ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 39

ตอนเดิม



ตอนที่ 39

ศุภฤกษ์ลืมตาตื่นในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เขานอนระลึกถึงความฝันเมื่อคืนนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจว่าทำไมเรื่องราวมันถึงได้กระจ่างชัดคล้ายกับเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่นอนหลับฝันไป  

เขานอนกะพริบตาถี่อยู่ในที่นอน นึกถึงผู้หญิงนุ่งห่มขาวคนนั้นที่มีลักษณะเหมือนเป็นแม่ชี เคี้ยวหมากปากแดงราวกับเป็นผู้คนในสมัยก่อน ทั้งที่หล่อนดูอายุก็ยังน้อย หน้าตาสะสวยใช้ได้เลยทีเดียว แม้จะเคี้ยวหมากจนน้ำหมากเปรอะปากแดงเถือก เวลาพูดเห็นฟันดำเมี่ยมจนขึ้นเงา หล่อนเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งมาเปิดให้เขาดูคลิปวิดีโอข้างใน ขณะเขายืนอยู่สถานในที่หนึ่งซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นสถานที่ใด เขาไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร แต่ขนาดแค่คิดในใจก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงความคิดของเขาดี จึงบอกกับเขาว่า

“ข้าชื่อสีมอย ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ดอกว่าข้าเป็นใคร มันไม่สำคัญอะไรกับท่าน แต่ข้ามีความสำคัญต่อเรื่องของศรศิลป์ลูกชายท่าน ดูนี่ดีกว่า”

วิดีโอที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดให้ดู ในความฝันเขาจำได้ว่าพอเห็นเหตุการณ์ในวิดีโอ เขารู้สึกตกใจมาก เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ช่างคล้ายคลึงต่อเนื่องจากวิดีโอในอีกคลิปหนึ่ง ที่ลูกชายเพิ่งส่งมาให้ดูทางอีเมล ก่อนเขาจะเข้านอน

ตอนที่เปิดดูวิดีโอในอีเมล ตอนนั้นศุภฤกษ์ทั้งตกใจและเสียใจ ยอมรับไม่ได้ แล้วคงเก็บเอามาฝัน เขาคิดว่าอย่างนั้น

ซึ่งเมื่อคิดแบบนั้นจึงลุกจากเตียงมาเปิดวิดีโอในอีเมลดูซ้ำอีก ดูจบก็ถอนหายใจยาว มีท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ คล้ายคนที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลมาเป็นเวลาแรมปี ทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เห็นในวิดีโอจะเป็นความจริง ผู้หญิงที่ชื่อสีมอยในความฝันยังบอกกับเขาอีกว่า หล่อนเป็นคนถ่ายวิดีโอมาเองทั้งสองคลิป

มันคือความฝันหรือความจริงกันแน่...เขานั่งจมอยู่ที่เก้าอี้ ตกอยู่ในอาการครุ่นคิดอย่างหนัก

“หากไม่เชื่อ ก็จงถามช่อชบาเอาเถิด นางเป็นคนอยู่ด้วยกับข้าตอนถ่ายวิดีโอ โทรศัพท์นี้ก็เป็นของนาง”

“คุณนี่เองที่เจ้าศรมันบอกว่าไปค้นพบวิดีโอนี้กับช่อชบา คุณไปถ่ายมาได้ยังไง”

“ข้าเป็นผี ข้าจึงสามารถพานางช่อเข้าไปถ่ายวิดีโอถึงในห้องของนลินีได้”

ผู้หญิงชุดขาวบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย เหมือนไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอันใดเลย แต่มันทำเอาศุภฤกษ์ถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัว ถอยหลังหนีทันที
“คุณเป็นผี!”

ผีสาวไม่ยอมให้เขาถอยห่าง เธอลอยเข้ามาประชิดตัว จับข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้มั่น ไม่ยอมให้ถอยหนีไปไหนได้อีก ศุภฤกษ์หมดทางหนี จำยืนเบิ่งตากว้างจ้องมองใบหน้าผีสาวในระยะประชิด ฟังสิ่งที่เธอพูดด้วยใจอันเต้นระทึก

“อย่ากลัวข้าเลย ข้าเป็นผีโบราณ ไม่ทำอันตรายแก่ใครดอก อีกไม่นานข้าก็จะได้ไปผุดไปเกิด ก่อนไปข้าเพียงต้องการมาช่วยท่านกับลูกชายให้รอดพ้นจากอันตรายเสียก่อน เพราะเรามีวาสนาต่อกัน ผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน”

 “เคยผูกพันกันงั้นเหรอ ผูกพันกันแบบไหน” นอกจากตกใจกลัวแทบตายแล้ว เขาเริ่มเกิดความสงสัยในคำพูดของผีสาว กลั้นใจถามเสียงสั่นออกไป ผีสาวถอนหายใจ มองหน้าคู่สนทนาก่อนจะอธิบายว่า

“มันเป็นเรื่องบุพเพสันนิวาส จะเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตก็ได้ ข้าเคยเป็นคนรักเก่าของลูกชายท่าน จึงมาช่วยเหลือพวกท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของนลินีกับพ่อหล่อน ขอเล่าแค่นี้นะ รายละเอียดท่านจงไปถามเอาจากลูกชายท่าน หรือถามช่อชบาเองก็แล้วกัน ข้าลาละ”

