายตามองตรงไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ เห็นรอยหมึกสีแดงทิ้งเป็นรอยจาง ๆ ติดบริเวณปลายคางของเขาแล้ว พลันภาพหน้าแมวเมื่อคืนนี้ก็ผุดขึ้นมาให้อดนึกขำไม่ได้ เธอหลุดหัวเราะกิ๊กออกมา ก่อนรีบใช้มือปิดปากตัวเองไว้ทันควัน
ชายหนุ่มหันมาขมวดคิ้วจ้องหน้าเธอ เอ่ยถามเสียงห้วน
“คุณขำอะไร”
หญิงสาวลดมือลง รีบปรับสีหน้าตัวเองให้ราบเรียบเป็นปกติ ทว่าตาโตของเธอยังส่อแววขบขันไม่เลิก
“เปล่าค่ะ ฉันแค่บริหารจิตตัวเอง หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส วันนี้เห็นบอสแต่งตัวตามสบายก็เลยหัวเราะออกมาน่ะค่ะ”
เฉไฉตอบเขาไปเรื่อย พูดกลั้วเสียงหัวเราะอย่างหยุดขำไม่ได้ แล้วก็งงกับคำตอบของตัวเองเสียเอง
หัวเราะให้จิตแจ่มใสมันเกี่ยวอะไรกับแต่งตัวตามสบายของเขาหว่า...เฮ้อ สื่อสารกับผู้คนในยุคนี้พูดยากกว่าคนโบราณเสียอีกแฮะ ที่นั่นเวลาคุยกันด้วยเรื่องอะไรแล้วก็ตาม ไม่เห็นต้องพยายามมาอธิบายขยายความให้ยุ่งยากออกไปอีก แม้จะไม่ใช่คนในยุคเดียวกันก็เถอะ
“หัวเราะเรื่อยเปื่อยแบบนั้น มันเข้าข่ายคนบ้านะคุณ”
ช่อชบาถึงกับสะอึก หยุดหัวเราะลงทันควัน เอาแล้วไหมล่ะ เช้ามาก็โดนเจ้านายปากร้ายมาหาว่าเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว คงจะอารมณ์ไม่ดีมาอีกสิท่า เหมือนเป็นเลขาฯ ก้นกระโถนเลยเรา...หญิงสาวพยายามอดทนไว้ไม่ไปต่อปากต่อคำกับเขาด้วย ท่องย้ำซ้ำ ๆ ในใจ...เย็นไว้ อดทนไว้ เพื่อเงินล้าน
“พรุ่งนี้ผมจะให้เนตรพาคุณไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ตรวจสุขภาพจิตเสียด้วยเลยนะ ถ้าสุขภาพจิตดีแล้วก็ไม่ต้องมานั่งหัวเราะบริหารจิตให้ผมเห็นอีก”
พูดเชิงสั่งขึ้นมา ตาเข้มมองสำรวจเธอเหมือนจ้องจับผิด ไล่ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า รู้เลยว่าเขาต้องมีอาการหงุดหงิดมาจากข้างนอกแน่ ๆ
“ไปตรวจทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไรนะคะ หายดีแล้ว”
ไม่วายขึ้นเสียงเถียงเขาอย่างลืมตัว แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าไปขัดคอเจ้าของเงินล้านเขา แต่เธอก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาลนี่นา ไม่อยากไปรับรู้อาการเจ็บป่วยของตัวเองนั่นเอง
“มันอยู่ในข้อตกลงทำงานของคุณ ได้อ่านสัญญาหรือเปล่า”
เสียงเข้มดุมาอีก หญิงสาวนึกขึ้นได้ถึงรายละเอียดในสัญญา เลยต้องเงียบเสียงลง เพราะในสัญญาฉบับนั้นเขียนเอาไว้จริง ๆ ว่า ก่อนจะเริ่มทำงานในตำแหน่งใหม่ของช่อชบา เธอจำเป็นต้องผ่านการตรวจสุขภาพเพิ่มเสียก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอไม่รู้เลยว่าเป็นความปรารถนาดีของศรศิลป์ที่มีต่อเธอนั่นเอง
“แล้วนอกจากไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกับคอยนั่งกันท่าคุณนลินีอยู่ในห้องนี้กับคุณ ฉันยังมีหน้าที่ต้องทำอะไรอีกบ้างไหมคะ”
เรื่องไปตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลก็คงต้องทำตามสัญญา ซึ่งมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรจนเกินไป เกินกว่าจะหักใจทำ แต่ที่นึกสงสัยก็คือหน้าที่การงานของตัวเอง จะให้มานั่งเฉย ๆ อยู่ในห้องกับเขามันก็ดูยังไงอยู่ ดูไม่สมศักดิ์ศรีการเป็นเลขาฯของตัวเองเอาเสียเลย
ศรศิลป์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบคำถามเธอ
“คุณออกไปช่วยงานผมที่บ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้าอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ดูไปคุณก็เหมาะกับงานแบบนั้นดีเหมือนกัน”
เขานึกถึงสถานะลูกกำพร้าของเธอ น้ำเสียงที่พูดทอดอ่อนลงไป ไม่ห้วนกระด้างผิดจากเมื่อครู่ ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับงานที่มูลนิธิเด็ก กระตุ้นความสนใจของช่อชบาขึ้นมาทันที
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 26
เช้าวันนี้ช่อชบารีบลงมาที่ห้องทำงานของเจ้านายใหญ่ ต้องไปนั่งทำงานแต่เช้าให้เขาเห็นว่าตัวเองยังแข็งแรงดี และพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างทั้งงานเลขาฯ และงานพิเศษ ให้สมกับราคาค่าจ้างโคตรแพงที่เขายอมจ่ายให้ตามข้อตกลงในสัญญา หญิงสาวเข้านั่งประจำที่หลังโต๊ะทำงานตัวเอง ที่เนตรนภิสจัดเตรียมไว้ให้ใกล้กันกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของศรศิลป์
...ทำไมตั้งโต๊ะเอาไว้ใกล้กันแบบนี้นะพี่เนตร จะแกล้งกันหรือไง...
