ตอนเดิม
ตอนที่ 37
ศรศิลป์อาบน้ำในห้องน้ำเล็ก ๆ หลังบ้าน ความคับแคบของห้องน้ำและความเรียบง่ายของสุขภัณฑ์ ตามแบบฉบับบ้านในชนบท ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับชายหนุ่ม ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยดีกับห้องน้ำแบบนี้ พออาบเสร็จเขาก็กลับมาใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เพราะนอกจากอุปกรณ์อาบน้ำใหม่เอี่ยมที่ช่อชบาซื้อหามาตุนไว้ โดยไม่ได้นึกว่าจะมีแขกเข้ามาใช้แต่อย่างใด ยกเว้นเสื้อผ้าผู้ชายที่บ้านหลังนี้ไม่มีให้เปลี่ยน
ออกมายืนพิงประตูครัวมองดูช่อชบากับยายบัวถากำลังช่วยกันจัดสำรับกับข้าว สังเกตเห็นว่าหญิงสาวรักยายของตัวเองมาก พูดกระเซ้าเย้าแหย่ยายเล่นอย่างอารมณ์ดี ยายบัวถาเองบางครั้งก็ยกมือตีหลานสาวเบา ๆ บางทีก็ยีผมที่เริ่มยาวประบ่าของหลานเล่น พูดหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เขามองชีวิตเรียบง่ายของผู้หญิงต่างวัยทั้งคู่พลางอมยิ้ม
เพิ่งเข้าใจว่าทำไมช่อชบาถึงพยายามทำงานทุกอย่าง เพื่อรักษาสวนลำไยแห่งนี้ไว้ ทั้งที่จะว่าไปแล้วหากขายสวนทิ้ง แล้วเอาเงินที่ได้ไปหาซื้อที่ทางใหม่ สร้างบ้านดี ๆ อยู่ก็สามารถทำได้ แถมยังอาจมีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายอีกต่างหาก แต่เพราะบ้านสวนคงเป็นเหมือนจิตวิญญาณของยายตัวเอง แม้การย้ายไปอยู่ใกล้ตัวเมืองจะมีความสะดวกสบายมากกว่า แต่ยายวัยชราคงไม่คิดไปจากบ้านสวนที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแน่
จนเมื่อจัดสำรับเสร็จ ช่อชบาก็ปูเสื่อลงกับพื้นห้องครัว หันมาเชิญเขาให้เข้ามานั่ง ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามานั่งขัดสมาธิลงข้างสำรับแต่โดยดี หญิงสาวคดข้าวใส่จานยื่นส่งให้ พยักพเยิดให้เขาตักกิน ชายหนุ่มตักน้ำพริกกะปิราดข้าวกินอย่างไม่อิดออด เคี้ยวกินพลางเอ่ยชมฝีมือแม่ครัวเอก
“น้ำพริกกะปิฝีมือคุณยายเข้มข้นดีจัง อร่อยครับ หอมกะปิ ไม่มีเหม็นหืนเลย”
ยายบัวถายิ้มปลื้มกับคำชม มองชายหนุ่มตักข้าวกินอย่างเอ็นดู
“กะปิดี เนตรเขาซื้อมาฝากจากระยอง ยายก็พยายามหากับข้าวที่มันจืด ๆ มาให้กิน เห็นช่อบอกว่าคุณเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ท่าทางจะกินเผ็ดไม่เก่ง”
ช่อชบาแทบสำลักน้ำพริกออกทางจมูก ไอโขลกออกมา ก่อนหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นจิบ
“นี่ก็กินเหมือนเด็ก” ยายหันมาเอ็ดหลานสาวด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่ม เบ้ปากใส่เขานิด ๆ เมื่อเห็นเขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาตักข้าวกินใหม่
“คงสำลักน้ำพริกน่ะครับ...คุณช่อเขากินเผ็ดไม่เก่งเหมือนกับผมนี่แหละครับ”
ชายหนุ่มพูดแซวกลั้วเสียงหัวเราะแล้วตักข้าวกินหน้าตาเฉย คนถูกพูดพาดพิงถึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีก ส่งค้อนตาแทบกลับ...ได้ทีแซวใหญ่เชียวนะ พ่อคนกินเผ็ดเก่ง...
