.
บทที่ ๕๐ ปมภายในสำนัก
ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๑๑ ยามบ่ายคล้อย
ม้าสีน้ำตาลควบช้าๆ ไปตามถนนเลียบคูแม่โจน ผู้ควบขี่เป็นสตรีนางหนึ่ง
ในเมืองสุโขทัยนี้หากพบเห็นหญิงสาวควบขี่อาชาคงไม่เป็นที่แปลกประหลาด ด้วยสตรีชาวสุโขทัยมักฝึกขี่ม้าและหัดเพลงอาวุธ แต่ที่แปลกตาชวนมองคืออิริยาบถงามสง่าผึ่งผายของนาง แม้ร่างจะขยับขึ้นลงและบางครั้งต้องโน้มกายถ่วงน้ำหนักตามจังหวะบังคับม้า แต่มิดูนุ่มนิ่มซวนเซอ่อนแรง กลับเหยียดร่างตรงแสดงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ผสานความงามชวนลุ่มหลงของเรือนร่างอิสตรี
ผมรวบเก็บรัดเป็นมุ่นอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้างามล้ำหมดจด คิ้วยาวโค้งเกือบจรดหางตา ผิวขาวผ่องยามต้องแสงตะวันคล้อยบ่ายสะท้อนประกายนวลเจิดจรัส
ตลอดเส้นทางแม้จะมีผู้คนสัญจรไม่มาก แต่ทุกคนอดมองตามเงาร่างงามสง่าบนหลังอาชานั้นมิได้ โดยหารู้ไม่ว่า นี่คือองค์หญิงผู้ทรงพระสิริโฉมของสองแคว้นนคร สุโขทัยและน่าน... องค์หญิงกัณฐิมาศ
เมื่อวานหลังจากทรงไล่เลียงเหตุการณ์กับครูพิธาน พระองค์หญิงได้เสด็จไปรับสั่งกับจุกและบุญจันตามลำพังทีละคน แม้มิได้ความเพิ่มเติมมากนัก แต่เก็บส่วนรายละเอียดของเหตุการณ์ได้ชัดเจนขึ้น...
เช้าวันที่ทองสูญหายจุกเดินขึ้นเรือนใหญ่ไปยังห้องพระพร้อมถาดธูปเทียนของบุญจันที่ฝากขึ้นไปถวายบูชา หลังจากนั้นจึงเริ่มกวาดถู ใช้ไม้กวาด ผ้าและถังน้ำที่วางอยู่นอกชานข้างโอ่งน้ำ ขณะทำความสะอาดก็มีสมาชิกบนเรือนอยู่กันตามปกติ พอทำความสะอาดเสร็จก็ยกสำรับข้าวพระพุทธเข้าไปในห้องพระ แล้วให้ปู่หลวงเป็นคนถวาย จุกก็ลงจากเรือนมา...
ตอนจะลาข้าวพระพุทธ จุกก็ไปยืนคอยท่าตรงเชิงบันไดแล้วขึ้นเรือนไปพร้อมกับปู่หลวงและครูพิธาน ก่อนที่บุญจันจะเดินตามมาขออนุญาตกลับไปนอนค้างที่บ้านและจะกลับมาเวลาเที่ยงของวันถัดไป จุกจึงวิ่งไปที่ห้องพระเอาถาดธูปเทียนของบุญจันมาคืนให้ต่อหน้าปู่หลวงและครูพิธานตรงชานพักบันได
แต่จุกมิทันได้สังเกตห่อผ้าแพร เพราะรีบวิ่งเข้าไปเพียงแค่อึดใจแล้วก็หยิบฉวยถาดธูปเทียนที่วางอยู่ออกมา... พอเดินตามปู่หลวงไปลาข้าวพระพุทธในห้องพระ ตอนนั้นเองที่ปู่หลวงเห็นผ้าแพรหุ้มห่อทองหลุดลุ่ยผิดปกติ ครั้นเปิดดูจึงค่อยรู้ว่าทองสูญหายไป
ส่วนบุญจันเล่าว่า...ตอนที่จุกทำความสะอาดห้องพระได้ขึ้นมาตรงชานพักบันได บอกพิไลว่าขอคุยกับครูพิธาน พอครูพิธานเดินมา จึงขออนุญาตไปนอนค้างที่บ้านและขอกลับสำนักตอนเช้า ครูพิธานยังหันไปชำเรืองมองปู่หลวงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ตรงชานเรือนหอกลางหน้าห้องนอนของท่านซึ่งเป็นที่นั่งประจำ พอไม่เห็นปู่หลวงว่ากระไร ครูพิธานจึงอนุญาตแล้วตนก็ลงไป...
