ตอนเดิม
ตอนที่ 34
บ้านพักตากอากาศหลังที่ศุภฤกษ์หวังจะใช้เป็นที่พักถาวรในบั้นปลายของชีวิต หลังวางมือจากธุรกิจให้ลูกชายดำเนินการแทนแล้ว สร้างอยู่ในเนื้อที่กว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ รั้วและประตูไม้ทาสีขาว ตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวขจี พื้นที่ลึกเข้าไปทางด้านขวามือ ปลูกบ้านสไตล์คันทรี่หลังใหญ่ สูงชั้นครึ่ง หน้าบ้านตกแต่งสวนหย่อมและน้ำตกด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างสวยงามลงตัว ทางเข้าสู่ตัวบ้านห่างจากรั้วประมาณสักสองร้อยเมตร ปูด้วยคอนกรีตสีอิฐเป็นลวดลายสวยงาม
ศรศิลป์ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถของบ้าน เขาสังเกตเห็นว่านอกจากรถของบิดาแล้ว ยังมีรถเก๋งไม่คุ้นตาจอดอยู่ในนั้นอีกคันหนึ่งด้วย คาดว่าน่าจะเป็นรถของนลินีกับพ่อ
เขาพาช่อชบาที่อยู่ในเดรสแขนกุดสีงาช้างสั้นแค่เข่า ส่งให้ร่างบอบบางดูงดงามเรียบหรู เธอเปิดหน้าผากติดกิ๊บดำ เปียผมด้านข้างสองข้างรวบไปมัดไว้เป็นพวงที่ท้ายทอย ปล่อยลูกผมระขมับ แต่งตัวแต่งหน้าตามคำแนะนำของศรศิลป์ทุกอย่าง ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูโดดเด่น สวยอ่อนหวาน งามละมุนดุจนางในวรรณคดี จนศรศิลป์เองเมื่อแรกเห็นก่อนจะพาเธอขึ้นรถขับออกมา ถึงกับต้องร้องว้าว...ออกมาเบา ๆ
ทั้งสองเดินผ่านเทอเรซเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งที่นั่นพ่อของชายหนุ่มนั่งอยู่พร้อมหน้ากันกับดำเกิงและนลินี เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ
ศรศิลป์คว้ามือของช่อชบาข้างหนึ่งมากุมกระชับไว้ พาเธอเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าที่องอาจมั่นคง อย่างพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกคน สายตามองตรงไปยังทั้งสามคนบนเก้าอี้หวายสีขาวในห้องรับแขก ที่พากันหันมามอง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดจั้มสูทไหล่เฉียง สีฟ้าพาสเทล หล่อนจิกตามองช่อชบาด้วยสายตาแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง
“ตายจริง ไม่นึกว่าวันนี้ศรจะพาคนอื่นมาที่บ้านด้วย”
ยังไม่ทันไรเลย นลินีก็พูดทักขึ้นก่อน ด้วยคำพูดเหมือนเหยียดช่อชบา จนศรศิลป์อดพูดโต้ตอบกลับไปไม่ได้
“ช่อชบาไม่ใช่ ‘คนอื่น’ นะครับ คุณนลินี เธอเป็นแฟนผมเอง...สวัสดีครับคุณพ่อ คุณอา”
เขาปล่อยมือจากมือช่อชบา ยกขึ้นทำความเคารพผู้ใหญ่กว่าทั้งสอง แต่เมินเฉยจากนลินี จงใจเน้นคำว่า ‘คนอื่น’ ให้หล่อนรู้สึก
“วันนี้เป็นโอกาสดี ผมจึงจะถือโอกาสนี้พาช่อชบามาทำความรู้จักกับคุณพ่อและคุณอาเสียเลยนะครับ”
ผายมือแนะนำไปทางบิดาและอาดำเกิง ช่อชบายกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง อดใจสั่นระริกจนลามมาถึงมือที่ยกขึ้นไหว้ไม่ได้ ศรศิลป์ชำเลืองมองอาการมือสั่น ๆ ของเธอ เขายกมือโอบไหล่เธอแล้วบีบกระชับเบา ๆ อย่างจะให้กำลังใจ
สัมผัสของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจขึ้น คลายจากอาการใจสั่นมือสั่นลง สังเกตเห็นว่าบิดาของศรศิลป์แม้จะมีอายุมากแล้ว และรูปร่างค่อนข้างอ้วน แต่ยังมีเค้าของความหล่อเหลาเหลืออยู่ บุคลิกดูองอาจผ่าเผยคล้ายคนเป็นลูกชาย สมกับเป็นผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ ผิดกับผู้ชายสูงวัยอีกคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างผอมกว่า ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปาก สายตาของเขาตอนรับไหว้เธอ เหมือนงูร้ายจ้องฉกเหยื่อไม่มีผิด ตามประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เป็นสายตาของผู้ชายเจ้าชู้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าคุณศุภฤกษ์ไปไว้ใจคนแบบนี้ได้อย่างไร
