ตอนเดิม
ตอนที่ 18
ช่อชบาตะลึงมองเขาตาค้าง อุทานเรียกชื่อชายหนุ่มในภพอดีตออกมาอย่างตกใจ
ผู้ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ ต้องเป็นคุณศรศิลป์ เจ้าของบริษัทที่เธอยังไม่เคยเห็นหน้าแน่นอน แต่คุณพระช่วย...ทำไมใบหน้าของเขาจึงละม้ายคล้ายกันกับน้อยศิลป์ไชยเสียเหลือเกิน ช่อชบาตกตะลึงพรึงเพริด จ้องมองเขาชนิดตาไม่กะพริบ จนเมื่อเขาก้าวยาว ๆ เข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนั่นแหละ เธอจึงรู้สึกตัว รีบยิ้มหวานต้อนรับ
“สวัสดีค่ะบอสใหญ่ ดิฉันเป็น...”
“สวัสดีคุณเลขาฯ เดี๋ยวเข้ามาหาผมในห้องทำงานหน่อยนะ”
หญิงสาวยิ้มค้าง เพราะพูดทักทายยังไม่ทันจบ เสียงทุ้มหนักส่อแววดุก็ดังสอดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้รีบหุบยิ้มแทบไม่ทัน กลืนถ้อยคำที่กำลังจะพูดทั้งหมดลงลำคอไป ถึงหน้าตาจะละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่คำพูดคำจา ตลอดจนกิริยาท่าทาง กลับไม่ยักเหมือนน้อยศิลป์ไชยเลยแม้แต่น้อย สุ้มเสียงที่พูดฟังห้วนกระด้าง ท่าทางก็ดูหยิ่ง ๆ นี่หรือผู้ชายใจดีของพี่เนตร!
ลุกขึ้นยืนค้อมตัวลง พร้อมกับพูดรับคำสั่ง
“ได้ค่ะบอสใหญ่” เจ้าของเสียงดุชำเลืองดูหน้าม้าสั้นเต่อของหญิงสาวแวบหนึ่ง พอเห็นแววขบขันในดวงตาคู่นั้น ความไม่พอใจของช่อชบาก็พุ่งปรี๊ดขึ้น
อีตาบ้า...คนอะไรไม่มีมารยาท!
ช่อชบาตามเข้าไปในห้องทำงานตามคำสั่งของคนที่เธอเรียกว่า ‘บอสใหญ่’ เห็นเขากำลังยืนเอามือไพล่หลังมองด้วยสายตาสำรวจไปรอบห้อง คิ้วหนาเป็นเส้นตรงขมวดยุ่ง ทำท่าเหมือนไม่ค่อยถูกใจในสภาพของห้อง เขายืนนิ่ง มองห้องทำงานที่ด้านหนึ่งเป็นผนังกระจกใส สามารถเปิดม่านสีชมพูอ่อนออกไปดูทัศนียภาพข้างนอกอาคารได้
“ทำไมไม่เลือกผ้าม่านสีเขียวนะ จะได้ดูเย็นสบายตามากกว่านี้อีกหน่อย”
เฮ้ย! เพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ไม่กี่นาที ก็ติสีผ้าม่านเสียแล้ว แสดงให้เห็นถึงนิสัยละเอียดหยุมหยิม ก็ตัวเองไปอยู่ไหนมา เห็นว่าวัน ๆ ไม่ยอมทำงาน มัวแต่เที่ยวตะลอนถ่ายรูปเล่น ทิ้งให้พี่เนตรจัดการทุกอย่างอยู่คนเดียว รวมทั้งตกแต่งภายในบริษัทให้ด้วย
“คอมพิวเตอร์ตกรุ่นแบบนี้ ยังเอามาใช้ในบริษัทอยู่อีก”
นั่น...ลามมาหาคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก็แล้วทำไมพ่อเจ้าประคุณไม่หามาจากบ้านเองเลยล่ะ จะได้ถูกใจ
“เอิ่ม ไม่ทราบค่ะ คงต้องถามผู้จัดการมั้งคะ เลขาฯไม่เกี่ยว”