หลังจากทานข้าวที่โรงครัวก็ตามแสงพรายไปช่วยงานปั้นหล่อองค์พระ ตนเป็นคนเห็นรอยแยกเล็กๆ บนดินที่พอกไว้ แสงพรายจะซ่อมโดยใช้เข็มบิดหล่า (เครื่องมือเจาะ คล้ายดอกสว่านในปัจจุบัน) เจาะเอาเนื้อดินส่วนที่ร่วนออกมาแต่ตนอยากให้ปู่หลวงมาดูก่อน เพราะถ้าเกิดผิดพลาดต้องพอกดินใหม่ทั้งหมด และรับอาสาวิ่งมาตามปู่หลวงกับครูพิธาน ซึ่งปู่หลวงก็ให้ซ่อมแซมในลักษณะที่แสงพรายคิดไว้ก่อนหน้า
แสงพรายจึงขึ้นไปบนเรือนยังหอช่าง นำเข็มบิดหล่าลงมาและซ่อมแซมอยู่นานจนเสร็จ จากนั้นบุญจันเป็นคนขอให้ปู่หลวงอยู่ต่ออีกชั่วครู่ดูงานผนึกสีผึ้งและพอกดินตรงขอบฐานพระ...พอเสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป แสงพรายขอกลับวัดศรีชุม ส่วนตนกลัวๆ กล้าๆ เดินตามไปขอกับปู่หลวงและครูพิธานตรงชานพักบันไดว่าจะขอเปลี่ยนเวลากลับสำนักจากเช้าเป็นเที่ยง ซึ่งก็ได้รับอนุญาตและจุกก็วิ่งไปเอาถาดใส่ธูปเทียนมาให้ตนขณะที่ยังยืนคุยกับครูทั้งสองตรงชานพักบันได...
พอลงจากเรือนไปไม่นาน จึงค่อยรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ ตนจึงไม่ได้กลับบ้านแต่อยู่ช่วยค้นหาทองที่หาย ต่อมาครูพิธานเรียกให้ขี่ม้าติดตามไปพร้อมนายหมานเพื่อหาแสงพรายที่วัดศรีชุม ส่วนที่สำนักครูพิธานมอบหมายให้คำแปงเป็นคนควบคุมการค้นหาทองต่อไป
...เรื่องทั้งหมดที่ทั้งสองเล่า ดูสมเหตุสมผลไปหมด แต่ที่ค้างคาในพระทัยคือสิ่งซึ่งคล้ายเศษผงสีทองที่ติดอยู่บนเทียนไขหลายเล่ม และกระดาษวางรองธูปเทียนที่ปรากฎรอยเส้นสีทองตามแนววางแท่งเทียนอยู่หลายรอย
ตอนขอให้บุญจันยกถาดใส่ธูปเทียนออกจากเรือนพักมาให้ดู ทรงพิจารณาอย่างละเอียด มีธูปก้านใหญ่ขนาดครึ่งนิ้ว ๓ ก้าน เทียนไขขนาดหนึ่งนิ้วครึ่งจำนวน ๑๒ เล่ม ทุกเล่มเสียบยึดติดอยู่กับเชิงเทียนโลหะเล็กๆ สูงแค่สองนิ้ว สามารถจับมาวางตั้งได้ทันที เมื่อหยิบขึ้นมาดูจึงมีน้ำหนักกว่าเทียนไขทั่วไป ทั้งหมดวางอยู่ในถาดมีกระดาษแข็งรองอยู่ ๒ แผ่น ขนาดกว้างราวฝ่ามือและยาวหนึ่งคืบ (๑๒ นิ้วไทย) ทั้งสองแผ่นมีรอยพับริมขอบด้านข้าง
พระองค์ทรงขอยืมม้าจากสำนักบ้านเงินบ้านทอง จึงทำให้พิไลเข้าใจถึงลักษณะฉลองพระองค์ในวันนี้ที่เป็นชุดโจงกระเบนยาวคร่อมพระชานุ (เข่า) และเสื้อทรงชุดรัดกุม
“เจ้าเข้าไปในห้อง มีสิ่งใดจะมอบให้แสงพรายหรือ” นั่นคือสิ่งที่พระองค์รับสั่งถามพิไล เมื่ออยู่กันตามลำพัง
พระนางยังจำได้ถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนเขินอายของหญิงสาวก่อนจะกราบทูลตอบ
“เกล้ากระหม่อมฉันเย็บเสื้อให้เขาหนึ่งตัว...จากแพรพระราชทานที่เขาได้รับ...จึงอยากมอบให้เพคะ”
“แล้วได้มอบให้เขาไปหรือไม่”
“มิได้ เพคะ” หญิงสาวก้มหน้า
นางให้เหตุผลต่อมาว่า เกิดเปลี่ยนใจ...จะมอบให้ในวันอื่น
“ทำไมตอนนั้น จึงมีความคิดอยากมอบให้”
พิไลกราบทูลด้วยอาการอึกอัก.. เพราะจุกขึ้นมากระซิบว่าแสงพรายกำลังจะขึ้นมาบนเรือน ควรจะรีบมอบเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วสัก ๑ ตัวให้ไปก่อน แล้วจุกก็ลงจากเรือนไปตอนที่แสงพรายเดินขึ้นมาบนเรือนเพื่อจะไปหอช่าง
“แล้วจุกย้อนกลับขึ้นมาบนเรือนอีกไหม”
“มิได้เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันยืนอยู่ตรงโถงชานกว้างอยู่อีกสักพัก กว่าจะเข้าไปหยิบเสื้อของแสงพรายในห้อง และได้เห็นจุกเดินจากเรือนไปไกลแล้วเพคะ”
“เจ้าออกมาเห็นแสงพรายยืนลับๆล่อๆ อยู่หน้าห้องพระ...แล้วเจ้าได้เดินไปตรวจดูห้องพระหรือไม่”
คำตอบของนางคือไม่ และเหตุผลคือปกตินางมิเคยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับห้องพระเลย
แต่เมื่อทรงซักไซ้รายละเอียดต่อไปจึงได้ภาพของหญิงสาวในมือถือเสื้อที่นางตัดเย็บให้ชายหนุ่มที่นางลุ่มหลง นางเขินอายและกลัวที่จะมอบเสื้อตัวนั้นออกไป...เพราะมันบ่งแทนความในใจของนาง จนเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านหน้านางลงจากเรือนไป จึงได้แต่ยืนนิ่งจมอยู่ในภวังค์
...และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขัดข้องอยู่ในพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศ
“อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงรับสั่งขึ้นเมื่อแสงพรายเดินโซเซออกจากประตูกุฏิแล้วคลานมานั่งคุกเข่าหมอบเฝ้าอยู่กับชานระเบียงของกุฏิ
ร่างของชายหนุ่มถูกพันห่อด้วยผ้าขาวหม่นตามศีรษะและร่างกาย ลักษณะคล้ายพอกยาสมุนไพรอยู่ภายใน มีกลิ่นยาโชยออกมา
“พระมหาเถรตานไฟบอกว่าเป็นแผลแตกและช้ำบวมตามเนื้อตัว ส่วนกระดูกที่ถูกกระทบมิได้แตกหัก พระเจ้าค่ะ”
“เมื่อสักครู่อุ่นเมืองบอกเราว่าท่านเจ็บหนัก กระดูกซี่โครงร้าวและอวัยวะภายในสะเทือน ตามหลังและศีรษะด้านหลังมีบาดแผลแตกอยู่หลายแห่ง”
อาการบาดเจ็บที่เจ้าตัวกราบทูล กับสิ่งที่พระองค์หญิงทรงรับรู้มา... มิใคร่ตรงกันเสียทีเดียว
“พระเจ้าค่ะ” นายอุ่นเมืองที่หมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ รีบยืนยันต่อหน้าคนเจ็บ แล้วกราบทูลให้คลายกังวลพระทัยว่า
“หลวงลุงยังบอกให้พยายามนอนพักอย่าได้เคลื่อนไหวใช้แรงสักวันสองวัน พอกยาและกินสมุนไพรก็จะดีขึ้น พระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์ที่เคร่งเครียดกังวลของพระองค์หญิงค่อยดูมีแววสดชื่นขึ้น จากนั้นทรงย่อพระวรองค์ลงประทับบนชานระเบียงใกล้ๆ ชายหนุ่ม ทรงหันพระพักตร์ไปทางนายอุ่นเมืองที่นั่งคุกเข่ากับลานพื้นหญ้าหน้าระเบียง
“นายอุ่นเมืองเป็นหลานของพระมหาเถรตานไฟ บิดาของเขาเป็นน้องชายของพระมหาเถระและเป็นอดีตขุนนางรับใช้ในองค์พระยางั่วนำถม หลังผลัดแผ่นดินพระมหาธรรมราชาพระยาลิไทเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ท่านจึงได้ลาออกจากราชการ...” แล้วทรงหันมากำชับกับแสงพราย “ถ้าท่านมีเรื่องสำคัญใดก็ไหว้วานอุ่นเมืองเอาเถิด แต่อย่าได้ไว้ใจผู้ใดในสำนักบ้านเงินบ้านทองเด็ดขาด ยกเว้นปู่ครูเพียงผู้เดียว จนกว่าเราจะสืบรู้ความจริงเรื่องทองที่สูญหายไป”
ที่แท้อุ่นเมืองมิใช่ชาวบ้านธรรมดา และที่เรียกพระมหาเถรตานไฟว่าหลวงลุงก็หาใช่เพราะลำดับอาวุโสของอายุ แต่เพราะลำดับทางสายเลือด
“พระเจ้าค่ะ”
“เราขอสอบถามท่านบางเรื่อง... ในวันที่ทองสูญหาย ท่านขึ้นไปบนเรือน หยิบเครื่องมือที่หอช่าง ต่อมาพิไลเห็นท่านไปชะเง้ออยู่หน้าหอพระ ท่านทำเยี่ยงนั้นทำไม”
“ก่อนขึ้นไปบนเรือน บุญจันขอให้เกล้ากระหม่อมช่วยดูในห้องพระว่าจุกเอาธูปเทียนมาวางครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่”
ทรงนิ่งอึ้งไปกับคำกราบทูลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรับสั่งถามต่อ
“บุญจันขอให้ท่านทำเรื่องนี้เมื่อใดหรือ”
“ในโรงช่าง ตอนที่เกล้ากระหม่อมกำลังออกมาบุญจันก็รีบเดินตามมาบอกเรื่องนี้”
“แล้วครูพิธานได้ยินได้รับรู้หรือไม่”
“เกล้ากระหม่อมไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นเริ่มเดินห่างออกมาจากแบบปั้นองค์พระหลายก้าวแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้ยินหรือได้ยินแต่มิสนใจฟังก็เป็นได้ พระเจ้าค่ะ”
“ตอนท่านมองเข้าไปในห้องพระ ได้เห็นห่อทองคำพระราชทานอยู่ในลักษณะปกติ หรือมีร่องรอยหลุดลุ่ยแล้ว”
“เกล้ากระหม่อมสนใจแต่ถาดธูปเทียน...แต่เชื่อมั่นว่าถ้าผ้าแพรห่อทองคำมีร่องรอยหลุดลุ่ยดังที่รับสั่ง เกล้ากระหม่อมย่อมต้องสังเกตเห็นเป็นแน่ พระเจ้าค่ะ”
“แล้วเทียนครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่”
“ครบทั้ง ๑๒ เล่มพระเจ้าค่ะ”
“แสดงว่าท่านอาจสนใจอยู่กับการนับเทียน...อาจมิได้สังเกตเห็นว่าผ้าแพรหุ้มห่อทองคำอยู่ในสภาพไหน...”