และโดยไม่ทันตั้งตัว จู่ ๆ วิญญาณสาวก็ปล่อยข้อมือเขา ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา พลันเขาก็ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วมานั่งพิจารณาเรื่องราวอยู่ในเวลานี้

ถึงจะเห็นคลิปวิดีโอเต็มสองตา ทว่าศุภฤกษ์ยังไม่ยอมรับเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีเดียว เขายกสองมือขึ้นกุมขมับ...เป็นไปได้หรือที่เพื่อนตายอย่างดำเกิง ผู้ร่วมก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมาจะคิดหักหลังเขา ไม่มีเหตุผลที่ดำเกิงจะลงมือทำ เพราะตลอดมาเขามั่นใจมากว่าไม่ได้เอาเปรียบเพื่อนคนนี้เลยแม้สักครั้งเดียว ตั้งแต่ยังเป็นแค่กรรมกรรับจ้าง หากินไปวัน ๆ ด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสผันตัวเองมาทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ศุภฤกษ์ไม่เคยทอดทิ้งเพื่อนร่วมทางคนนี้ ช่วยให้มีร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ก่อนจะชวนกันหันมาทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ทำโครงการหมู่บ้านจัดสรร ได้บ้างขาดทุนบ้าง ล้มลุกคลุกคลานด้วยกันมาโดยตลอด แต่ก็ฝ่าฟันกันไป ไม่เคยทอดทิ้งไปไหน จวบจนบริษัทแรกได้เข้าสู่ตลาดหุ้นนั่นแหละ ธุรกิจของคนทั้งคู่จึงค่อย ๆ รุ่งโรจน์เฟื่องฟู ถึงเวลาได้ลืมตาอ้าปากกับใครเขา มีเงินมีทองเป็นกอบเป็นกำ

นอกจากมีหุ้นอยู่ในบริษัทของเขามาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแล้ว ดำเกิงยังมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และยังได้สิทธิ์บริหารบริษัทในเครือของศุภฤกษ์ จนมีฐานะร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี ต่างกันตรงที่ศุภฤกษ์แม้มั่งมีเงินทองจนไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจทำงานทางการเมืองมาก่อน เพราะเห็นว่าเปลืองตัว กลับกันกับดำเกิงที่อยากจะใช้ช่องทางทางการเมือง หาผลประโยชน์ใส่ตัวให้กับธุรกิจของตนเอง  

นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาต้องประหลาดใจเป็นอันมาก เมื่อโทรศัพท์สายเรียกเข้าสายนั้นเป็นสายจากนลินี

“ขอโทษที่โทร.มากวนคุณลุงแต่เช้านะคะ” เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวทักทายเขามาตามสาย 

“ไม่เป็นไรหรอกหนู มีอะไรหรือเปล่า ถึงโทร.มาหาลุงแต่เช้า”

“อ๋อ...ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรหรอกค่ะ พอดีว่าเพื่อนนีเขากลับมาจากเที่ยวเมืองจีน เอาโสมดีมาให้หลายขวด นีนึกถึงคุณพ่อกับคุณลุง เลยจะเอาน้ำโสมสกัดมาให้คุณลุงได้ลองกินดูน่ะค่ะ เห็นเขาบอกว่ามันดีต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ”

น้ำโสมสกัด! ศุภฤกษ์ถึงกับอึ้งไปทันที เขาพูดไม่ออก ภาพในความฝันที่ยังแจ่มกระจ่างชัดในความทรงจำ ย้ำให้จำได้อยู่ในสมองอย่างแปลกประหลาด...ขวดเครื่องดื่มในมือของนลินีที่เขาเห็นถืออยู่ในความฝัน อีกทั้งบทสนทนาระหว่างคนในวิดีโอ ทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากในขณะนี้กำลังมีเรื่องอันเหลือเชื่อบางอย่าง บังเกิดขึ้นกับตนเอง

...ข้าเป็นผี...

ยังจำได้ดีถึงประโยคของหญิงสาวในชุดขาว ที่บอกกับเขาในความฝันเมื่อคืนนี้ ด้วยท่าทีอันสงบเยือกเย็น ซึ่งแม้ตอนนั้นเขาเองจะตกใจ แต่ยังสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ให้แตกตื่นหวาดกลัวจนเกินเหตุ

“เดี๋ยวนีจะแวะเอาน้ำโสมไปให้ที่บ้านนะคะ วันนี้คุณลุงว่างใช่ไหมคะ หรือว่าจะออกไปธุระที่ไหนก่อน” 

แว่วน้ำเสียงอ่อนหวานฉอเลาะดังมาอีก เรียกศุภฤกษ์ให้ออกสู่ภวังค์ครุ่นคิด ถ้าเป็นก่อนหน้าจะเห็นคลิป เขาคงรู้สึกว่ามันไพเราะน่าฟังดี แต่ตอนนี้คนฟังกลับขมวดคิ้วมุ่น เม้มริมฝีปากคิด คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ต้องพิสูจน์ เขาจึงตัดสินใจกรอกเสียงตอบกลับไปว่าตกลง

กำชับให้หญิงสาวมาพบตอนบ่าย อ้างว่ามีธุระจะต้องทำก่อน พอวางสายจากนลินี เขาก็กดโทรศัพท์ไปหาลูกชาย เร่งให้พาช่อชบากับยายบัวถาเข้ามาหาเขาที่บ้านโดยเร็วที่สุด

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่