ตอนเดิม
ตอนที่ 38
ในห้องนอนเล็ก ๆ ของช่อชบา ซึ่งกลายมาเป็นที่พักค้างคืนของศรศิลป์ ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้อัด วางพวกหนังสือ กระจกเงาบานเล็ก และตะกร้าใส่ของใช้กระจุกกระจิกของผู้หญิง ตั้งชิดผนังห้องด้านหนึ่ง ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าพลาสติกอีกหลัง นอกนั้นก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นอีก
เขามองดูมุ้งผ้าสีขาว ระบายริบบิ้นสวยงามรูปร่างแปลกตา ที่ถูกรวบชายไว้เหนือหัวเตียงไม้ขนาดสามฟุตครึ่ง มีเสาเตียงสองต้นอยู่ติดกับหัวเตียง ซึ่งผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงได้ย้ายไปนอนรวมกับผู้เป็นยายในอีกห้องหนึ่ง
มุ้งประเภทนี้ไม่ใช่มุ้งสี่หูที่ใช้กางนอน เคยเห็นผ่านตามาบ้างตามเว็บไซต์ขายของ มีใช้ในบ้านที่ไม่ติดมุ้งลวดกันยุงและแมลง แต่ไม่เคยกางใช้เองมาก่อน เพราะแม้ไปนอนค้างอ้างแรมตามสถานที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ก็มักเข้าไปพักตามรีสอร์ทซึ่งห้องพักติดมุ้งลวดกันหมด หรือไปกางเต้นท์นอนเลย ไม่ใช่นอนในมุ้งผ้าลักษณะแบบนี้ มองดูแล้วก็สงสัยว่าเวลากางมุ้งนอนจะต้องกางยังไง จะออกไปถามเจ้าของห้องสาวก็เกรงจะเสียเหลี่ยม เลยคิดว่าเวลานอนค่อยดึงผ้ามุ้งลงมาคลุมตัวเอาก็แล้วกัน
เขาเดินมานั่งลงบนเตียงนอน ปูด้วยผ้าปูสีหวาน สูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งเป็นกลิ่นกายของแม่สาวคนที่เขาชักจะคุ้นจมูก รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก หยิบเอาหมอนขึ้นมาจ้องมอง คิดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของคนเป็นเจ้าของ ที่เดี๋ยวก็ทำหน้าเปิ่น มองมาด้วยสายตาซื่อ ๆ เดี๋ยวก็ทำหน้างอ ตาโต ๆ ลุกวาวราวกับแม่เสือหวงลูก เวลาถูกใครทำให้หล่อนโกรธเอา กดหมอนลงแนบอก คิดถึงร่างน้อยในอ้อมกอดของตัวเองเมื่อตอนเย็น เผลอซุกจมูกลงดมกลิ่นกายที่ติดอยู่ในผ้าหมอน ก่อนยิ้มเขิน เพราะรู้สึกกระดากอายแก่ใจตัวเอง
...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย...