นึกเขม่นเจ้าของบริษัทขึ้นมาตงิด ๆ อดชักสีหน้าเข้าใส่เขาไม่ได้ ความดีใจเมื่อเห็นหน้าเขาในตอนแรกที่เข้ามาใหม่ ๆ อันตรธานหายไปสิ้น พร้อมกับกิริยาท่าทางขี้เก๊กของเขานี่ละ พอเขาหันขวับมามอง เธอก็รีบเหลือบตามองไปทางอื่น ทำยืนไม่รู้ไม่ชี้
ศรศิลป์นั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีดำ ลองหมุนไปมา ทำท่าเหมือนไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่เบือนหน้ากลับมามองเขาใหม่ตาแป๋ว ก่อนออกคำสั่งด้วยเสียงห้วนอย่างวางอำนาจตามเดิม
“นั่นสินะ มันไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ มันเป็นเรื่องรสนิยมของผมเอง...ผมก็ลืมนึกไป เอาละ คุณกลับออกไปทำงานได้แล้ว ผมก็จะเริ่มทำงานของผมเสียที”
...ดีย่ะ หัดทำงานทำการมั่งสิ เห็นว่าพ่อแม่มีเงินถุงเงินถัง เลยถลุงเล่นเหมือนเศษกระดาษรึไง นี่แหละลูกคนรวยที่โดนเลี้ยงมาแบบตามใจ เอะอะอะไรก็ใช้เงินฟาดหัวคน แล้วยังมาดูถูกกันว่าไม่มีรสนิยมเสียอีก หนอย...ยังกะอยากอยู่คุยด้วยงั้นแหละ...ชิ ไอ้ผู้ชายขี้เก๊ก หล่อเสียเปล่า มารยาทแย่มาก...
นึกค่อนขอดเขาในใจ นายคนนี้ไม่มีทางเป็นน้อยศิลป์ไชยมาเกิดใหม่อย่างเด็ดขาด ปรายหางตามอง ก่อนรับคำว่า ‘ค่ะ’ สั้น ๆ รีบหมุนตัวกลับออกไปจากห้องทำงานของเขาโดยเร็ว
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 18
ช่อชบาตะลึงมองเขาตาค้าง อุทานเรียกชื่อชายหนุ่มในภพอดีตออกมาอย่างตกใจ
ผู้ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ ต้องเป็นคุณศรศิลป์ เจ้าของบริษัทที่เธอยังไม่เคยเห็นหน้าแน่นอน แต่คุณพระช่วย...ทำไมใบหน้าของเขาจึงละม้ายคล้ายกันกับน้อยศิลป์ไชยเสียเหลือเกิน ช่อชบาตกตะลึงพรึงเพริด จ้องมองเขาชนิดตาไม่กะพริบ จนเมื่อเขาก้าวยาว ๆ เข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนั่นแหละ เธอจึงรู้สึกตัว รีบยิ้มหวานต้อนรับ
“สวัสดีค่ะบอสใหญ่ ดิฉันเป็น...”
“สวัสดีคุณเลขาฯ เดี๋ยวเข้ามาหาผมในห้องทำงานหน่อยนะ”
หญิงสาวยิ้มค้าง เพราะพูดทักทายยังไม่ทันจบ เสียงทุ้มหนักส่อแววดุก็ดังสอดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้รีบหุบยิ้มแทบไม่ทัน กลืนถ้อยคำที่กำลังจะพูดทั้งหมดลงลำคอไป ถึงหน้าตาจะละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่คำพูดคำจา ตลอดจนกิริยาท่าทาง กลับไม่ยักเหมือนน้อยศิลป์ไชยเลยแม้แต่น้อย สุ้มเสียงที่พูดฟังห้วนกระด้าง ท่าทางก็ดูหยิ่ง ๆ นี่หรือผู้ชายใจดีของพี่เนตร!
ลุกขึ้นยืนค้อมตัวลง พร้อมกับพูดรับคำสั่ง
“ได้ค่ะบอสใหญ่” เจ้าของเสียงดุชำเลืองดูหน้าม้าสั้นเต่อของหญิงสาวแวบหนึ่ง พอเห็นแววขบขันในดวงตาคู่นั้น ความไม่พอใจของช่อชบาก็พุ่งปรี๊ดขึ้น
อีตาบ้า...คนอะไรไม่มีมารยาท!
