ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 36

ตอนเดิม



ตอนที่ 36

ขณะนั้นเอง ช่อชบาก็เดินออกจากห้องของยายพอดี เธอทำท่าจะเดินเลยเข้าไปในครัว ศรศิลป์จึงร้องเรียกให้อยู่คุยกันก่อน

“เดี๋ยวสิคุณช่อ ผมขอคุยด้วยหน่อย”

“เริ่มมีปัญหาแล้วใช่ไหมล่ะคะบอส บ้านคนจนมันก็แบบนี้แหละ ไม่ค่อยสะดวกสบายนักหรอก ไม่เหมือนที่คอนโดคุณ ทนเอาหน่อยนะคะ”

เพราะคิดว่าเขาคงเริ่มมีปัญหากับการค้างคืนในสถานที่อันแตกต่างจากที่ตัวเองเคยอยู่อย่างสะดวกสบาย ช่อชบาจึงเอ่ยถามเขาแบบทำหน้าตาย ศรศิลป์ที่ยังไม่ได้อ้าปากบอกเลยว่าอยากคุยด้วยเรื่องอะไร ถึงกับฉุนกึกกับคำถามชวนหาเรื่องของหญิงสาว อยากเขกกระบาลคนปากดีสักโป๊ก

“ผมไม่ได้มีปัญหาอย่างที่คุณว่ามา...แค่อยากจะถามดู คนในรูปนี้เป็นใคร”

ถึงฉุนไปก็ทำอะไรหล่อนไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนหล่อนก็รู้ว่าถือไพ่เหนือเขาอยู่ และเขาจะไม่กล้าต่อว่าอะไรตัวเองมากนัก เพราะจำเป็นต้องใช้งานกัน 
ชายหนุ่มข่มใจลง ชี้ไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะ ช่อชบาเดินเข้ามาชะโงกหน้าดู

“อ้อ ผู้หญิงคนกลางนั่นแม่ฉันเอง ชื่อช่อลัดดา ผู้ชายคนขวามือคือพ่อฉัน ชื่อพิชิตพล ส่วนผู้ชายคนซ้ายมือ เห็นยายบอกว่าเป็นเพื่อนพ่อ ชื่ออะไรยายจำไม่ได้แล้ว”

ศรศิลป์ครางรับรู้ในลำคอ มีแววงุนงงสงสัยในดวงตา ขณะทำท่าครุ่นคิด

“ผมคลับคล้ายคลับคลาจะเคยเห็นรูปนี้ที่ไหนมาก่อน ผมขอถ่ายรูปเก็บเอาไว้เปรียบเทียบกันนะครับ”

“คุณเคยเห็นรูปนี้งั้นเหรอ จำผิดล่ะมั้ง พ่อแม่ฉันไม่ใช่คนเด่นคนดังที่ไหน คุณจะเคยเห็นได้ยังไง แต่ก็ตามใจคุณเถอะ...ฉันขอตัวลงไปเก็บผักตำลึงมาให้ยายทำต้มจืดก่อนนะคะ คุณจะอาบน้ำอาบท่าก่อนก็ได้ ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้าน ด้านหลังห้องครัว”

ช่อชบาไม่ขัดข้อง เอ่ยอนุญาตแล้วขยับจะออกเดิน

“ผมจะลงไปช่วยคุณเก็บตำลึง” 

ศรศิลป์ซึ่งเริ่มเบื่อนั่งอยู่กับที่ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นยืนบอก

“อะไรนะคะ คุณจะไปช่วยฉันเก็บผักเก็บหญ้างั้นเหรอ โถ...นักธุรกิจหมื่นล้านอย่างคุณ เคยเก็บผักตำลึงกับเขาด้วยเหรอคะ”

พูดติดประชด มองเขาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแบบดูถูก ลูกคนมีเงินที่ไหนจะยอมเก็บผักมาทำอาหารกินเอง นอกจากทำไปเพื่อถ่ายรูปโชว์สังคมออนไลน์ให้รับรู้ว่าตนเองนั้นมีความซาบซึ้งกับวิถีชีวิตแบบติดดิน ตามประสาคนโลกสวย รักธรรมชาติ รักสายลมแสงแดด รักชนบท หากมองข้ามความเป็นจริงของวิถีชีวิตอันแร้นแค้น หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินของคนในชนบทไป ส่วนใหญ่มักเห็นใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อความสุขสบายมาใส่ตัวกันแทบทั้งนั้น แบบที่เรียกว่าใช้เงินเป็นเบี้ย ไม่ค่อยรู้จักคุณค่าของเงิน 

ดูอย่างซื้อชุดเจ้าสาวให้เธอนั่นเป็นไร เขาจ่ายค่าชุดราวกับมีราคาแค่ห้าบาทสิบบาท ไม่มีต่อราคาเลยสักคำ คนอย่างเขาจะหยิบจับอะไรคงมีแต่คนคอยรับใช้ รองมือรองเท้าให้ อย่าว่าแต่เก็บผักเลย ไม้กวาดพื้นจับเป็นกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ว่าแต่วันนี้คงได้กินแต่ต้มจืดตำลึงนะคะ ไม่มีอาหารดี ๆ ให้กินหรอก” 

อดพูดแขวะเขาอีกไม่ได้ เพราะนึกเปรียบเทียบไปถึงตอนที่เขายังเป็นน้อยศิลป์ไชย ผู้ไม่เคยทำตัวเย่อหยิ่ง ไม่เคยอวดร่ำอวดรวยให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว

“คุณนี่ชอบหาเรื่องมาว่าผมจริง ๆ ยังเคืองเรื่องที่ผมพูดไม่ดีกับคุณวันที่เพิ่งเข้าบริษัทมาใช่ไหมล่ะ ผมขอโทษนะ วันนั้นผมหงุดหงิดเรื่องนลินี แต่คุณอย่ามาตัดสินผมด้วยภาพลักษณ์ภายนอกของผมเลย” 