“โตจนป่านนี้แล้วยังกินเผ็ดไม่เป็นอีก พริกยายก็ใส่นิดเดียวเอง เออ...ว่าจะถามเรื่องงานพิเศษอะไรนั่นน่ะ จ่ายค่าจ้างเป็นชุดเหรอจ๊ะ ชุดแบบไหนกัน ชุดที่จะใส่เดินแบบเหรอ ไหนว่าจะไม่ถ่ายแบบแล้วไงล่ะ”
บ่นหลานตัวเองแล้วนึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามถึงเรื่องงานพิเศษที่ได้ยินพูดกันเมื่อตอนเย็น หนุ่มสาวทั้งคู่ชะงักมือจากตักข้าวกิน แลดูตากัน ช่อชบานิ่งไป จะอธิบายเรื่องเป็นคู่รักปลอม ๆ ของเจ้านายว่าอย่างไรดี ให้ยายซึ่งเป็นคนหัวเก่าที่ยังยึดมั่นในจารีตของหนุ่มสาวล้านนาอยู่ เข้าใจได้โดยง่าย โดยเฉพาะพรุ่งนี้ต้องพายายไปพบกับคุณพ่อของศรศิลป์ด้วย ตนยังไม่ได้ปรึกษากับเจ้านายว่าจะบอกกับยายแบบไหน แต่ปิดไว้คงไม่มิด จึงคิดจะเริ่มต้นอธิบายให้ยายฟังในวงกับข้าวนี้เลย
“คุณศรเขาซื้อชุด...เอ้อ ชุดเจ้าสาวให้ช่อค่ะ...เป็นค่าจ้าง...”
“หือ...จ่ายค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวรึ พิลึกจริง...คิดยังไงถึงไปเอาค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวล่ะ แล้วเอ็งจะใส่แต่งงานกับใคร แฟนก็ไม่มีกับเขา”
ยังไม่ทันเล่าถึงที่มาที่ไปของชุดเจ้าสาว เธอก็โดนยายโวยเอาเสียงขรมเสียแล้ว ก่อนมองหลานอย่างประหลาดใจ เพราะหลานยายไม่ใช่คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เวลาทำงานได้เงินมาก็มักให้ยายเก็บไว้ใช้เป็นส่วนใหญ่ ตัวเองเหลือเป็นค่าเช่าห้องกับค่าของใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่ากินอยู่กันอย่างกระเบียดกระเสียรเลยก็ได้ แล้วทำไมไปเอาค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวแทนเงิน ทั้งที่ไม่ได้จะมีพิธีวิวาห์กับใคร
ศรศิลป์มองหน้าจ๋อยของช่อชบา รู้ดีถึงความลำบากใจในการอธิบายให้ยายเธอเข้าใจ จึงตัดสินใจเป็นคนอธิบายเรื่องนี้เสียเอง
“คือว่า งานพิเศษที่ผมจ้างคุณช่อทำนอกเหนือจากเป็นเลขาที่บริษัท มันเป็นงานที่พิเศษมากครับ...ผมจะค่อย ๆ เล่าให้คุณยายฟังนะครับ กรุณาฟังผมให้จบก่อน เราจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น ชุดเจ้าสาวที่ว่า ผมต้องเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วย ผมให้คุณช่อฟรีครับ ไม่นับเป็นค่าจ้างด้วยหรอก”
ยายบัวถาจ้องหน้าคนพูดสลับกับมองหน้าหลานสาว นึกสังหรณ์ใจในงานพิเศษที่หลานทำว่าอาจมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
“ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เราเข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิง เธอเองก็ไม่ได้รักผม อยากแต่งกับผมเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น และอยากได้กิจการของครอบครัวผมมาเป็นของตัวเอง แต่ว่าคุณพ่อของผมท่านกลับอยากให้เราแต่งงานกัน เพราะไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงคนนี้ ผมจึงขอร้องคุณช่อให้ช่วยปลอมตัวเป็นคนรักของผมไปสักระยะหนึ่งครับ”
ยายบัวถาทิ้งช้อนในมือลงจานดังเคล้ง! ยกมือขึ้นทาบอก
“ปลอมตัวเป็นคนรักคุณ...คุณพระช่วย! คุณจะมาทำแบบนี้กับหลานยายไม่ได้นะ ช่อมันยังเป็นสาวเป็นแส้ ไม่เคยมีแฟนกับใครเขาสักคน จะให้มันเป็นแฟนปลอม ๆ ของคุณได้ยังไง ต่อไปใครจะเอามันทำเมีย”