ล้มตัวลงนอนบนเตียง พลางนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากปากของหญิงชรา เขาเกิดความสงสัยในตัวของบิดาขึ้นมา เคยรู้มาก่อนเหมือนกันที่บุพการีทั้งสองได้แต่งงานอยู่กินกัน เป็นเพราะคุณตาสนับสนุน ย้อนนึกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของตนเอง บิดาเป็นลูกกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร แต่คุณเยาวเรศผู้เป็นมารดา เป็นลูกสาวคนเดียวของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัด ตั้งแต่ยังเล็ก เขาสังเกตเห็นว่าบิดาและมารดาอยู่กินกันแบบแปลก ๆ คนเป็นสามีนอกจากแสดงความรักความห่วงใยตามปกติของคู่สามีภรรยากัน แต่ในความสัมพันธ์ที่ว่านี้ เขากลับเห็นผู้เป็นบิดามักมีความเกรงอกเกรงใจในตัวของภรรยามากเป็นพิเศษ อาจเรียกได้ว่ามากกว่าสามีทั่วไปจะพึงปฏิบัติต่อภรรยาของตนเอง คนทั้งคู่แม้ดูรักกันดี ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาไม่เคยเห็นบุพการีทั้งสองทะเลาะกันเลยแม้สักครั้งเดียว แต่ขณะเดียวกันก็แทบจะไม่เคยเห็นคนทั้งคู่แตะเนื้อต้องตัวกันฉันคนรักเลยเหมือนกัน
ศรศิลป์มั่นใจว่าพ่อของตัวเองไม่ใช่คนเจ้าชู้ ไม่ได้แอบไปมีเมียเล็กเมียน้อยซ่อนไว้ที่ไหน เขาเพียงนึกแคลงใจในความรักของคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องค้นหาคำตอบให้ได้ จวบจนวันนี้เอง ที่ความคิดสงสัยในความรักของพ่อที่มีต่อแม่ เริ่มกระจ่างขึ้นเป็นลำดับ เขาเริ่มคิดว่าอาจมีบางอย่างมาขวางกั้นความรู้สึกของคนทั้งคู่ไว้ สิ่งนั้นอาจเป็นผู้หญิงที่ชื่อช่อลัดดา แม่ของช่อชบาก็เป็นไปได้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว พ่อคงไม่เก็บรูปถ่ายใบนั้นไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว ราวกับจะหยิบฉวยมันมาดูได้ง่าย บ่อยเท่าที่ต้องการ นึกแล้วก็อดสงสารทั้งพ่อตัวเองและแม่ของช่อชบาไม่ได้ ส่วนแม่ของตัวเองนั้น ชายหนุ่มคิดว่า ท่านได้รับความรักจากผู้เป็นพ่ออย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว
ท่าทีของยายบัวถาที่ถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงไป เมื่อเขาแสดงตัวว่าตนเองคือลูกชายของ ‘นายสุข’ อดีตคนรักเก่าของช่อลัดดา หญิงชรานิ่งงันไปนาน ก่อนพยักหน้ารับรู้ พึมพำแผ่วเบาว่า ‘โลกมันกลม’ และเมื่อเขาอ้างถึงคำพูดของพ่อที่อยากจะขอพบ เพื่อพูดคุยกัน ยายวัยชราก็พยักหน้าซ้ำ รับคำเขาโดยดี ด้วยโทนเสียงที่ปรับให้เป็นปกติ
“ดีเหมือนกัน ยายก็อยากพบกับพ่อคุณ ไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องหลายอย่างอยากจะเล่าให้ฟัง”
บทสนทนาเรื่องของพ่อระหว่างเขากับหญิงชราจบลงเพียงแค่นั้น รับรู้ไปด้วยกันว่า ที่ช่อชบากับเขาต้องแสดงตัวเป็นคนรักกัน เป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา และต้องขอความช่วยเหลือจากยายบัวถาด้วย จนกว่าแผนการของเขาจะสำเร็จ