แสงพราย มิกราบทูลกระไร มีแต่ประกายตาที่บ่งบอกถึงความมั่นใจ...
“ถ้าเช่นนั้น... ท่านได้สังเกตหรือไม่ ว่าพิไลถือสิ่งใดในมือ ตอนที่ท่านลงจากเรือนไป...”
ชายหนุ่มนิ่งงัน... สักครู่จึงกราบทูล
“ผ้าแพรพรรณที่เกล้ากระหม่อมได้รับพระราชทานมา... ตัดเย็บเสร็จเป็นเสื้อตัวหนึ่ง พระเจ้าค่ะ”
...สิ้นคำกราบทูล บรรยากาศรอบๆ คล้ายอึดอัด ทรงเบือนพระพักตร์ไปด้านนอก...ไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นอีกนาน
ก่อนเสด็จกลับ ได้สั่งให้แสงพรายรีบรักษาตัว และอีก ๒ วัน...คือในวันขึ้น ๔ ค่ำให้กลับไปที่สำนักบ้านเงินบ้านทอง ทรงรับปากว่าจะเร่งติดตามทองคำมาให้ชายหนุ่มได้หล่อองค์พระขึ้นถวายองค์พ่อขุน
พระองค์หญิงมิอาจประทับรอเพื่อพบพระมหาเถรตานไฟที่เข้าป่าไปหาสมุนไพรมารักษาชายหนุ่ม แต่ได้ฝากข้อความไว้กับนายอุ่นเมืองที่เดินตามมาส่งเสด็จ ณ จุดที่ม้าถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างออกไป... อีกทั้งทรงมีรับสั่งลับให้นายอุ่นเมืองไปกระทำเรื่องราวบางประการ
...ฟ้าใกล้พลบแล้ว พระนางต้องรีบกลับเข้าเมือง ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลงยามสิ้นแสงอัสดง
ทรงขึ้นม้า หันพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังชายหนุ่มที่ระเบียงกุฏิ สายพระเนตรสบประสานกับสายตาที่จ้องมา... แววตานั้นเลื่อนลอย ทอดอาลัยต่อทุกสิ่ง...
“เราจะไม่ปล่อยให้ท่านได้รับโทษทัณฑ์เป็นอันขาด...” ทรงคำนึงขึ้นในพระทัย พร้อมทรงสะบัดม้าจากไป
-----------------------------------
รุ่งเช้าวันขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๑๑ ลมหนาวพัดโชยพาดผ่านบึงของวัดตระพังทอง หอบไอเย็นจากผิวน้ำขึ้นมาจนคนบนฝั่งต้องสยิวกายสะท้าน
พวกช่างจากสำนักบ้านเงินบ้านทองมาทำงานกันแต่หัวรุ่ง เพราะต้องเร่งงานให้เสร็จโดยเร็วจากจำนวนคนที่ถูกจำกัด แม้เวลาทำงานในแต่ละวันจะเพิ่มมากขึ้นแต่ทุกคนก็พอใจเพราะได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันหยุดบ่อยขึ้น... ยกเว้นคำแปงที่มีรับสั่งให้หยุดไป ๒ วันและต้องกลับมาทำงานต่อเนื่องทุกวัน ในการก่อปูนปั้นบนเสาประตูกำแพงวัด
ไม่ช้าทุกคนก็เห็นองค์หญิงกัณฐิมาศปรากฏพระองค์ในวัด พร้อมทหารและข้าหลวงตามเสด็จ
“คำแปง เจ้ารีบไปเข้าเฝ้าเถิด พระองค์มีเรื่องอยากสอบถามเจ้า”
น้าหมานเดินมาตามคำแปง แล้วพากันไปเข้าเฝ้าภายในศาลาวัด ด้านในมีองค์หญิงกัณฐิมาศประทับอยู่เพียงลำพัง ไม่มีข้าหลวงอยู่ถวายงาน พวกทหารยืนถวายการอารักขาอยู่ด้านนอกในระยะห่างพอที่จะไม่ได้ยินเรื่องราวรับสั่ง
“คำแปง เจ้าออกไปซื้อหาสิ่งใดที่ตลาดปสานในเย็นวันแรม ๑๔ ค่ำ”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๐ ปมภายในสำนัก