ผู้เฒ่าหมดความอดทนจะนิ่งฟัง ร้องขัดขึ้นทันที
“ช่อตกลงทำไปแล้วล่ะจ้ะ ยายจ๋า...ช่อสงสารคุณศรกับพ่อของเขาจ้ะ”
ช่อชบาก้มหน้าบอกยายตัวเองเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ตกลงทำเรื่องนี้โดยไม่ได้ปรึกษากับยายก่อน
“ยายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องช่อไม่มีใครแต่งงานด้วยหรอกจ้ะ ชาตินี้ช่อคงไม่แต่งงานกับใครแน่ ก็เลยรับปากช่วยคุณศรไป”
บอกแล้วก็เจ็บจี๊ดในใจ เมื่อหวนไปนึกถึงผู้ชายคนที่เคยนึกอยากจะแต่งงานด้วย และเพิ่งรู้ความจริงว่าที่แท้เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
“คุณศรเขาให้ค่าจ้างหนึ่งล้านบาทจ้ะ ช่อว่าก็ดีเหมือนกัน เราจะได้เอาเงินมาซื้อรถยนต์ไว้ใช้สักคัน ขับพายายไปวัดไปวา หรือเวลาพายายไปหาหมอไงจ๊ะ จะได้ไม่ต้องรบกวนรถพี่เนตรเขาบ่อย ที่เหลือก็เอามาซ่อมบ้านที่มันชำรุด ช่ออยากให้ยายได้อยู่สบายกว่านี้อีกหน่อย ขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ไม่ได้ปรึกษายายก่อน คือว่า...ตอนนั้นมันฉุกละหุกจริง ๆ จ้ะ”
ได้ยินหลานบอกถึงความจำเป็นในการรับจ้างทำงานพิเศษ ยายบัวถาอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนถอนหายใจใหญ่ออกมา เข้าใจถึงเจตนาและเหตุผลของช่อชบาดี ตัวแกเองก็อยากมีเงินไว้ใช้จ่ายอย่างเทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านคนอื่นอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้แค่พอมีกินมีใช้อย่างประหยัดเท่านั้น ถ้ามีมากหน่อยก็คงเข้าวัดไปทำบุญตามประสา ไม่หน้าใหญ่จนเกินไป แต่ถึงยังไงแกก็แกว่งศีรษะอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ที่หลานตัวเองจะทำงานเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง เพราะความเห็นแก่เงิน
“ทำไมถึงพูดจาตัดหนทางตัวเองอย่างนั้นเล่า ยังสาวยังแส้อยู่แท้ ๆ ที่เอ็งยังไม่ได้แต่งงาน เพราะเนื้อคู่ของเอ็งอาจจะยังมาไม่ถึง ยายก็ยังแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมาย แค่ไปเอายาคนแก่ที่สุขศาลานาน ๆ ทีเท่านั้น”
จึงยังพูดแย้งหลานสาว ด้วยคิดเสมอว่าตัวเองยังแข็งแรงดี สามารถอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้หลานไปได้อีกนาน
“เป็นเพราะผมคะยั้นคะยอขอให้คุณช่อช่วยเองครับ ผมพยายามปฏิเสธคุณพ่อมาตลอด แต่ไม่เป็นผล จนมาได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคิดฮุบบริษัทเรา การขอให้คุณช่อช่วย เป็นทางออกสุดท้ายของผมแล้ว ผมสัญญาว่าจะรักษาเกียรติของหลานคุณยายให้ดีที่สุด แค่คุณช่อช่วยแสดงตัวว่าเป็นคนรักของผม จนคุณพ่อท่านเปลี่ยนใจ เลิกเคี่ยวเข็ญผมเรื่องนี้เสียที หากการหมั้นกันถูกล้มเลิกไป คุณช่อก็จะพ้นจากหน้าที่นี้ครับ”
ผู้ชรามองหน้านายจ้างของหลานสาวนิ่ง ในใจประหวัดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เรื่องทำนองนี้เคยมีเกิดขึ้นที่นี่มาก่อนเหมือนกัน แกย้อนคิดดู แล้วจึงถอนหายใจใหญ่ออกมาอีก