แต่สำหรับตัวพ่อของเขาเอง เขาเห็นสมควรแก่เวลาจะเปิดโปงความเลวร้ายของนลินีกับดำเกิงให้พ่อรู้ รวมทั้งพูดคุยกันถึงเรื่องราวความรักครั้งเก่าของพ่อ เพื่อเปิดประตูใจที่ปิดลั่นดานเอาไว้เนิ่นนานให้โบยบินสู่อิสรภาพ
ศรศิลป์ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาบิดาในคืนนั้นเลย เมื่อมีเสียงตอบรับ เขาจึงเอ่ยถามคนปลายสาย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นธรรมชาติ
“พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อย รูปที่พ่อเก็บไว้ในไดอารี่ส่วนตัวใบนั้น เป็นรูปใครบ้างครับ”
“หืม...แกถามทำไม” ปลายสายถามกลับ น้ำเสียงออกแววประหลาดใจในเรื่องที่ถูกถาม เหมือนคาดไม่ถึง
“พ่อตอบผมมาก่อน รูปนั้นมีความสำคัญกับพ่อยังไง พ่อถึงเก็บไว้ที่นั่นมานาน ผู้หญิงในรูปคนนั้นเป็นใครกันครับ”
เขาเจาะจงถามถึงคนที่เป็นประเด็น ศุภฤกษ์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง กว่าจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง
“มันเป็นรูปของผู้หญิงที่เป็นรักครั้งแรกของฉัน ก่อนฉันจะเจอแม่แก เขาตายไปนานแล้ว แกถามทำไม”
บอกลูกชายไปตามตรง ไม่รู้จะปิดบังไว้ทำไม ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว นานเสียจนเขากลบฝังมันไว้ใต้จิตสำนึกนั่นเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะถูกลูกชายขุดคุ้ยขึ้นมาใหม่ คงไปรู้อะไรมาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าให้แล้ว
“เธอชื่อช่อลัดดาใช่ไหมครับ พ่อรู้จักกันกับแม่ของช่อชบามานานแล้ว” ชายหนุ่มถามกลับตรง ๆ เช่นกัน
ศุภฤกษ์นิ่งไปอีก จิตใจอันเคยสุขสงบกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาใหม่ สายน้ำไม่เคยไหลกลับฉันใด อดีตก็เช่นกัน วันเวลาหมุนเวียนผ่านไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แต่ร่องรอยบางอย่างของมันยังคงหลงเหลืออยู่ ตกค้างในความรู้สึก ทั้งความทุกข์และความสุข รูปถ่ายใบนั้นเขาเพียงเก็บไว้เงียบ ๆ เพื่อระลึกถึงอดีต โดยไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
“วันนี้ผมมาค้างที่บ้านของช่อชบา มาชวนยายไปพบกับพ่อพรุ่งนี้ด้วยกัน ได้คุยกับยายบัวถาเรื่องพ่อ...ที่นี่ผมเผอิญไปเจอรูปถ่ายแม่ของช่อชบาเข้า เป็นรูปใบเดียวกันกับที่พ่อมี พ่ออยากเห็นไหมครับ ผมถ่ายรูปใบนั้นเก็บไว้ในมือถือด้วย”
ชื่อของยายบัวถา ศุภฤกษ์เองยังจำฝังใจ หญิงชราผู้ตกพุ่มหม้ายคนนี้ เป็นอุปสรรคในรักครั้งแรกของเขากับช่อลัดดา หลังจากเขาต้องตัดใจไปจากอำเภอแม่แจ่ม เพราะต้องเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ในคืนพิพากษาคืนนั้นเอง ยายบัวถาก็ประกาศก้องขึ้นว่า จะฆ่าตัวตายทันทีหากช่อลัดดาตัดสินใจย้ายตามเขาไปอยู่ที่อื่น