เธอคิดวุ่นวายในใจ รู้ทั้งรู้ว่าเธอกับเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้ากัน ถึงจะเป็นนายจ้างลูกจ้างกันก็เถอะ นึกอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ระแวงว่าตัวเองจะถูกจับคู่ทั้งในโลกมนุษย์และในโลกของวิญญาณเสียก็ไม่รู้ ดูเหมือนพี่เนตรของเธอก็มักจะพูดถึงศรศิลป์ในทำนองที่ว่าเขาเป็นคนดีงู้นงี้อยู่บ่อย ๆ
มองบนโต๊ะตัวเองที่ขณะนี้ว่างเปล่า ไม่มีเอกสารอะไรมาวางให้จัดการเลยสักอย่าง หน้าที่เลขาฯส่วนตัวของศรศิลป์คงมีแต่เพียงคอยกีดกันนลินีไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับเขาอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นเลยไม่ต้องทำอะไร
นั่งมองโน่นนี่ไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีอะไรทำ เอาข้อศอกยันโต๊ะทำงาน ยกมือเท้าคางมองเหม่อไปที่โต๊ะเจ้านาย เคาะนิ้วลงบนโต๊ะพลางใช้ความคิดใคร่ครวญดูถึงวิธีทำงานของตัวเอง มันคงน่าเบื่อแทบตาย ถ้าวัน ๆ ต้องมานั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำแบบนี้ตลอดทั้งวัน
ทันใดนั้น ร่างสูงในชุดแต่งกายตามสบายด้วยเสื้อยืดคอปกสีขาวสะอาดตากับกางเกงยีนส์สีซีด ก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เขายังมีสีหน้าที่เธอแอบนินทาในใจว่า ‘ขี้เก๊ก’ เหมือนเคย
ช่อชบาหายจากอาการมองเหม่อ รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ เห็นสีหน้าเฉยเมยของเขาแล้วเธอก็กลั้นใจส่งยิ้มเฝื่อนฝาดทักทายไป พยายามเตือนตัวเองว่า...เงินล้าน เงินล้าน
ศรศิลป์พยักหน้าให้นิดเดียว เขาเองยังปรับอารมณ์เสียจากการกวนประสาทของนลินีที่บ้านบิดาไม่ได้ จึงไม่มีแก่ใจยิ้มตอบเลขาฯสาว เดินหน้าขรึมเข้าไปนั่งหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ครุ่นคิดถึงคำพูดของบิดาที่บอกว่าจะตามมาดูหน้าช่อชบาถึงในบริษัท ซึ่งเขายังคิดไม่ออกว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี
ช่อชบาหุบยิ้มลง ทรุดตัวนั่งตามเดิม พลางชำเลืองมองหน้าเจ้านายที่ทำทีเหมือนกับว่าไม่มีใครนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยอย่างนั้นแหละ
...อุตส่าห์ยิ้มทักทายไปแล้ว ตั้งใจจะพูดคุยด้วย พยายามทำดีกับเขาที่สุดแล้วนะสีมอย แต่ดูท่าทางเขาสิ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มตอบเลยสักนิดเดียว...
