.
บทที่ ๒๓ ในพระตำหนักเจ้านาง
วันรุ่งขึ้น แสงพรายรีบออกจากสำนักแต่เช้าก่อนผู้ใด ด้วยมิต้องการร่วมทางกับเหล่าช่างแล้วค่อยแยกตัวออกไปพระตำหนักให้ถูกค่อนแคะ จากเรื่องที่เกิดขึ้นตนถูกต่อว่าอย่างหนักจากแทบทุกคนในสำนักว่านำความเสื่อมเสียมาให้และพลอยทำให้ปู่หลวงต้องเดือดร้อนเสียหาย...
คนที่ต่อว่ารุนแรงที่สุดคือคำแปงศิษย์รักของครูพิธาน ผู้ต้องกลับไปทำหน้าที่ซ่อมซุ้มประตูกำแพงวัดตระพังทอง หมดโอกาสได้แสดงฝีมือปั้นแบบองค์พระเข้าประกวดประขัน
คงมีเพียงน้าหมานกับจุกที่ยังปฏิบัติตัวเป็นปกติ ทั้งยังเล่าเรื่องของพระองค์หญิงกัณฐิมาศให้ตนฟัง... ว่าเป็นผู้มีพระสติปัญญาและปฏิภาณเป็นเลิศ ทรงเคยช่วยเหลือผู้คนไขคดีความต่างๆ มาแต่ครั้งทรงพระเยาว์ จนเป็นที่เคารพรักของชาวเมือง
เมื่อแสงพรายเดินมาถึงวัดสรศักดิ์ จึงได้รายงานตัวกับทหารรักษาการณ์แล้วเดินผ่านไปจนถึงพระตำหนักองค์ใหญ่ของพระองค์หญิงกัณฐิมาศ เดินวนอยู่ลานด้านล่างสักครู่จึงมีนางข้าหลวงตรงเข้ามาหา
“ท่านมาแล้วหรือ องค์หญิงกัณฐิมาศมีรับสั่งให้ข้ามาบอกงานท่าน... สิ่งแรกที่ท่านต้องทำทุกเช้าคือ ให้ทำความสะอาดตุ่มใส่น้ำสำหรับชำระเท้าผู้ขึ้นไปบนพระตำหนัก แล้วเติมน้ำให้เต็ม... ทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะบอกงานลำดับถัดไปของท่าน”
แสงพรายนึกไม่ถึงว่างานแรกและงานประจำวันที่ตนต้องทำคือเตรียมน้ำล้างเท้าให้กับคนที่มาเฝ้าพระนาง ถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บแปลบ คิดในใจว่าพระนางคงคิดจะย่ำยีศักดิ์ศรีของตน แต่แล้วก็ระลึกว่า จะอย่างไรเราก็มิได้มีศักดิ์ศรีหรือสิ่งใดให้ต้องรักษา... ชีวิตนี้คงมีเพียงหน้าที่และคำสัตย์ที่ต้องรักษาไว้เท่านั้น
เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับงานต่างๆ ถูกเตรียมไว้พร้อม แต่ที่หนักหนาสำหรับชายหนุ่มคือการที่ต้องตักน้ำจากตระพังใหญ่ที่อยู่ด้านทิศใต้ของวัดสรศักดิ์ แล้วแบกหามมาใส่ตุ่ม
เหมือนพระนางจะรับรู้ถึงความยากลำบากของตน งานลำดับถัดไปยังคงเป็นงานตักน้ำใส่ภาชนะต่างๆ ภายในพระตำหนัก
แสงแดดเริ่มร้อน สะท้อนประกายระยิบระยับขึ้นบนผิวน้ำในตระพัง เช่นเดียวกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นแวววาวบนใบหน้าของชายหนุ่ม ดูไปมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นเพียงช่างฝีมือธรรมดา แสงพรายก้มตัวลงยังขอบตลิ่งริมน้ำ น้ำทุ่งภาชนะเครื่องจักสานทำจากไม้ไผ่ยาด้วยชันจนสนิทสำหรับใช้ตักน้ำถูกวาดสะบัดโกยน้ำเข้ามาเก็บ ชายหนุ่มรั้งหูหิ้วขึ้นมาด้วยสองมือสองแขน อาการเจ็บแปลบที่แขนขวาสะท้านขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องทิ้งน้ำทุ่งลงบนผืนน้ำ ก่อนจะกัดฟันดึงรั้งขึ้นมาอีกคราจนสำเร็จในที่สุด