ส่วนลูกสาวของเขาก็นั่งหน้าเชิด ทำคอแข็ง จิกตามองศรศิลป์ที่พาเธอเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ อย่างคนถือตัวว่าอยู่เหนือคนอื่น คุณศุภฤกษ์แม้รับไหว้เธอก็จริง แต่มีท่าทีที่เย็นชา แสดงความไม่ยอมรับเธออยู่กราย ๆ แม้ตอนเห็นหน้าเธอในครั้งแรก เขาเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่งคล้ายแปลกใจก็ตาม
“ลูกชายพาผู้หญิงเข้าบ้านมาแบบนี้ แล้วพี่สุขจะเอายังไงกับเรื่องของนลินี ทางผมก็บอกข่าวไปบ้างแล้วว่าจะมีการหมั้นกันกับลูกชายพี่ มีแต่คนเข้ามาแสดงความยินดีกันเป็นแถว แล้วถ้าเกิดยกเลิกการหมั้นกัน นลินีจะเสียหายนะครับพี่”
โดยไม่อ้อมค้อม ดำเกิงพูดต่อหน้าออกมาทันทีที่แม่บ้านเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเสร็จ น้ำเสียงออกแววกระด้าง แสดงท่าทางต้องการจะกดดันอีกฝ่าย และไม่ไว้หน้าหญิงสาวคนที่ศรศิลป์เพิ่งพาเข้าบ้านมา
“พี่ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะล้มเลิกการหมั้นกันนี่ แต่ขอเวลาปรึกษากับเจ้าศรมันก่อน”
ศุภฤกษ์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ พยายามพูดรอมชอมอย่างดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย หันไปมองหน้าลูกชายกับผู้หญิงที่พามาด้วย สีหน้าของเขาเคร่งเครียดลง
“แล้ววันนี้แกนึกยังไงถึงพาแม่หนูคนนี้มาด้วย ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้แกพามานะ บอกว่าให้มาคุยกับอาดำเกิงเขาก่อนไง”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก นี่ถ้าตัวเองเป็นคนรักของศรศิลป์จริง และถูกว่าใส่หน้าเอาแบบนี้ คงไม่อยู่เฉยให้โดนดูถูกเอาข้างเดียวแน่ ต้องโต้ตอบกลับไปในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้ของบ้านนี้บ้าง แต่พอดีว่าไม่ใช่ เลยวางหน้าเฉยเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะพูดได้ไม่เต็มปากอย่างที่อยากจะพูด แต่ใช่ว่าศรศิลป์จะยอมแพ้บิดา เขาโอบไหล่ช่อชบาเข้ามากอด
“จะช้าจะเร็วผมก็ต้องพาช่อชบามาไหว้คุณพ่ออยู่แล้วล่ะครับ ในฐานะคนที่ผมรัก ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
“แล้วแฟนคุณเป็นลูกเต้าเหล่าใครคะ แนะนำคุณลุงไปสิคะ”
นลินีเห็นได้ทีที่พ่อตัวเองเปิดช่องทางให้ รีบขยี้ถึงพื้นเพเดิมของผู้หญิงคนที่ตนไปสืบมาแล้วว่าโคตรเหง้าศักราชของหล่อนเป็นใคร มาจากไหน มีฐานะเป็นอย่างไร เพื่อประจานนังผู้หญิงบ้านนอกที่เสนอหน้ามาขวางทางตน
ศุภฤกษ์จึงเหลือบมองมาทางช่อชบา ถามออกไปแบบเดียวกัน
“ชื่ออะไรนะเรา เป็นคนที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไรล่ะ”
“ชื่อช่อชบาค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่อำเภอแม่แจ่ม คุณแม่ชื่อช่อลัดดา ท่านเสียไปนานแล้ว หนูอยู่กับยายสองคนในสวนลำไยค่ะ”
ช่อชบาตั้งสติ รวบรวมสมาธิให้มั่นคง ระลึกถึงคำพูดของศรศิลป์ที่พูดกับตนก่อนจะพากันเข้ามา แล้วจึงบอกไปตามความเป็นจริง
แต่ทันทีที่ได้ยิน ศุภฤกษ์กลับมีอาการนิ่งอึ้งไป สีหน้าเผือดลงเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 34