ไม่นานหลังจากย้ายที่ทำงาน ก็มีข่าวงานแต่งงานของช่อลัดดากับพิชิตพลเกิดขึ้นที่แม่แจ่ม ศุภฤกษ์ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากต้องทำใจ เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่น ทุบกำแพงจนเนื้อแตก เลือดที่หลั่งออกจากผิวเนื้อในตอนนั้น ไม่ต่างกันกับที่ไหลออกจากหัวใจ กลายเป็นหยาดน้ำตาไหลเปื้อนหน้า จนกระทั่งได้ข่าวอีกว่าช่อลัดดาตายจากไปแล้ว จากนั้นข่าวคราวของยายบัวถาก็ไม่อยู่ในความสนใจของเขาอีกเลย
“ช่อชบาเป็นลูกสาวของคุณช่อลัดดา พ่อคงรู้อยู่แล้วเหมือนกัน”
“อืม...ฉันรู้ตั้งแต่วันที่แกพาเขาเข้ามาที่บ้าน หน้าตาของช่อชบาเหมือนแม่มาก”
ศุภฤกษ์บอกลูกชายเหมือนรำพึงกับตัวเอง โลกกลม ๆ ใบนี้ในที่สุดก็หมุนอดีตของคนเราให้หวนกลับมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง ภาพใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวน้อยผู้อ่อนหวานและใจดี ในวัยแรกรุ่นของตัวเอง ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ ช่อลัดดาคือผู้หญิงคนแรกที่สอนให้เขารู้จักคำว่ารัก จากนั้น คำ ๆ นี้ก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย น่าเสียดายที่เส้นทางชีวิตรักของตัวเอง ไม่อาจมาบรรจบกันกับเธอ เมื่อรู้ข่าวว่าเธอตายจากไปจึงเพียงเก็บรูปถ่ายของเธอไว้เพื่อระลึกถึง
“ยายบัวถาเป็นไงมั่ง ยังสบายดีอยู่ไหม”
แต่ศุภฤกษ์เองก็เข้าใจในตัวของยายบัวถา โลกของเด็กกำพร้าได้กล่อมเกลาให้เขารู้จักเข้าใจในชีวิต รู้จักคิดรับผิดชอบชั่วดีด้วยตัวเอง แม้ตอนนั้นจะยังมีอายุน้อย เขายากจน ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ย้ายที่ทำงานไปเรื่อย ๆ จนจะทั่วทั้งประเทศ คนมีลูกสาวคนไหนก็คงไม่อยากจะฝากผีฝากไข้เอาไว้กับลูกเขยประเภทนี้ เมื่อมีคู่แข่งอีกคนที่เหมาะสมกว่า และช่อลัดดาตัดสินใจเลือก เขาจึงต้องยอมเสียสละ หลีกทางให้ ทั้งที่เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตาย แต่เมื่อยอมเสียสละหัวใจตัวเองให้ไปแล้ว พิชิตพลกลับทอดทิ้งช่อลัดดาไปอย่างไม่ใยดี ศุภฤกษ์รู้ถึงความสัมพันธ์อันง่อนแง่นของคนทั้งคู่ดี เพราะช่อลัดดาไม่เคยรักผู้ชายคนนั้นเลย เธอเลือกพิชิตพลตามประกาศิตของผู้เป็นแม่
“ยายยังแข็งแรงดีครับ แกเป็นคนเล่าเรื่องพ่อให้ผมฟัง พ่อครับ...พรุ่งนี้นอกจากพายายบัวถาไปหาแล้ว ผมยังมีเรื่องที่ต้องเล่าให้พ่อฟังอีกอย่างหนึ่งด้วย”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เรื่องของอาดำเกิงกับนลินีครับ ผมจะส่งคลิปวิดีโอพร้อมหลักฐานการพิสูจน์คลิปวิดีโอนี้ของผู้เชี่ยวชาญไปให้พ่อดูในอีเมลของพ่อ เปิดดูคืนนี้เลยนะครับ”
“คลิปของหนูนีกับดำเกิงรึ...คลิปอะไรของแก”
“อย่าเพิ่งถามผมตอนนี้เลยครับ ผมอยากให้พ่อดูมันก่อน คลิปนี้ช่อชบากับเพื่อนเธอเป็นคนค้นพบ ผมขอให้พ่อดูจนจบ แล้วพรุ่งนี้เราเจอกันที่บ้านนะครับ จากนั้นเราค่อยปรึกษากันอีกที”