ช่อชบาตามเข้าไปในห้องทำงานตามคำสั่งของคนที่เธอเรียกว่า ‘บอสใหญ่’ เห็นเขากำลังยืนเอามือไพล่หลังมองด้วยสายตาสำรวจไปรอบห้อง คิ้วหนาเป็นเส้นตรงขมวดยุ่ง ทำท่าเหมือนไม่ค่อยถูกใจในสภาพของห้อง เขายืนนิ่ง มองห้องทำงานที่ด้านหนึ่งเป็นผนังกระจกใส สามารถเปิดม่านสีชมพูอ่อนออกไปดูทัศนียภาพข้างนอกอาคารได้
“ทำไมไม่เลือกผ้าม่านสีเขียวนะ จะได้ดูเย็นสบายตามากกว่านี้อีกหน่อย”
เฮ้ย! เพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ไม่กี่นาที ก็ติสีผ้าม่านเสียแล้ว แสดงให้เห็นถึงนิสัยละเอียดหยุมหยิม ก็ตัวเองไปอยู่ไหนมา เห็นว่าวัน ๆ ไม่ยอมทำงาน มัวแต่เที่ยวตะลอนถ่ายรูปเล่น ทิ้งให้พี่เนตรจัดการทุกอย่างอยู่คนเดียว รวมทั้งตกแต่งภายในบริษัทให้ด้วย
“คอมพิวเตอร์ตกรุ่นแบบนี้ ยังเอามาใช้ในบริษัทอยู่อีก”
นั่น...ลามมาหาคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก็แล้วทำไมพ่อเจ้าประคุณไม่หามาจากบ้านเองเลยล่ะ จะได้ถูกใจ
“เอิ่ม ไม่ทราบค่ะ คงต้องถามผู้จัดการมั้งคะ เลขาฯไม่เกี่ยว”
นึกเขม่นเจ้าของบริษัทขึ้นมาตงิด ๆ อดชักสีหน้าเข้าใส่เขาไม่ได้ ความดีใจเมื่อเห็นหน้าเขาในตอนแรกที่เข้ามาใหม่ ๆ อันตรธานหายไปสิ้น พร้อมกับกิริยาท่าทางขี้เก๊กของเขานี่ละ พอเขาหันขวับมามอง เธอก็รีบเหลือบตามองไปทางอื่น ทำยืนไม่รู้ไม่ชี้
ศรศิลป์นั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีดำ ลองหมุนไปมา ทำท่าเหมือนไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่เบือนหน้ากลับมามองเขาใหม่ตาแป๋ว ก่อนออกคำสั่งด้วยเสียงห้วนอย่างวางอำนาจตามเดิม
“นั่นสินะ มันไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ มันเป็นเรื่องรสนิยมของผมเอง...ผมก็ลืมนึกไป เอาละ คุณกลับออกไปทำงานได้แล้ว ผมก็จะเริ่มทำงานของผมเสียที”
...ดีย่ะ หัดทำงานทำการมั่งสิ เห็นว่าพ่อแม่มีเงินถุงเงินถัง เลยถลุงเล่นเหมือนเศษกระดาษรึไง นี่แหละลูกคนรวยที่โดนเลี้ยงมาแบบตามใจ เอะอะอะไรก็ใช้เงินฟาดหัวคน แล้วยังมาดูถูกกันว่าไม่มีรสนิยมเสียอีก หนอย...ยังกะอยากอยู่คุยด้วยงั้นแหละ...ชิ ไอ้ผู้ชายขี้เก๊ก หล่อเสียเปล่า มารยาทแย่มาก...
นึกค่อนขอดเขาในใจ นายคนนี้ไม่มีทางเป็นน้อยศิลป์ไชยมาเกิดใหม่อย่างเด็ดขาด ปรายหางตามอง ก่อนรับคำว่า ‘ค่ะ’ สั้น ๆ รีบหมุนตัวกลับออกไปจากห้องทำงานของเขาโดยเร็ว
(มีต่อ)