เมื่อเดินกลับมาถึงลานหน้าพระตำหนัก เห็นทหารแต่งกายในชุดเครื่องแบบแปลกตาเพิ่มขึ้นมา ๓ คน ยืนอยู่รอบบริเวณ
“เจ้าชื่อแสงพราย ใช่หรือไม่” ทหารคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามาถาม
แสงพรายมองด้วยอาการนิ่งสงบ ตอบสั้นๆ “ใช่”
“พระคุณ... คนที่ท่านต้องการเจอตัว กลับมาแล้ว”
ทหารคนเดิมตะโกนขึ้นไปบนพระตำหนัก คล้ายไม่สนใจว่าจะเป็นพระตำหนักของท่านผู้ใด เพียงมุ่งปฏิบัติตามที่นายของตนสั่งไว้อย่างเคร่งครัด
สักครู่จึงเห็นชายรูปร่างใหญ่ในชุดขุนทหาร โผล่กายออกมาจากด้านบนพระตำหนัก ใบหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วดกหนา หน้าผากกว้างใหญ่ แววตาส่องประกายดุร้ายจ้องลงมายังแสงพราย
“เจ้าหรือที่บังอาจล่วงเกินองค์หญิง” ชี้หน้ากร้าวลงมา
เพียงครู่เดียวก็ลงมายืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่ถือน้ำทุ่งอยู่ด้านล่าง
“ขุนกาฬ ห้ามมิให้ท่านทำกระไรทั้งสิ้น”
พระสุรเสียงขององค์หญิงกัณฐิมาศดังขึ้น พร้อมกับพระวรองค์ที่ปรากฏขึ้นยังขอบชานด้านบนพระตำหนัก
“เกล้ากระหม่อมจะสั่งสอนมันให้หลาบจำ ต่อไปจะได้สำนึกตนไว้พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายยังคงยืนนิ่ง เชิดหน้ามิหวั่นไหว
“ข้าพเจ้ามีภาระต้องตักน้ำเติมใส่ตุ่ม ไม่มีเวลามายุ่งเกี่ยวกับพวกท่านหรอก” ว่าแล้วชายหนุ่มเตรียมเบี่ยงกายเดินพ้นไป
คำที่ว่า “ไม่..ยุ่งเกี่ยวกับพวกท่าน” ทำให้สีพระพักตร์ของพระองค์หญิงมึนตึงขึ้นมาทันที...
พระนางนั้นทรงพยายามขับไล่ขุนกาฬซึ่งรุกล้ำเข้ามาในพระตำหนัก หลังจากเจ้าตัวเพิ่งจะเร่งเดินทางมาจากชากังราวทันทีที่ทราบข่าวเรื่องพระนางเสด็จกลับสุโขทัย ทั้งยังสืบเสาะรู้ว่าพระนางเกิดเรื่องราวใดขึ้นกับชายผู้มาอาศัยยังสำนักช่าง นับว่าอิทธิพลและหูตาของขุนศึกผู้นี้มีมากมายจริงๆ
พลันทอดพระเนตรเห็นขุนกาฬกระชากน้ำทุ่งหลุดออกจากมือแสงพราย น้ำสาดซัดกระเซ็นไปทั่ว
“ขุนกาฬ... ท่านไม่กลัวหรือว่า เขาจะมีวิชาอาวุธติดตัว คนผู้นี้หยิ่งยโสนัก หาได้เกรงกลัวใครไม่ บางทีอาจจะเป็นขุนศึกจากแดนใต้ปลอมแปลงมาก็เป็นได้ ท่านอาจจะต้องระวังตัวไว้บ้าง”
พระองค์หญิงทรงเปลี่ยนท่าทีไปทันที จากที่ทรงห้ามปรามเมื่อครู่ก่อนหน้า บัดนี้คล้ายเตรียมทอดพระเนตรชมการดิ้นรนเอาตัวรอดของชายหนุ่ม
“หึหึ เกล้ากระหม่อมรู้แต่ว่ามันเป็นลูกไพร่ไร้พ่อแม่ แล้วมาตามหาญาติพี่น้องที่เมืองเหนือ น่าเสียดายปู่หลวงไม่น่าจะรับคนอย่างนี้ไว้ในสำนักเลย... ทหาร ส่งดาบให้มัน แล้วเอาหวายมาให้ข้า”
เสียงดาบถูกชักออกจากฝัก จากนั้นพุ่งปักลงมายังพื้นดินไม่ห่างจากปลายเท้าแสงพรายนัก ในขณะที่ทหารอีกคนนำหวายมามอบให้ผู้เป็นนาย