เสียงบิดารับคำแบบงง ๆ ดังมา ศรศิลป์จึงขอจบการสนทนาและปิดโทรศัพท์ลง เพื่อให้บิดาได้ดูสิ่งที่ส่งไปโดยไว แล้วเผยอยิ้มอย่างดีใจ วันพรุ่งนี้แล้วสิ่งที่รอคอยมาตลอดกำลังจะได้อย่างใจคิด ปัญหาทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายลง ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ จากความช่วยเหลือของผู้หญิงทะลุมิติสองคนนั้น
พอรู้ว่าช่อชบาเป็นใคร ท่าทีอันแข็งกร้าวแต่เดิมของบิดาก็ดูอ่อนลงมาก อานุภาพความรักครั้งแรกของท่านนั่นเอง ที่เผื่อแผ่มาถึงลูกสาวของอดีตคนรักด้วย ได้เวลาที่เรื่องระหว่างเขากับนลินีจะขาดสะบั้นลงอย่างเด็ดขาดเสียที การมาบ้านสวนของช่อชบาในวันนี้ก่อให้เกิดผลดีกับเขาอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 38
ในห้องนอนเล็ก ๆ ของช่อชบา ซึ่งกลายมาเป็นที่พักค้างคืนของศรศิลป์ ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะไม้อัด วางพวกหนังสือ กระจกเงาบานเล็ก และตะกร้าใส่ของใช้กระจุกกระจิกของผู้หญิง ตั้งชิดผนังห้องด้านหนึ่ง ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าพลาสติกอีกหลัง นอกนั้นก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นอีก
เขามองดูมุ้งผ้าสีขาว ระบายริบบิ้นสวยงามรูปร่างแปลกตา ที่ถูกรวบชายไว้เหนือหัวเตียงไม้ขนาดสามฟุตครึ่ง มีเสาเตียงสองต้นอยู่ติดกับหัวเตียง ซึ่งผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงได้ย้ายไปนอนรวมกับผู้เป็นยายในอีกห้องหนึ่ง
มุ้งประเภทนี้ไม่ใช่มุ้งสี่หูที่ใช้กางนอน เคยเห็นผ่านตามาบ้างตามเว็บไซต์ขายของ มีใช้ในบ้านที่ไม่ติดมุ้งลวดกันยุงและแมลง แต่ไม่เคยกางใช้เองมาก่อน เพราะแม้ไปนอนค้างอ้างแรมตามสถานที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ก็มักเข้าไปพักตามรีสอร์ทซึ่งห้องพักติดมุ้งลวดกันหมด หรือไปกางเต้นท์นอนเลย ไม่ใช่นอนในมุ้งผ้าลักษณะแบบนี้ มองดูแล้วก็สงสัยว่าเวลากางมุ้งนอนจะต้องกางยังไง จะออกไปถามเจ้าของห้องสาวก็เกรงจะเสียเหลี่ยม เลยคิดว่าเวลานอนค่อยดึงผ้ามุ้งลงมาคลุมตัวเอาก็แล้วกัน
เขาเดินมานั่งลงบนเตียงนอน ปูด้วยผ้าปูสีหวาน สูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งเป็นกลิ่นกายของแม่สาวคนที่เขาชักจะคุ้นจมูก รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก หยิบเอาหมอนขึ้นมาจ้องมอง คิดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของคนเป็นเจ้าของ ที่เดี๋ยวก็ทำหน้าเปิ่น มองมาด้วยสายตาซื่อ ๆ เดี๋ยวก็ทำหน้างอ ตาโต ๆ ลุกวาวราวกับแม่เสือหวงลูก เวลาถูกใครทำให้หล่อนโกรธเอา กดหมอนลงแนบอก คิดถึงร่างน้อยในอ้อมกอดของตัวเองเมื่อตอนเย็น เผลอซุกจมูกลงดมกลิ่นกายที่ติดอยู่ในผ้าหมอน ก่อนยิ้มเขิน เพราะรู้สึกกระดากอายแก่ใจตัวเอง
...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย...