เขาเอ่ยขอโทษเธอ และต่อว่าเธอไปพร้อมกัน หน้าขาวดูเป็นสีจัดขึ้นอย่างคนมีอารมณ์ จากคำพูดเหน็บแนมประชดประชันของเธอ

“ผมหาเงินมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ผมมีสิทธิ์ใช้จ่ายเงินของผมได้ตามอำเภอใจ จะทำตัวตามสบาย หรือจะใช้ของดีราคาแพงแค่ไหนมันก็เรื่องของผม ตราบใดที่ผมไม่ได้ไปคดโกงคนอื่นมา ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำไมต้องมาค่อนแคะว่าผมด้วย”

โดนเขาว่าเอาตรง ๆ หญิงสาวก็มีสีหน้าที่เจื่อนลง เขาพูดถูกทุกคำ เถียงไม่ออกเลยสักคำเดียว เพียงเพราะความหมั่นไส้เขาหรือเปล่า ที่เขารวยกว่า ถึงได้พูดจาประชดประชัน แDกดันเขาไปแบบนั้น ชักรู้ตัวว่าพูดจาน่าเกลียดเกินไปแล้วจริง ๆ

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แหม...ใส่ฉันเป็นชุดเลยนะ...จะช่วยก็ตามมาสิ” 

อุบอิบบอกเสียงอ่อย ชำเลืองมองหน้าเขาเหมือนยอมรับว่าตัวเองปากพล่อยไปหน่อย แล้วเดินนำหน้าลงไปทางหลังบ้าน ตรงไปที่รั้วไม้ไผ่สานซึ่งล้อมรอบตัวบ้านอยู่ มีไม้เลื้อยประเภทเก็บกินได้ ทั้งตำลึง ถั่วฝักยาว ฟักแฟงแตงกวา ขึ้นพันเต็มรั้วไปหมด  

หญิงสาวหยิบตะกร้าพลาสติกใบเล็กติดมือมาด้วย พอมาถึงรั้วกินได้ก็ลงมือเด็ดยอดตำลึงยอดอวบ ๆ ใส่ตะกร้า ศรศิลป์เดินเข้ามาเลือกเด็ดช่วยอยู่ด้านข้าง มือขาวของเขาเด็ดยอดผักอย่างชำนิชำนาญ จนหญิงสาวอดมองด้วยความทึ่งไม่ได้ ไม่นานก็ได้เกือบครึ่งตะกร้า

“เก่งนี่....” 

ได้ยินเสียงเล็กเปรยออกมาโดยไม่มองหน้า ชายหนุ่มทั้งฉิวทั้งขำ ขนาดพยายามอธิบายตั้งนาน ยังโดนหล่อนพูดประชดประชันอยู่ได้ ไม่รู้หล่อนจะตั้งแง่อะไรกับเขานักหนา

“แค่เก็บยอดผักเองนะคุณ ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถมากมายนักหรอก ผมจะเล่าให้ฟัง ผมมีเงิน แต่ไม่ใช่ว่าผมจะงอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็น หรือต้องมีคนมาคอยรับใช้แบบเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อน ผมช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก พ่อผมก่อนที่ท่านจะมีธุรกิจใหญ่โตก็เคยทำงานเป็นช่างปูนธรรมดามาก่อน คุณตาชอบที่พ่อเป็นคนขยัน มีหัวคิดพัฒนาและฝีมือดี เลยยกคุณแม่ให้แต่งงานด้วย คุณพ่อมีนิสัยเป็นคนตั้งใจทำจริง ประกอบกับได้รับโอกาสจากคุณตาที่พอมีฐานะ พ่อผมเลยตั้งตัวได้เร็ว ความที่ท่านมีวิสัยทัศน์ จากธุรกิจเล็ก ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็น เอส.พี.แอล กรุ๊ป อย่างทุกวันนี้ พ่อสอนผมว่าถ้าเรามีแล้ว ควรต้องให้โอกาสคนอื่นที่เขายังขาดแคลนอยู่ ผมจึงมักให้โอกาสคนเสมอ อย่างเนตรนภิส ผมเห็นว่าเป็นคนเก่ง ก็ให้โอกาสได้บริหารบริษัท ผมไม่เคยรังเกียจคนที่จนกว่า เพราะในอดีต ครอบครัวของผมเองก็เคยจนมาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าจะให้ใครโดยไม่เลือกหน้า เพราะผมเห็นคุณค่าของเงินด้วยเหมือนกัน...อย่างชุดเจ้าสาวของคุณ สร้างบ้านให้คนจนได้หลังหนึ่งเลยนะ ที่ผมให้คุณเพราะเห็นคุณอยากได้ แต่ถ้าผมจะแต่งงานกับใคร คงจะไม่ซื้อชุดเจ้าสาวแพง ๆ แบบของคุณให้แฟนตัวเองหรอก”

อธิบายยืดยาวอย่างใจเย็น เผื่อหล่อนจะเข้าใจเขามากขึ้น ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าคำพูดบางคำของตัวเองจะสร้างความอับอายให้แก่ช่อชบา ที่ไปค่อนขอดเขาโดยไม่ดูตัวเองเลย ขณะเดียวกันภาพในภพอดีตก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

น้อยศิลป์....คำพูดทุกคำของเขาคือน้อยศิลป์ไชยในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน ช่อชบาจับจ้องใบหน้าของเขานิ่ง...เวลาที่พูดใบหน้าของเขาคล้ายดั่งมีใบหน้าของน้อยศิลป์ไชยในชาติก่อน ซ้อนทับอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง 

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่