“เจ้าจงจับดาบขึ้นมาสู้ เราจะใช้เพียงมือซ้ายกับหวายนี้เท่านั้น”
แสงพรายก้มมองดูดาบที่เปลือยคมปักอยู่ตรงหน้า กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าพเจ้ามาทำงานเป็นบ่าวชั่วคราวของพระองค์หญิง หาได้มาทำตัวเป็นนักเลงเที่ยวหาเรื่องวิวาทกับผู้ใดไม่ ท่านเองก็เป็นแขกผู้มาเยือนจะกระทำสิ่งใดก็ควรกราบทูลถามพระองค์ผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักเสียก่อน”
“เจ้านี่มันช่างปากดีนัก จงหยิบดาบขึ้นมา อย่าให้เราต้องทำร้ายคนไม่มีอาวุธเลย”
ขณะที่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย พระนางผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักพลันรับสั่งดังกังวานขึ้น
“ท่านกล่าวว่า มาเป็นบ่าวชั่วคราวในตำหนักเรา.. ถ้ากระนั้นจงกระทำตามคำสั่งเราอย่าได้บิดพลิ้ว...” พระสุรเสียงช่วงท้ายหนักแน่นเด็ดขาด ก่อนจะมีพระบัญชาว่า
“จงหยิบดาบขึ้นมา”
แสงพรายเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งตกใจทั้งเจ็บปวดใจระคนกัน...
ชายหนุ่มหลับตาลง สูดลมหายใจลึก มือขวาค่อยๆ เอื้อมไปยังด้ามดาบที่ปักอยู่ตรงหน้า...
“เรารู้ว่าท่านมีวิชาอาวุธติดตัว ลำพังมือซ้ายและไม้หวายคงไม่พอมือของท่านหรอก จงจับดาบไล่ขุนกาฬไปให้พ้นจากตำหนักเรา”
เพียงวูบหนึ่งแห่งความคิดผุดขึ้น... พระนางทรงต้องการขับไล่ขุนกาฬ หรือทรงปรารถนาให้เราบาดเจ็บกันแน่...
ดาบถูกดึงขึ้นจากพื้นด้วยมือขวา...
ทันใดนั้น ไม้หวายพลันหวดสะบัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสงพรายยกดาบขึ้นรับ แรงปะทะจากไม้หวายรุนแรงนักจนดาบที่ถือแทบปลิวหลุดมือ แขนแสงพรายเจ็บแปลบแต่ยังพยายามกุมดาบไว้ให้มั่น
ปลายท่อนหวายวกกลับมากระแทกเข้าใส่ลิ้นปี่ของชายหนุ่ม แล้วดีดงัดขึ้นตีปลายคางจนเลือดสาดกระเด็น
อาการจุกกลางลำตัวและความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านตรงคาง แทบทำให้สติของชายหนุ่มดับไป แต่แล้วพลันรู้สึกปวดชาที่มือเมื่อถูกไม้หวายฟาดใส่จนดาบหลุดลอยออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” พระสุรเสียงดังลั่น
แต่ช้าไปแล้ว ท่อนหวายโหมตีกระหน่ำ ทั้งกกหูและลำตัวจนแสงพรายล้มคว่ำไปกับพื้น
ขุนปราบยังมิหนำใจ ยืนคร่อมร่างแล้วหวดฟาดลงซ้ำๆ ที่ลำตัวและศีรษะของชายหนุ่ม
เสียงต่อสู้วุ่นวายได้ชักนำทหารรักษาความปลอดภัยบริเวณพระตำหนักให้รุดมา แต่เมื่อเห็นเป็นขุนกาฬ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของเมือง ต่างก็มิกล้ากระทำสิ่งใด
ในช่วงเวลาแห่งความบ้าคลั่ง... ปลายดาบซึ่งหลุดกระเด็นไปจากมือของแสงพรายพลันชี้พุ่งตรงมายังใบหน้าของขุนกาฬ...