“นานแค่ไหนล่ะ หวังว่าคงไม่นานเท่าไหร่หรอกนะ เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น”
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 37
ศรศิลป์อาบน้ำในห้องน้ำเล็ก ๆ หลังบ้าน ความคับแคบของห้องน้ำและความเรียบง่ายของสุขภัณฑ์ ตามแบบฉบับบ้านในชนบท ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับชายหนุ่ม ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยดีกับห้องน้ำแบบนี้ พออาบเสร็จเขาก็กลับมาใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เพราะนอกจากอุปกรณ์อาบน้ำใหม่เอี่ยมที่ช่อชบาซื้อหามาตุนไว้ โดยไม่ได้นึกว่าจะมีแขกเข้ามาใช้แต่อย่างใด ยกเว้นเสื้อผ้าผู้ชายที่บ้านหลังนี้ไม่มีให้เปลี่ยน
ออกมายืนพิงประตูครัวมองดูช่อชบากับยายบัวถากำลังช่วยกันจัดสำรับกับข้าว สังเกตเห็นว่าหญิงสาวรักยายของตัวเองมาก พูดกระเซ้าเย้าแหย่ยายเล่นอย่างอารมณ์ดี ยายบัวถาเองบางครั้งก็ยกมือตีหลานสาวเบา ๆ บางทีก็ยีผมที่เริ่มยาวประบ่าของหลานเล่น พูดหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เขามองชีวิตเรียบง่ายของผู้หญิงต่างวัยทั้งคู่พลางอมยิ้ม
เพิ่งเข้าใจว่าทำไมช่อชบาถึงพยายามทำงานทุกอย่าง เพื่อรักษาสวนลำไยแห่งนี้ไว้ ทั้งที่จะว่าไปแล้วหากขายสวนทิ้ง แล้วเอาเงินที่ได้ไปหาซื้อที่ทางใหม่ สร้างบ้านดี ๆ อยู่ก็สามารถทำได้ แถมยังอาจมีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายอีกต่างหาก แต่เพราะบ้านสวนคงเป็นเหมือนจิตวิญญาณของยายตัวเอง แม้การย้ายไปอยู่ใกล้ตัวเมืองจะมีความสะดวกสบายมากกว่า แต่ยายวัยชราคงไม่คิดไปจากบ้านสวนที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแน่
จนเมื่อจัดสำรับเสร็จ ช่อชบาก็ปูเสื่อลงกับพื้นห้องครัว หันมาเชิญเขาให้เข้ามานั่ง ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามานั่งขัดสมาธิลงข้างสำรับแต่โดยดี หญิงสาวคดข้าวใส่จานยื่นส่งให้ พยักพเยิดให้เขาตักกิน ชายหนุ่มตักน้ำพริกกะปิราดข้าวกินอย่างไม่อิดออด เคี้ยวกินพลางเอ่ยชมฝีมือแม่ครัวเอก
“น้ำพริกกะปิฝีมือคุณยายเข้มข้นดีจัง อร่อยครับ หอมกะปิ ไม่มีเหม็นหืนเลย”
ยายบัวถายิ้มปลื้มกับคำชม มองชายหนุ่มตักข้าวกินอย่างเอ็นดู
“กะปิดี เนตรเขาซื้อมาฝากจากระยอง ยายก็พยายามหากับข้าวที่มันจืด ๆ มาให้กิน เห็นช่อบอกว่าคุณเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ท่าทางจะกินเผ็ดไม่เก่ง”
ช่อชบาแทบสำลักน้ำพริกออกทางจมูก ไอโขลกออกมา ก่อนหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นจิบ
“นี่ก็กินเหมือนเด็ก” ยายหันมาเอ็ดหลานสาวด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่ม เบ้ปากใส่เขานิด ๆ เมื่อเห็นเขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาตักข้าวกินใหม่
“คงสำลักน้ำพริกน่ะครับ...คุณช่อเขากินเผ็ดไม่เก่งเหมือนกับผมนี่แหละครับ”
ชายหนุ่มพูดแซวกลั้วเสียงหัวเราะแล้วตักข้าวกินหน้าตาเฉย คนถูกพูดพาดพิงถึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีก ส่งค้อนตาแทบกลับ...ได้ทีแซวใหญ่เชียวนะ พ่อคนกินเผ็ดเก่ง...