บทที่ ๕๐ ปมภายในสำนัก
ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๑๑ ยามบ่ายคล้อย
ม้าสีน้ำตาลควบช้าๆ ไปตามถนนเลียบคูแม่โจน ผู้ควบขี่เป็นสตรีนางหนึ่ง
ในเมืองสุโขทัยนี้หากพบเห็นหญิงสาวควบขี่อาชาคงไม่เป็นที่แปลกประหลาด ด้วยสตรีชาวสุโขทัยมักฝึกขี่ม้าและหัดเพลงอาวุธ แต่ที่แปลกตาชวนมองคืออิริยาบถงามสง่าผึ่งผายของนาง แม้ร่างจะขยับขึ้นลงและบางครั้งต้องโน้มกายถ่วงน้ำหนักตามจังหวะบังคับม้า แต่มิดูนุ่มนิ่มซวนเซอ่อนแรง กลับเหยียดร่างตรงแสดงความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ผสานความงามชวนลุ่มหลงของเรือนร่างอิสตรี
ผมรวบเก็บรัดเป็นมุ่นอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้างามล้ำหมดจด คิ้วยาวโค้งเกือบจรดหางตา ผิวขาวผ่องยามต้องแสงตะวันคล้อยบ่ายสะท้อนประกายนวลเจิดจรัส
ตลอดเส้นทางแม้จะมีผู้คนสัญจรไม่มาก แต่ทุกคนอดมองตามเงาร่างงามสง่าบนหลังอาชานั้นมิได้ โดยหารู้ไม่ว่า นี่คือองค์หญิงผู้ทรงพระสิริโฉมของสองแคว้นนคร สุโขทัยและน่าน... องค์หญิงกัณฐิมาศ
เมื่อวานหลังจากทรงไล่เลียงเหตุการณ์กับครูพิธาน พระองค์หญิงได้เสด็จไปรับสั่งกับจุกและบุญจันตามลำพังทีละคน แม้มิได้ความเพิ่มเติมมากนัก แต่เก็บส่วนรายละเอียดของเหตุการณ์ได้ชัดเจนขึ้น...
เช้าวันที่ทองสูญหายจุกเดินขึ้นเรือนใหญ่ไปยังห้องพระพร้อมถาดธูปเทียนของบุญจันที่ฝากขึ้นไปถวายบูชา หลังจากนั้นจึงเริ่มกวาดถู ใช้ไม้กวาด ผ้าและถังน้ำที่วางอยู่นอกชานข้างโอ่งน้ำ ขณะทำความสะอาดก็มีสมาชิกบนเรือนอยู่กันตามปกติ พอทำความสะอาดเสร็จก็ยกสำรับข้าวพระพุทธเข้าไปในห้องพระ แล้วให้ปู่หลวงเป็นคนถวาย จุกก็ลงจากเรือนมา...
ตอนจะลาข้าวพระพุทธ จุกก็ไปยืนคอยท่าตรงเชิงบันไดแล้วขึ้นเรือนไปพร้อมกับปู่หลวงและครูพิธาน ก่อนที่บุญจันจะเดินตามมาขออนุญาตกลับไปนอนค้างที่บ้านและจะกลับมาเวลาเที่ยงของวันถัดไป จุกจึงวิ่งไปที่ห้องพระเอาถาดธูปเทียนของบุญจันมาคืนให้ต่อหน้าปู่หลวงและครูพิธานตรงชานพักบันได
แต่จุกมิทันได้สังเกตห่อผ้าแพร เพราะรีบวิ่งเข้าไปเพียงแค่อึดใจแล้วก็หยิบฉวยถาดธูปเทียนที่วางอยู่ออกมา... พอเดินตามปู่หลวงไปลาข้าวพระพุทธในห้องพระ ตอนนั้นเองที่ปู่หลวงเห็นผ้าแพรหุ้มห่อทองหลุดลุ่ยผิดปกติ ครั้นเปิดดูจึงค่อยรู้ว่าทองสูญหายไป
ส่วนบุญจันเล่าว่า...ตอนที่จุกทำความสะอาดห้องพระได้ขึ้นมาตรงชานพักบันได บอกพิไลว่าขอคุยกับครูพิธาน พอครูพิธานเดินมา จึงขออนุญาตไปนอนค้างที่บ้านและขอกลับสำนักตอนเช้า ครูพิธานยังหันไปชำเรืองมองปู่หลวงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ตรงชานเรือนหอกลางหน้าห้องนอนของท่านซึ่งเป็นที่นั่งประจำ พอไม่เห็นปู่หลวงว่ากระไร ครูพิธานจึงอนุญาตแล้วตนก็ลงไป...