ล้มตัวลงนอนบนเตียง พลางนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากปากของหญิงชรา เขาเกิดความสงสัยในตัวของบิดาขึ้นมา เคยรู้มาก่อนเหมือนกันที่บุพการีทั้งสองได้แต่งงานอยู่กินกัน เป็นเพราะคุณตาสนับสนุน ย้อนนึกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของตนเอง บิดาเป็นลูกกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร แต่คุณเยาวเรศผู้เป็นมารดา เป็นลูกสาวคนเดียวของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัด ตั้งแต่ยังเล็ก เขาสังเกตเห็นว่าบิดาและมารดาอยู่กินกันแบบแปลก ๆ คนเป็นสามีนอกจากแสดงความรักความห่วงใยตามปกติของคู่สามีภรรยากัน แต่ในความสัมพันธ์ที่ว่านี้ เขากลับเห็นผู้เป็นบิดามักมีความเกรงอกเกรงใจในตัวของภรรยามากเป็นพิเศษ อาจเรียกได้ว่ามากกว่าสามีทั่วไปจะพึงปฏิบัติต่อภรรยาของตนเอง คนทั้งคู่แม้ดูรักกันดี ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาไม่เคยเห็นบุพการีทั้งสองทะเลาะกันเลยแม้สักครั้งเดียว แต่ขณะเดียวกันก็แทบจะไม่เคยเห็นคนทั้งคู่แตะเนื้อต้องตัวกันฉันคนรักเลยเหมือนกัน
ศรศิลป์มั่นใจว่าพ่อของตัวเองไม่ใช่คนเจ้าชู้ ไม่ได้แอบไปมีเมียเล็กเมียน้อยซ่อนไว้ที่ไหน เขาเพียงนึกแคลงใจในความรักของคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องค้นหาคำตอบให้ได้ จวบจนวันนี้เอง ที่ความคิดสงสัยในความรักของพ่อที่มีต่อแม่ เริ่มกระจ่างขึ้นเป็นลำดับ เขาเริ่มคิดว่าอาจมีบางอย่างมาขวางกั้นความรู้สึกของคนทั้งคู่ไว้ สิ่งนั้นอาจเป็นผู้หญิงที่ชื่อช่อลัดดา แม่ของช่อชบาก็เป็นไปได้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว พ่อคงไม่เก็บรูปถ่ายใบนั้นไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว ราวกับจะหยิบฉวยมันมาดูได้ง่าย บ่อยเท่าที่ต้องการ นึกแล้วก็อดสงสารทั้งพ่อตัวเองและแม่ของช่อชบาไม่ได้ ส่วนแม่ของตัวเองนั้น ชายหนุ่มคิดว่า ท่านได้รับความรักจากผู้เป็นพ่ออย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว
ท่าทีของยายบัวถาที่ถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงไป เมื่อเขาแสดงตัวว่าตนเองคือลูกชายของ ‘นายสุข’ อดีตคนรักเก่าของช่อลัดดา หญิงชรานิ่งงันไปนาน ก่อนพยักหน้ารับรู้ พึมพำแผ่วเบาว่า ‘โลกมันกลม’ และเมื่อเขาอ้างถึงคำพูดของพ่อที่อยากจะขอพบ เพื่อพูดคุยกัน ยายวัยชราก็พยักหน้าซ้ำ รับคำเขาโดยดี ด้วยโทนเสียงที่ปรับให้เป็นปกติ
“ดีเหมือนกัน ยายก็อยากพบกับพ่อคุณ ไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องหลายอย่างอยากจะเล่าให้ฟัง”
บทสนทนาเรื่องของพ่อระหว่างเขากับหญิงชราจบลงเพียงแค่นั้น รับรู้ไปด้วยกันว่า ที่ช่อชบากับเขาต้องแสดงตัวเป็นคนรักกัน เป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา และต้องขอความช่วยเหลือจากยายบัวถาด้วย จนกว่าแผนการของเขาจะสำเร็จ
แต่สำหรับตัวพ่อของเขาเอง เขาเห็นสมควรแก่เวลาจะเปิดโปงความเลวร้ายของนลินีกับดำเกิงให้พ่อรู้ รวมทั้งพูดคุยกันถึงเรื่องราวความรักครั้งเก่าของพ่อ เพื่อเปิดประตูใจที่ปิดลั่นดานเอาไว้เนิ่นนานให้โบยบินสู่อิสรภาพ