คิดพลางพิจารณาดูใบหน้าหล่อใสคล้ายเน็ตไอดอลเกาหลี ที่ตอนนี้นั่งทำหน้าบึ้ง สายตามองตรงไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ เห็นรอยหมึกสีแดงทิ้งเป็นรอยจาง ๆ ติดบริเวณปลายคางของเขาแล้ว พลันภาพหน้าแมวเมื่อคืนนี้ก็ผุดขึ้นมาให้อดนึกขำไม่ได้ เธอหลุดหัวเราะกิ๊กออกมา ก่อนรีบใช้มือปิดปากตัวเองไว้ทันควัน
ชายหนุ่มหันมาขมวดคิ้วจ้องหน้าเธอ เอ่ยถามเสียงห้วน
“คุณขำอะไร”
หญิงสาวลดมือลง รีบปรับสีหน้าตัวเองให้ราบเรียบเป็นปกติ ทว่าตาโตของเธอยังส่อแววขบขันไม่เลิก
“เปล่าค่ะ ฉันแค่บริหารจิตตัวเอง หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส วันนี้เห็นบอสแต่งตัวตามสบายก็เลยหัวเราะออกมาน่ะค่ะ”
เฉไฉตอบเขาไปเรื่อย พูดกลั้วเสียงหัวเราะอย่างหยุดขำไม่ได้ แล้วก็งงกับคำตอบของตัวเองเสียเอง
หัวเราะให้จิตแจ่มใสมันเกี่ยวอะไรกับแต่งตัวตามสบายของเขาหว่า...เฮ้อ สื่อสารกับผู้คนในยุคนี้พูดยากกว่าคนโบราณเสียอีกแฮะ ที่นั่นเวลาคุยกันด้วยเรื่องอะไรแล้วก็ตาม ไม่เห็นต้องพยายามมาอธิบายขยายความให้ยุ่งยากออกไปอีก แม้จะไม่ใช่คนในยุคเดียวกันก็เถอะ
“หัวเราะเรื่อยเปื่อยแบบนั้น มันเข้าข่ายคนบ้านะคุณ”
ช่อชบาถึงกับสะอึก หยุดหัวเราะลงทันควัน เอาแล้วไหมล่ะ เช้ามาก็โดนเจ้านายปากร้ายมาหาว่าเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว คงจะอารมณ์ไม่ดีมาอีกสิท่า เหมือนเป็นเลขาฯ ก้นกระโถนเลยเรา...หญิงสาวพยายามอดทนไว้ไม่ไปต่อปากต่อคำกับเขาด้วย ท่องย้ำซ้ำ ๆ ในใจ...เย็นไว้ อดทนไว้ เพื่อเงินล้าน
“พรุ่งนี้ผมจะให้เนตรพาคุณไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ตรวจสุขภาพจิตเสียด้วยเลยนะ ถ้าสุขภาพจิตดีแล้วก็ไม่ต้องมานั่งหัวเราะบริหารจิตให้ผมเห็นอีก”
พูดเชิงสั่งขึ้นมา ตาเข้มมองสำรวจเธอเหมือนจ้องจับผิด ไล่ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า รู้เลยว่าเขาต้องมีอาการหงุดหงิดมาจากข้างนอกแน่ ๆ
“ไปตรวจทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไรนะคะ หายดีแล้ว”
ไม่วายขึ้นเสียงเถียงเขาอย่างลืมตัว แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าไปขัดคอเจ้าของเงินล้านเขา แต่เธอก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาลนี่นา ไม่อยากไปรับรู้อาการเจ็บป่วยของตัวเองนั่นเอง
“มันอยู่ในข้อตกลงทำงานของคุณ ได้อ่านสัญญาหรือเปล่า”
เสียงเข้มดุมาอีก หญิงสาวนึกขึ้นได้ถึงรายละเอียดในสัญญา เลยต้องเงียบเสียงลง เพราะในสัญญาฉบับนั้นเขียนเอาไว้จริง ๆ ว่า ก่อนจะเริ่มทำงานในตำแหน่งใหม่ของช่อชบา เธอจำเป็นต้องผ่านการตรวจสุขภาพเพิ่มเสียก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอไม่รู้เลยว่าเป็นความปรารถนาดีของศรศิลป์ที่มีต่อเธอนั่นเอง
“แล้วนอกจากไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกับคอยนั่งกันท่าคุณนลินีอยู่ในห้องนี้กับคุณ ฉันยังมีหน้าที่ต้องทำอะไรอีกบ้างไหมคะ”
เรื่องไปตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลก็คงต้องทำตามสัญญา ซึ่งมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรจนเกินไป เกินกว่าจะหักใจทำ แต่ที่นึกสงสัยก็คือหน้าที่การงานของตัวเอง จะให้มานั่งเฉย ๆ อยู่ในห้องกับเขามันก็ดูยังไงอยู่ ดูไม่สมศักดิ์ศรีการเป็นเลขาฯของตัวเองเอาเสียเลย
ศรศิลป์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบคำถามเธอ
“คุณออกไปช่วยงานผมที่บ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้าอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ดูไปคุณก็เหมาะกับงานแบบนั้นดีเหมือนกัน”
เขานึกถึงสถานะลูกกำพร้าของเธอ น้ำเสียงที่พูดทอดอ่อนลงไป ไม่ห้วนกระด้างผิดจากเมื่อครู่ ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับงานที่มูลนิธิเด็ก กระตุ้นความสนใจของช่อชบาขึ้นมาทันที
(มีต่อ)