บ้านพักตากอากาศหลังที่ศุภฤกษ์หวังจะใช้เป็นที่พักถาวรในบั้นปลายของชีวิต หลังวางมือจากธุรกิจให้ลูกชายดำเนินการแทนแล้ว สร้างอยู่ในเนื้อที่กว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ รั้วและประตูไม้ทาสีขาว ตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวขจี พื้นที่ลึกเข้าไปทางด้านขวามือ ปลูกบ้านสไตล์คันทรี่หลังใหญ่ สูงชั้นครึ่ง หน้าบ้านตกแต่งสวนหย่อมและน้ำตกด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างสวยงามลงตัว ทางเข้าสู่ตัวบ้านห่างจากรั้วประมาณสักสองร้อยเมตร ปูด้วยคอนกรีตสีอิฐเป็นลวดลายสวยงาม
ศรศิลป์ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถของบ้าน เขาสังเกตเห็นว่านอกจากรถของบิดาแล้ว ยังมีรถเก๋งไม่คุ้นตาจอดอยู่ในนั้นอีกคันหนึ่งด้วย คาดว่าน่าจะเป็นรถของนลินีกับพ่อ
เขาพาช่อชบาที่อยู่ในเดรสแขนกุดสีงาช้างสั้นแค่เข่า ส่งให้ร่างบอบบางดูงดงามเรียบหรู เธอเปิดหน้าผากติดกิ๊บดำ เปียผมด้านข้างสองข้างรวบไปมัดไว้เป็นพวงที่ท้ายทอย ปล่อยลูกผมระขมับ แต่งตัวแต่งหน้าตามคำแนะนำของศรศิลป์ทุกอย่าง ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูโดดเด่น สวยอ่อนหวาน งามละมุนดุจนางในวรรณคดี จนศรศิลป์เองเมื่อแรกเห็นก่อนจะพาเธอขึ้นรถขับออกมา ถึงกับต้องร้องว้าว...ออกมาเบา ๆ
ทั้งสองเดินผ่านเทอเรซเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งที่นั่นพ่อของชายหนุ่มนั่งอยู่พร้อมหน้ากันกับดำเกิงและนลินี เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ
ศรศิลป์คว้ามือของช่อชบาข้างหนึ่งมากุมกระชับไว้ พาเธอเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าที่องอาจมั่นคง อย่างพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกคน สายตามองตรงไปยังทั้งสามคนบนเก้าอี้หวายสีขาวในห้องรับแขก ที่พากันหันมามอง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดจั้มสูทไหล่เฉียง สีฟ้าพาสเทล หล่อนจิกตามองช่อชบาด้วยสายตาแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง
“ตายจริง ไม่นึกว่าวันนี้ศรจะพาคนอื่นมาที่บ้านด้วย”
ยังไม่ทันไรเลย นลินีก็พูดทักขึ้นก่อน ด้วยคำพูดเหมือนเหยียดช่อชบา จนศรศิลป์อดพูดโต้ตอบกลับไปไม่ได้
“ช่อชบาไม่ใช่ ‘คนอื่น’ นะครับ คุณนลินี เธอเป็นแฟนผมเอง...สวัสดีครับคุณพ่อ คุณอา”
เขาปล่อยมือจากมือช่อชบา ยกขึ้นทำความเคารพผู้ใหญ่กว่าทั้งสอง แต่เมินเฉยจากนลินี จงใจเน้นคำว่า ‘คนอื่น’ ให้หล่อนรู้สึก
“วันนี้เป็นโอกาสดี ผมจึงจะถือโอกาสนี้พาช่อชบามาทำความรู้จักกับคุณพ่อและคุณอาเสียเลยนะครับ”
ผายมือแนะนำไปทางบิดาและอาดำเกิง ช่อชบายกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง อดใจสั่นระริกจนลามมาถึงมือที่ยกขึ้นไหว้ไม่ได้ ศรศิลป์ชำเลืองมองอาการมือสั่น ๆ ของเธอ เขายกมือโอบไหล่เธอแล้วบีบกระชับเบา ๆ อย่างจะให้กำลังใจ
สัมผัสของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจขึ้น คลายจากอาการใจสั่นมือสั่นลง สังเกตเห็นว่าบิดาของศรศิลป์แม้จะมีอายุมากแล้ว และรูปร่างค่อนข้างอ้วน แต่ยังมีเค้าของความหล่อเหลาเหลืออยู่ บุคลิกดูองอาจผ่าเผยคล้ายคนเป็นลูกชาย สมกับเป็นผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ ผิดกับผู้ชายสูงวัยอีกคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างผอมกว่า ไว้เรียวหนวดเหนือริมฝีปาก สายตาของเขาตอนรับไหว้เธอ เหมือนงูร้ายจ้องฉกเหยื่อไม่มีผิด ตามประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เป็นสายตาของผู้ชายเจ้าชู้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าคุณศุภฤกษ์ไปไว้ใจคนแบบนี้ได้อย่างไร