ศรศิลป์ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาบิดาในคืนนั้นเลย เมื่อมีเสียงตอบรับ เขาจึงเอ่ยถามคนปลายสาย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นธรรมชาติ
“พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อย รูปที่พ่อเก็บไว้ในไดอารี่ส่วนตัวใบนั้น เป็นรูปใครบ้างครับ”
“หืม...แกถามทำไม” ปลายสายถามกลับ น้ำเสียงออกแววประหลาดใจในเรื่องที่ถูกถาม เหมือนคาดไม่ถึง
“พ่อตอบผมมาก่อน รูปนั้นมีความสำคัญกับพ่อยังไง พ่อถึงเก็บไว้ที่นั่นมานาน ผู้หญิงในรูปคนนั้นเป็นใครกันครับ”
เขาเจาะจงถามถึงคนที่เป็นประเด็น ศุภฤกษ์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง กว่าจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง
“มันเป็นรูปของผู้หญิงที่เป็นรักครั้งแรกของฉัน ก่อนฉันจะเจอแม่แก เขาตายไปนานแล้ว แกถามทำไม”
บอกลูกชายไปตามตรง ไม่รู้จะปิดบังไว้ทำไม ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว นานเสียจนเขากลบฝังมันไว้ใต้จิตสำนึกนั่นเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะถูกลูกชายขุดคุ้ยขึ้นมาใหม่ คงไปรู้อะไรมาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าให้แล้ว
“เธอชื่อช่อลัดดาใช่ไหมครับ พ่อรู้จักกันกับแม่ของช่อชบามานานแล้ว” ชายหนุ่มถามกลับตรง ๆ เช่นกัน
ศุภฤกษ์นิ่งไปอีก จิตใจอันเคยสุขสงบกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาใหม่ สายน้ำไม่เคยไหลกลับฉันใด อดีตก็เช่นกัน วันเวลาหมุนเวียนผ่านไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แต่ร่องรอยบางอย่างของมันยังคงหลงเหลืออยู่ ตกค้างในความรู้สึก ทั้งความทุกข์และความสุข รูปถ่ายใบนั้นเขาเพียงเก็บไว้เงียบ ๆ เพื่อระลึกถึงอดีต โดยไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
“วันนี้ผมมาค้างที่บ้านของช่อชบา มาชวนยายไปพบกับพ่อพรุ่งนี้ด้วยกัน ได้คุยกับยายบัวถาเรื่องพ่อ...ที่นี่ผมเผอิญไปเจอรูปถ่ายแม่ของช่อชบาเข้า เป็นรูปใบเดียวกันกับที่พ่อมี พ่ออยากเห็นไหมครับ ผมถ่ายรูปใบนั้นเก็บไว้ในมือถือด้วย”
ชื่อของยายบัวถา ศุภฤกษ์เองยังจำฝังใจ หญิงชราผู้ตกพุ่มหม้ายคนนี้ เป็นอุปสรรคในรักครั้งแรกของเขากับช่อลัดดา หลังจากเขาต้องตัดใจไปจากอำเภอแม่แจ่ม เพราะต้องเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ในคืนพิพากษาคืนนั้นเอง ยายบัวถาก็ประกาศก้องขึ้นว่า จะฆ่าตัวตายทันทีหากช่อลัดดาตัดสินใจย้ายตามเขาไปอยู่ที่อื่น
ไม่นานหลังจากย้ายที่ทำงาน ก็มีข่าวงานแต่งงานของช่อลัดดากับพิชิตพลเกิดขึ้นที่แม่แจ่ม ศุภฤกษ์ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากต้องทำใจ เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่น ทุบกำแพงจนเนื้อแตก เลือดที่หลั่งออกจากผิวเนื้อในตอนนั้น ไม่ต่างกันกับที่ไหลออกจากหัวใจ กลายเป็นหยาดน้ำตาไหลเปื้อนหน้า จนกระทั่งได้ข่าวอีกว่าช่อลัดดาตายจากไปแล้ว จากนั้นข่าวคราวของยายบัวถาก็ไม่อยู่ในความสนใจของเขาอีกเลย
“ช่อชบาเป็นลูกสาวของคุณช่อลัดดา พ่อคงรู้อยู่แล้วเหมือนกัน”