หลังจากทานข้าวที่โรงครัวก็ตามแสงพรายไปช่วยงานปั้นหล่อองค์พระ ตนเป็นคนเห็นรอยแยกเล็กๆ บนดินที่พอกไว้ แสงพรายจะซ่อมโดยใช้เข็มบิดหล่า (เครื่องมือเจาะ คล้ายดอกสว่านในปัจจุบัน) เจาะเอาเนื้อดินส่วนที่ร่วนออกมาแต่ตนอยากให้ปู่หลวงมาดูก่อน เพราะถ้าเกิดผิดพลาดต้องพอกดินใหม่ทั้งหมด และรับอาสาวิ่งมาตามปู่หลวงกับครูพิธาน ซึ่งปู่หลวงก็ให้ซ่อมแซมในลักษณะที่แสงพรายคิดไว้ก่อนหน้า
แสงพรายจึงขึ้นไปบนเรือนยังหอช่าง นำเข็มบิดหล่าลงมาและซ่อมแซมอยู่นานจนเสร็จ จากนั้นบุญจันเป็นคนขอให้ปู่หลวงอยู่ต่ออีกชั่วครู่ดูงานผนึกสีผึ้งและพอกดินตรงขอบฐานพระ...พอเสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป แสงพรายขอกลับวัดศรีชุม ส่วนตนกลัวๆ กล้าๆ เดินตามไปขอกับปู่หลวงและครูพิธานตรงชานพักบันไดว่าจะขอเปลี่ยนเวลากลับสำนักจากเช้าเป็นเที่ยง ซึ่งก็ได้รับอนุญาตและจุกก็วิ่งไปเอาถาดใส่ธูปเทียนมาให้ตนขณะที่ยังยืนคุยกับครูทั้งสองตรงชานพักบันได...
พอลงจากเรือนไปไม่นาน จึงค่อยรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ ตนจึงไม่ได้กลับบ้านแต่อยู่ช่วยค้นหาทองที่หาย ต่อมาครูพิธานเรียกให้ขี่ม้าติดตามไปพร้อมนายหมานเพื่อหาแสงพรายที่วัดศรีชุม ส่วนที่สำนักครูพิธานมอบหมายให้คำแปงเป็นคนควบคุมการค้นหาทองต่อไป
...เรื่องทั้งหมดที่ทั้งสองเล่า ดูสมเหตุสมผลไปหมด แต่ที่ค้างคาในพระทัยคือสิ่งซึ่งคล้ายเศษผงสีทองที่ติดอยู่บนเทียนไขหลายเล่ม และกระดาษวางรองธูปเทียนที่ปรากฎรอยเส้นสีทองตามแนววางแท่งเทียนอยู่หลายรอย
ตอนขอให้บุญจันยกถาดใส่ธูปเทียนออกจากเรือนพักมาให้ดู ทรงพิจารณาอย่างละเอียด มีธูปก้านใหญ่ขนาดครึ่งนิ้ว ๓ ก้าน เทียนไขขนาดหนึ่งนิ้วครึ่งจำนวน ๑๒ เล่ม ทุกเล่มเสียบยึดติดอยู่กับเชิงเทียนโลหะเล็กๆ สูงแค่สองนิ้ว สามารถจับมาวางตั้งได้ทันที เมื่อหยิบขึ้นมาดูจึงมีน้ำหนักกว่าเทียนไขทั่วไป ทั้งหมดวางอยู่ในถาดมีกระดาษแข็งรองอยู่ ๒ แผ่น ขนาดกว้างราวฝ่ามือและยาวหนึ่งคืบ (๑๒ นิ้วไทย) ทั้งสองแผ่นมีรอยพับริมขอบด้านข้าง
พระองค์ทรงขอยืมม้าจากสำนักบ้านเงินบ้านทอง จึงทำให้พิไลเข้าใจถึงลักษณะฉลองพระองค์ในวันนี้ที่เป็นชุดโจงกระเบนยาวคร่อมพระชานุ (เข่า) และเสื้อทรงชุดรัดกุม
“เจ้าเข้าไปในห้อง มีสิ่งใดจะมอบให้แสงพรายหรือ” นั่นคือสิ่งที่พระองค์รับสั่งถามพิไล เมื่ออยู่กันตามลำพัง
พระนางยังจำได้ถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนเขินอายของหญิงสาวก่อนจะกราบทูลตอบ
“เกล้ากระหม่อมฉันเย็บเสื้อให้เขาหนึ่งตัว...จากแพรพระราชทานที่เขาได้รับ...จึงอยากมอบให้เพคะ”
“แล้วได้มอบให้เขาไปหรือไม่”
“มิได้ เพคะ” หญิงสาวก้มหน้า
นางให้เหตุผลต่อมาว่า เกิดเปลี่ยนใจ...จะมอบให้ในวันอื่น
“ทำไมตอนนั้น จึงมีความคิดอยากมอบให้”
พิไลกราบทูลด้วยอาการอึกอัก.. เพราะจุกขึ้นมากระซิบว่าแสงพรายกำลังจะขึ้นมาบนเรือน ควรจะรีบมอบเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วสัก ๑ ตัวให้ไปก่อน แล้วจุกก็ลงจากเรือนไปตอนที่แสงพรายเดินขึ้นมาบนเรือนเพื่อจะไปหอช่าง
“แล้วจุกย้อนกลับขึ้นมาบนเรือนอีกไหม”
“มิได้เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันยืนอยู่ตรงโถงชานกว้างอยู่อีกสักพัก กว่าจะเข้าไปหยิบเสื้อของแสงพรายในห้อง และได้เห็นจุกเดินจากเรือนไปไกลแล้วเพคะ”
“เจ้าออกมาเห็นแสงพรายยืนลับๆล่อๆ อยู่หน้าห้องพระ...แล้วเจ้าได้เดินไปตรวจดูห้องพระหรือไม่”
คำตอบของนางคือไม่ และเหตุผลคือปกตินางมิเคยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับห้องพระเลย