ส่วนลูกสาวของเขาก็นั่งหน้าเชิด ทำคอแข็ง จิกตามองศรศิลป์ที่พาเธอเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ อย่างคนถือตัวว่าอยู่เหนือคนอื่น คุณศุภฤกษ์แม้รับไหว้เธอก็จริง แต่มีท่าทีที่เย็นชา แสดงความไม่ยอมรับเธออยู่กราย ๆ แม้ตอนเห็นหน้าเธอในครั้งแรก เขาเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่งคล้ายแปลกใจก็ตาม
“ลูกชายพาผู้หญิงเข้าบ้านมาแบบนี้ แล้วพี่สุขจะเอายังไงกับเรื่องของนลินี ทางผมก็บอกข่าวไปบ้างแล้วว่าจะมีการหมั้นกันกับลูกชายพี่ มีแต่คนเข้ามาแสดงความยินดีกันเป็นแถว แล้วถ้าเกิดยกเลิกการหมั้นกัน นลินีจะเสียหายนะครับพี่”
โดยไม่อ้อมค้อม ดำเกิงพูดต่อหน้าออกมาทันทีที่แม่บ้านเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเสร็จ น้ำเสียงออกแววกระด้าง แสดงท่าทางต้องการจะกดดันอีกฝ่าย และไม่ไว้หน้าหญิงสาวคนที่ศรศิลป์เพิ่งพาเข้าบ้านมา
“พี่ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะล้มเลิกการหมั้นกันนี่ แต่ขอเวลาปรึกษากับเจ้าศรมันก่อน”
ศุภฤกษ์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ พยายามพูดรอมชอมอย่างดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย หันไปมองหน้าลูกชายกับผู้หญิงที่พามาด้วย สีหน้าของเขาเคร่งเครียดลง
“แล้ววันนี้แกนึกยังไงถึงพาแม่หนูคนนี้มาด้วย ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้แกพามานะ บอกว่าให้มาคุยกับอาดำเกิงเขาก่อนไง”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก นี่ถ้าตัวเองเป็นคนรักของศรศิลป์จริง และถูกว่าใส่หน้าเอาแบบนี้ คงไม่อยู่เฉยให้โดนดูถูกเอาข้างเดียวแน่ ต้องโต้ตอบกลับไปในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้ของบ้านนี้บ้าง แต่พอดีว่าไม่ใช่ เลยวางหน้าเฉยเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะพูดได้ไม่เต็มปากอย่างที่อยากจะพูด แต่ใช่ว่าศรศิลป์จะยอมแพ้บิดา เขาโอบไหล่ช่อชบาเข้ามากอด
“จะช้าจะเร็วผมก็ต้องพาช่อชบามาไหว้คุณพ่ออยู่แล้วล่ะครับ ในฐานะคนที่ผมรัก ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
“แล้วแฟนคุณเป็นลูกเต้าเหล่าใครคะ แนะนำคุณลุงไปสิคะ”
นลินีเห็นได้ทีที่พ่อตัวเองเปิดช่องทางให้ รีบขยี้ถึงพื้นเพเดิมของผู้หญิงคนที่ตนไปสืบมาแล้วว่าโคตรเหง้าศักราชของหล่อนเป็นใคร มาจากไหน มีฐานะเป็นอย่างไร เพื่อประจานนังผู้หญิงบ้านนอกที่เสนอหน้ามาขวางทางตน
ศุภฤกษ์จึงเหลือบมองมาทางช่อชบา ถามออกไปแบบเดียวกัน
“ชื่ออะไรนะเรา เป็นคนที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไรล่ะ”
“ชื่อช่อชบาค่ะ บ้านของหนูอยู่ที่อำเภอแม่แจ่ม คุณแม่ชื่อช่อลัดดา ท่านเสียไปนานแล้ว หนูอยู่กับยายสองคนในสวนลำไยค่ะ”
ช่อชบาตั้งสติ รวบรวมสมาธิให้มั่นคง ระลึกถึงคำพูดของศรศิลป์ที่พูดกับตนก่อนจะพากันเข้ามา แล้วจึงบอกไปตามความเป็นจริง
แต่ทันทีที่ได้ยิน ศุภฤกษ์กลับมีอาการนิ่งอึ้งไป สีหน้าเผือดลงเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง
(มีต่อ)