“อืม...ฉันรู้ตั้งแต่วันที่แกพาเขาเข้ามาที่บ้าน หน้าตาของช่อชบาเหมือนแม่มาก”
ศุภฤกษ์บอกลูกชายเหมือนรำพึงกับตัวเอง โลกกลม ๆ ใบนี้ในที่สุดก็หมุนอดีตของคนเราให้หวนกลับมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง ภาพใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวน้อยผู้อ่อนหวานและใจดี ในวัยแรกรุ่นของตัวเอง ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ ช่อลัดดาคือผู้หญิงคนแรกที่สอนให้เขารู้จักคำว่ารัก จากนั้น คำ ๆ นี้ก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย น่าเสียดายที่เส้นทางชีวิตรักของตัวเอง ไม่อาจมาบรรจบกันกับเธอ เมื่อรู้ข่าวว่าเธอตายจากไปจึงเพียงเก็บรูปถ่ายของเธอไว้เพื่อระลึกถึง
“ยายบัวถาเป็นไงมั่ง ยังสบายดีอยู่ไหม”
แต่ศุภฤกษ์เองก็เข้าใจในตัวของยายบัวถา โลกของเด็กกำพร้าได้กล่อมเกลาให้เขารู้จักเข้าใจในชีวิต รู้จักคิดรับผิดชอบชั่วดีด้วยตัวเอง แม้ตอนนั้นจะยังมีอายุน้อย เขายากจน ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ย้ายที่ทำงานไปเรื่อย ๆ จนจะทั่วทั้งประเทศ คนมีลูกสาวคนไหนก็คงไม่อยากจะฝากผีฝากไข้เอาไว้กับลูกเขยประเภทนี้ เมื่อมีคู่แข่งอีกคนที่เหมาะสมกว่า และช่อลัดดาตัดสินใจเลือก เขาจึงต้องยอมเสียสละ หลีกทางให้ ทั้งที่เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตาย แต่เมื่อยอมเสียสละหัวใจตัวเองให้ไปแล้ว พิชิตพลกลับทอดทิ้งช่อลัดดาไปอย่างไม่ใยดี ศุภฤกษ์รู้ถึงความสัมพันธ์อันง่อนแง่นของคนทั้งคู่ดี เพราะช่อลัดดาไม่เคยรักผู้ชายคนนั้นเลย เธอเลือกพิชิตพลตามประกาศิตของผู้เป็นแม่
“ยายยังแข็งแรงดีครับ แกเป็นคนเล่าเรื่องพ่อให้ผมฟัง พ่อครับ...พรุ่งนี้นอกจากพายายบัวถาไปหาแล้ว ผมยังมีเรื่องที่ต้องเล่าให้พ่อฟังอีกอย่างหนึ่งด้วย”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เรื่องของอาดำเกิงกับนลินีครับ ผมจะส่งคลิปวิดีโอพร้อมหลักฐานการพิสูจน์คลิปวิดีโอนี้ของผู้เชี่ยวชาญไปให้พ่อดูในอีเมลของพ่อ เปิดดูคืนนี้เลยนะครับ”
“คลิปของหนูนีกับดำเกิงรึ...คลิปอะไรของแก”
“อย่าเพิ่งถามผมตอนนี้เลยครับ ผมอยากให้พ่อดูมันก่อน คลิปนี้ช่อชบากับเพื่อนเธอเป็นคนค้นพบ ผมขอให้พ่อดูจนจบ แล้วพรุ่งนี้เราเจอกันที่บ้านนะครับ จากนั้นเราค่อยปรึกษากันอีกที”
เสียงบิดารับคำแบบงง ๆ ดังมา ศรศิลป์จึงขอจบการสนทนาและปิดโทรศัพท์ลง เพื่อให้บิดาได้ดูสิ่งที่ส่งไปโดยไว แล้วเผยอยิ้มอย่างดีใจ วันพรุ่งนี้แล้วสิ่งที่รอคอยมาตลอดกำลังจะได้อย่างใจคิด ปัญหาทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายลง ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ จากความช่วยเหลือของผู้หญิงทะลุมิติสองคนนั้น
พอรู้ว่าช่อชบาเป็นใคร ท่าทีอันแข็งกร้าวแต่เดิมของบิดาก็ดูอ่อนลงมาก อานุภาพความรักครั้งแรกของท่านนั่นเอง ที่เผื่อแผ่มาถึงลูกสาวของอดีตคนรักด้วย ได้เวลาที่เรื่องระหว่างเขากับนลินีจะขาดสะบั้นลงอย่างเด็ดขาดเสียที การมาบ้านสวนของช่อชบาในวันนี้ก่อให้เกิดผลดีกับเขาอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
(มีต่อ)