แต่เมื่อทรงซักไซ้รายละเอียดต่อไปจึงได้ภาพของหญิงสาวในมือถือเสื้อที่นางตัดเย็บให้ชายหนุ่มที่นางลุ่มหลง นางเขินอายและกลัวที่จะมอบเสื้อตัวนั้นออกไป...เพราะมันบ่งแทนความในใจของนาง จนเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านหน้านางลงจากเรือนไป จึงได้แต่ยืนนิ่งจมอยู่ในภวังค์
...และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขัดข้องอยู่ในพระทัยขององค์หญิงกัณฐิมาศ
“อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงรับสั่งขึ้นเมื่อแสงพรายเดินโซเซออกจากประตูกุฏิแล้วคลานมานั่งคุกเข่าหมอบเฝ้าอยู่กับชานระเบียงของกุฏิ
ร่างของชายหนุ่มถูกพันห่อด้วยผ้าขาวหม่นตามศีรษะและร่างกาย ลักษณะคล้ายพอกยาสมุนไพรอยู่ภายใน มีกลิ่นยาโชยออกมา
“พระมหาเถรตานไฟบอกว่าเป็นแผลแตกและช้ำบวมตามเนื้อตัว ส่วนกระดูกที่ถูกกระทบมิได้แตกหัก พระเจ้าค่ะ”
“เมื่อสักครู่อุ่นเมืองบอกเราว่าท่านเจ็บหนัก กระดูกซี่โครงร้าวและอวัยวะภายในสะเทือน ตามหลังและศีรษะด้านหลังมีบาดแผลแตกอยู่หลายแห่ง”
อาการบาดเจ็บที่เจ้าตัวกราบทูล กับสิ่งที่พระองค์หญิงทรงรับรู้มา... มิใคร่ตรงกันเสียทีเดียว
“พระเจ้าค่ะ” นายอุ่นเมืองที่หมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ รีบยืนยันต่อหน้าคนเจ็บ แล้วกราบทูลให้คลายกังวลพระทัยว่า
“หลวงลุงยังบอกให้พยายามนอนพักอย่าได้เคลื่อนไหวใช้แรงสักวันสองวัน พอกยาและกินสมุนไพรก็จะดีขึ้น พระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์ที่เคร่งเครียดกังวลของพระองค์หญิงค่อยดูมีแววสดชื่นขึ้น จากนั้นทรงย่อพระวรองค์ลงประทับบนชานระเบียงใกล้ๆ ชายหนุ่ม ทรงหันพระพักตร์ไปทางนายอุ่นเมืองที่นั่งคุกเข่ากับลานพื้นหญ้าหน้าระเบียง
“นายอุ่นเมืองเป็นหลานของพระมหาเถรตานไฟ บิดาของเขาเป็นน้องชายของพระมหาเถระและเป็นอดีตขุนนางรับใช้ในองค์พระยางั่วนำถม หลังผลัดแผ่นดินพระมหาธรรมราชาพระยาลิไทเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ท่านจึงได้ลาออกจากราชการ...” แล้วทรงหันมากำชับกับแสงพราย “ถ้าท่านมีเรื่องสำคัญใดก็ไหว้วานอุ่นเมืองเอาเถิด แต่อย่าได้ไว้ใจผู้ใดในสำนักบ้านเงินบ้านทองเด็ดขาด ยกเว้นปู่ครูเพียงผู้เดียว จนกว่าเราจะสืบรู้ความจริงเรื่องทองที่สูญหายไป”
ที่แท้อุ่นเมืองมิใช่ชาวบ้านธรรมดา และที่เรียกพระมหาเถรตานไฟว่าหลวงลุงก็หาใช่เพราะลำดับอาวุโสของอายุ แต่เพราะลำดับทางสายเลือด
“พระเจ้าค่ะ”
“เราขอสอบถามท่านบางเรื่อง... ในวันที่ทองสูญหาย ท่านขึ้นไปบนเรือน หยิบเครื่องมือที่หอช่าง ต่อมาพิไลเห็นท่านไปชะเง้ออยู่หน้าหอพระ ท่านทำเยี่ยงนั้นทำไม”
“ก่อนขึ้นไปบนเรือน บุญจันขอให้เกล้ากระหม่อมช่วยดูในห้องพระว่าจุกเอาธูปเทียนมาวางครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่”
ทรงนิ่งอึ้งไปกับคำกราบทูลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรับสั่งถามต่อ
“บุญจันขอให้ท่านทำเรื่องนี้เมื่อใดหรือ”
“ในโรงช่าง ตอนที่เกล้ากระหม่อมกำลังออกมาบุญจันก็รีบเดินตามมาบอกเรื่องนี้”
“แล้วครูพิธานได้ยินได้รับรู้หรือไม่”
“เกล้ากระหม่อมไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นเริ่มเดินห่างออกมาจากแบบปั้นองค์พระหลายก้าวแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้ยินหรือได้ยินแต่มิสนใจฟังก็เป็นได้ พระเจ้าค่ะ”
“ตอนท่านมองเข้าไปในห้องพระ ได้เห็นห่อทองคำพระราชทานอยู่ในลักษณะปกติ หรือมีร่องรอยหลุดลุ่ยแล้ว”
“เกล้ากระหม่อมสนใจแต่ถาดธูปเทียน...แต่เชื่อมั่นว่าถ้าผ้าแพรห่อทองคำมีร่องรอยหลุดลุ่ยดังที่รับสั่ง เกล้ากระหม่อมย่อมต้องสังเกตเห็นเป็นแน่ พระเจ้าค่ะ”
“แล้วเทียนครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่”
“ครบทั้ง ๑๒ เล่มพระเจ้าค่ะ”
“แสดงว่าท่านอาจสนใจอยู่กับการนับเทียน...อาจมิได้สังเกตเห็นว่าผ้าแพรหุ้มห่อทองคำอยู่ในสภาพไหน...”