“โตจนป่านนี้แล้วยังกินเผ็ดไม่เป็นอีก พริกยายก็ใส่นิดเดียวเอง เออ...ว่าจะถามเรื่องงานพิเศษอะไรนั่นน่ะ จ่ายค่าจ้างเป็นชุดเหรอจ๊ะ ชุดแบบไหนกัน ชุดที่จะใส่เดินแบบเหรอ ไหนว่าจะไม่ถ่ายแบบแล้วไงล่ะ”
บ่นหลานตัวเองแล้วนึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามถึงเรื่องงานพิเศษที่ได้ยินพูดกันเมื่อตอนเย็น หนุ่มสาวทั้งคู่ชะงักมือจากตักข้าวกิน แลดูตากัน ช่อชบานิ่งไป จะอธิบายเรื่องเป็นคู่รักปลอม ๆ ของเจ้านายว่าอย่างไรดี ให้ยายซึ่งเป็นคนหัวเก่าที่ยังยึดมั่นในจารีตของหนุ่มสาวล้านนาอยู่ เข้าใจได้โดยง่าย โดยเฉพาะพรุ่งนี้ต้องพายายไปพบกับคุณพ่อของศรศิลป์ด้วย ตนยังไม่ได้ปรึกษากับเจ้านายว่าจะบอกกับยายแบบไหน แต่ปิดไว้คงไม่มิด จึงคิดจะเริ่มต้นอธิบายให้ยายฟังในวงกับข้าวนี้เลย
“คุณศรเขาซื้อชุด...เอ้อ ชุดเจ้าสาวให้ช่อค่ะ...เป็นค่าจ้าง...”
“หือ...จ่ายค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวรึ พิลึกจริง...คิดยังไงถึงไปเอาค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวล่ะ แล้วเอ็งจะใส่แต่งงานกับใคร แฟนก็ไม่มีกับเขา”
ยังไม่ทันเล่าถึงที่มาที่ไปของชุดเจ้าสาว เธอก็โดนยายโวยเอาเสียงขรมเสียแล้ว ก่อนมองหลานอย่างประหลาดใจ เพราะหลานยายไม่ใช่คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เวลาทำงานได้เงินมาก็มักให้ยายเก็บไว้ใช้เป็นส่วนใหญ่ ตัวเองเหลือเป็นค่าเช่าห้องกับค่าของใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่ากินอยู่กันอย่างกระเบียดกระเสียรเลยก็ได้ แล้วทำไมไปเอาค่าจ้างเป็นชุดเจ้าสาวแทนเงิน ทั้งที่ไม่ได้จะมีพิธีวิวาห์กับใคร
ศรศิลป์มองหน้าจ๋อยของช่อชบา รู้ดีถึงความลำบากใจในการอธิบายให้ยายเธอเข้าใจ จึงตัดสินใจเป็นคนอธิบายเรื่องนี้เสียเอง
“คือว่า งานพิเศษที่ผมจ้างคุณช่อทำนอกเหนือจากเป็นเลขาที่บริษัท มันเป็นงานที่พิเศษมากครับ...ผมจะค่อย ๆ เล่าให้คุณยายฟังนะครับ กรุณาฟังผมให้จบก่อน เราจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น ชุดเจ้าสาวที่ว่า ผมต้องเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำงานด้วย ผมให้คุณช่อฟรีครับ ไม่นับเป็นค่าจ้างด้วยหรอก”
ยายบัวถาจ้องหน้าคนพูดสลับกับมองหน้าหลานสาว นึกสังหรณ์ใจในงานพิเศษที่หลานทำว่าอาจมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
“ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เราเข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิง เธอเองก็ไม่ได้รักผม อยากแต่งกับผมเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น และอยากได้กิจการของครอบครัวผมมาเป็นของตัวเอง แต่ว่าคุณพ่อของผมท่านกลับอยากให้เราแต่งงานกัน เพราะไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงคนนี้ ผมจึงขอร้องคุณช่อให้ช่วยปลอมตัวเป็นคนรักของผมไปสักระยะหนึ่งครับ”
ยายบัวถาทิ้งช้อนในมือลงจานดังเคล้ง! ยกมือขึ้นทาบอก
“ปลอมตัวเป็นคนรักคุณ...คุณพระช่วย! คุณจะมาทำแบบนี้กับหลานยายไม่ได้นะ ช่อมันยังเป็นสาวเป็นแส้ ไม่เคยมีแฟนกับใครเขาสักคน จะให้มันเป็นแฟนปลอม ๆ ของคุณได้ยังไง ต่อไปใครจะเอามันทำเมีย”
ผู้เฒ่าหมดความอดทนจะนิ่งฟัง ร้องขัดขึ้นทันที
“ช่อตกลงทำไปแล้วล่ะจ้ะ ยายจ๋า...ช่อสงสารคุณศรกับพ่อของเขาจ้ะ”
ช่อชบาก้มหน้าบอกยายตัวเองเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ตกลงทำเรื่องนี้โดยไม่ได้ปรึกษากับยายก่อน
“ยายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องช่อไม่มีใครแต่งงานด้วยหรอกจ้ะ ชาตินี้ช่อคงไม่แต่งงานกับใครแน่ ก็เลยรับปากช่วยคุณศรไป”
บอกแล้วก็เจ็บจี๊ดในใจ เมื่อหวนไปนึกถึงผู้ชายคนที่เคยนึกอยากจะแต่งงานด้วย และเพิ่งรู้ความจริงว่าที่แท้เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
“คุณศรเขาให้ค่าจ้างหนึ่งล้านบาทจ้ะ ช่อว่าก็ดีเหมือนกัน เราจะได้เอาเงินมาซื้อรถยนต์ไว้ใช้สักคัน ขับพายายไปวัดไปวา หรือเวลาพายายไปหาหมอไงจ๊ะ จะได้ไม่ต้องรบกวนรถพี่เนตรเขาบ่อย ที่เหลือก็เอามาซ่อมบ้านที่มันชำรุด ช่ออยากให้ยายได้อยู่สบายกว่านี้อีกหน่อย ขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ไม่ได้ปรึกษายายก่อน คือว่า...ตอนนั้นมันฉุกละหุกจริง ๆ จ้ะ”
ได้ยินหลานบอกถึงความจำเป็นในการรับจ้างทำงานพิเศษ ยายบัวถาอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนถอนหายใจใหญ่ออกมา เข้าใจถึงเจตนาและเหตุผลของช่อชบาดี ตัวแกเองก็อยากมีเงินไว้ใช้จ่ายอย่างเทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านคนอื่นอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้แค่พอมีกินมีใช้อย่างประหยัดเท่านั้น ถ้ามีมากหน่อยก็คงเข้าวัดไปทำบุญตามประสา ไม่หน้าใหญ่จนเกินไป แต่ถึงยังไงแกก็แกว่งศีรษะอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ที่หลานตัวเองจะทำงานเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง เพราะความเห็นแก่เงิน
“ทำไมถึงพูดจาตัดหนทางตัวเองอย่างนั้นเล่า ยังสาวยังแส้อยู่แท้ ๆ ที่เอ็งยังไม่ได้แต่งงาน เพราะเนื้อคู่ของเอ็งอาจจะยังมาไม่ถึง ยายก็ยังแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมาย แค่ไปเอายาคนแก่ที่สุขศาลานาน ๆ ทีเท่านั้น”
จึงยังพูดแย้งหลานสาว ด้วยคิดเสมอว่าตัวเองยังแข็งแรงดี สามารถอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้หลานไปได้อีกนาน
“เป็นเพราะผมคะยั้นคะยอขอให้คุณช่อช่วยเองครับ ผมพยายามปฏิเสธคุณพ่อมาตลอด แต่ไม่เป็นผล จนมาได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคิดฮุบบริษัทเรา การขอให้คุณช่อช่วย เป็นทางออกสุดท้ายของผมแล้ว ผมสัญญาว่าจะรักษาเกียรติของหลานคุณยายให้ดีที่สุด แค่คุณช่อช่วยแสดงตัวว่าเป็นคนรักของผม จนคุณพ่อท่านเปลี่ยนใจ เลิกเคี่ยวเข็ญผมเรื่องนี้เสียที หากการหมั้นกันถูกล้มเลิกไป คุณช่อก็จะพ้นจากหน้าที่นี้ครับ”
ผู้ชรามองหน้านายจ้างของหลานสาวนิ่ง ในใจประหวัดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง เรื่องทำนองนี้เคยมีเกิดขึ้นที่นี่มาก่อนเหมือนกัน แกย้อนคิดดู แล้วจึงถอนหายใจใหญ่ออกมาอีก
“นานแค่ไหนล่ะ หวังว่าคงไม่นานเท่าไหร่หรอกนะ เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น”
(มีต่อ)