แสงพราย มิกราบทูลกระไร มีแต่ประกายตาที่บ่งบอกถึงความมั่นใจ...
“ถ้าเช่นนั้น... ท่านได้สังเกตหรือไม่ ว่าพิไลถือสิ่งใดในมือ ตอนที่ท่านลงจากเรือนไป...”
ชายหนุ่มนิ่งงัน... สักครู่จึงกราบทูล
“ผ้าแพรพรรณที่เกล้ากระหม่อมได้รับพระราชทานมา... ตัดเย็บเสร็จเป็นเสื้อตัวหนึ่ง พระเจ้าค่ะ”
...สิ้นคำกราบทูล บรรยากาศรอบๆ คล้ายอึดอัด ทรงเบือนพระพักตร์ไปด้านนอก...ไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นอีกนาน
ก่อนเสด็จกลับ ได้สั่งให้แสงพรายรีบรักษาตัว และอีก ๒ วัน...คือในวันขึ้น ๔ ค่ำให้กลับไปที่สำนักบ้านเงินบ้านทอง ทรงรับปากว่าจะเร่งติดตามทองคำมาให้ชายหนุ่มได้หล่อองค์พระขึ้นถวายองค์พ่อขุน
พระองค์หญิงมิอาจประทับรอเพื่อพบพระมหาเถรตานไฟที่เข้าป่าไปหาสมุนไพรมารักษาชายหนุ่ม แต่ได้ฝากข้อความไว้กับนายอุ่นเมืองที่เดินตามมาส่งเสด็จ ณ จุดที่ม้าถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างออกไป... อีกทั้งทรงมีรับสั่งลับให้นายอุ่นเมืองไปกระทำเรื่องราวบางประการ
...ฟ้าใกล้พลบแล้ว พระนางต้องรีบกลับเข้าเมือง ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลงยามสิ้นแสงอัสดง
ทรงขึ้นม้า หันพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังชายหนุ่มที่ระเบียงกุฏิ สายพระเนตรสบประสานกับสายตาที่จ้องมา... แววตานั้นเลื่อนลอย ทอดอาลัยต่อทุกสิ่ง...
“เราจะไม่ปล่อยให้ท่านได้รับโทษทัณฑ์เป็นอันขาด...” ทรงคำนึงขึ้นในพระทัย พร้อมทรงสะบัดม้าจากไป
-----------------------------------
รุ่งเช้าวันขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๑๑ ลมหนาวพัดโชยพาดผ่านบึงของวัดตระพังทอง หอบไอเย็นจากผิวน้ำขึ้นมาจนคนบนฝั่งต้องสยิวกายสะท้าน
พวกช่างจากสำนักบ้านเงินบ้านทองมาทำงานกันแต่หัวรุ่ง เพราะต้องเร่งงานให้เสร็จโดยเร็วจากจำนวนคนที่ถูกจำกัด แม้เวลาทำงานในแต่ละวันจะเพิ่มมากขึ้นแต่ทุกคนก็พอใจเพราะได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันหยุดบ่อยขึ้น... ยกเว้นคำแปงที่มีรับสั่งให้หยุดไป ๒ วันและต้องกลับมาทำงานต่อเนื่องทุกวัน ในการก่อปูนปั้นบนเสาประตูกำแพงวัด
ไม่ช้าทุกคนก็เห็นองค์หญิงกัณฐิมาศปรากฏพระองค์ในวัด พร้อมทหารและข้าหลวงตามเสด็จ
“คำแปง เจ้ารีบไปเข้าเฝ้าเถิด พระองค์มีเรื่องอยากสอบถามเจ้า”
น้าหมานเดินมาตามคำแปง แล้วพากันไปเข้าเฝ้าภายในศาลาวัด ด้านในมีองค์หญิงกัณฐิมาศประทับอยู่เพียงลำพัง ไม่มีข้าหลวงอยู่ถวายงาน พวกทหารยืนถวายการอารักขาอยู่ด้านนอกในระยะห่างพอที่จะไม่ได้ยินเรื่องราวรับสั่ง
“คำแปง เจ้าออกไปซื้อหาสิ่งใดที่ตลาดปสานในเย็นวันแรม ๑๔ ค่ำ”
(มีต่อ)