ผู้ที่ทรงกุมดาบเล่มนั้น คือองค์หญิงกัณฐิมาศซึ่งรีบเสด็จลงมาจากพระตำหนัก
“ท่านจะหยุด หรือจะให้เราคืนดาบเล่มนี้ไว้กับร่างของท่าน”
ขุนกาฬก้าวพ้นออกไปจากร่างที่คร่อมอยู่ พร้อมยื่นมือขวาไปจับสันดาบไว้
“พระองค์น่าจะทรงขอบใจเกล้ากระหม่อมที่ช่วยสั่งสอนไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ให้นะพระเจ้าค่ะ”
“ท่านออกไปจากตำหนักเราได้แล้ว”
พระสุรเสียงกระแทกกระทั้น ทั้งทรงสลัดพระหัตถ์ปล่อยด้ามดาบคืนไป
ขุนกาฬรับดาบไว้ ปราดมองร่างที่จมอยู่กับกองเลือด สีหน้ายิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ก่อนจะพาทหารจากไปได้ทิ้งคำกราบทูลว่า...
“แล้วเกล้ากระหม่อมจะกลับมาเฝ้าพระองค์ใหม่ พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงทรุดพระวรองค์ลงกับร่างที่หมดสติ ทรงช้อนพระหัตถ์รองศีรษะชายหนุ่ม เลือดแดงข้นยังคงไหลทะลักจากศีรษะสู่ใบหน้า
พระองค์หญิงคล้ายทรงสำนึกเสียพระทัยในสิ่งที่เกิดขึ้น...
ริมพระโอษฐ์สั่นระริก น้ำพระเนตรหยดหยาดลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม แม้จะเพียงไม่กี่หยดแต่ก็รดเป็นสายรวมไปกับเลือดคาวข้น...
-----------------------------------
“คนเจ็บถูกพาขึ้นไปรักษาอยู่บนเรือนด้านหลัง”
เสียงนางข้าหลวงบอกตำแหน่งของแสงพราย
พิไลรีบวิ่งนำหน้านางข้าหลวงที่ชี้นิ้วบอกทางไปยังเรือนเล็กด้านหลังพระตำหนัก พอขึ้นบันไดไปจนถึงขั้นบนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างแสงพรายนอนอยู่บนฟูกกลางเรือน มีองค์หญิงกัณฐิมาศประทับอยู่ด้านข้าง
หญิงสาวหันรีหันขวาง สุดท้ายคลานเข้าไปหา ก้มกราบแล้วจึงกราบทูลว่า
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉันพิไลมาจากสำนักบ้านเงินบ้านทอง เกล้ากระหม่อมฉันฟังว่าแสงพรายอยู่บนเรือนนี้จึงได้ผลุนผลันขึ้นมา ต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย เพคะ” พลางชำเลืองตาไปทางนางข้าหลวงที่ตามขึ้นมาทีหลัง เป็นเชิงซัดทอด
“ไม่เป็นไรหรอก พิไล” พระนางรับสั่งด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา พระเนตรจับจ้องอยู่แต่ดวงหน้าของชายหนุ่มซึ่งบัดนี้มีผ้าพันแผลรอบศีรษะและปลายคาง
“แสงพรายเป็นอย่างไรมากไหมเพคะ พระองค์”
“หมอหลวงมารักษาอาการตั้งแต่เที่ยงแล้ว เป็นบาดแผลทางผิวกายที่ปริแตกเป็นส่วนใหญ่ จะมีก็เพียงศีรษะที่กระทบกระเทือนเพราะแรงฟาดตี ท่านหมอบอกว่าบางทีกลางดึกคืนนี้อาจจะได้สติ”
“โถ ไม่น่าเลย...” พิไลรำพึง สีหน้าพลอยเศร้าขึ้นเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่ม กราบทูลว่า
“พอพ่อปู่หลวงรู้เรื่องจากนางข้าหลวงที่พระองค์รับสั่งให้ไปส่งข่าวที่สำนักก็กังวลใจ เกล้ากระหม่อมฉันจึงอาสามาดูอาการ เพราะไม่อยากให้พ่อปู่มาเห็นสภาพด้วยตนเอง เกรงท่านจะเสียใจ... พ่อปู่รักเอ็นดูเขามาก แม้จะเพิ่งมาอยู่ด้วยเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม”
“คนอย่างเขา ไปไหนน่าจะมีแต่คนรัก แต่เขาก็ทำตัวเองให้น่ารังเกียจ” พระองค์หญิงทรงพึมพำขึ้น
พิไลแม้จะรู้สึกพิศวงในพระดำรัสของพระนางแต่ก็เห็นพ้องด้วย จึงกราบทูลไปว่า
“ใช่เพคะ เขาเป็นคนหยิ่งยโสจนน่ารังเกียจ แค่มีฝีมือช่างติดตัวก็ทะนงเกินตัวแล้วเพคะ”
พระนางซึ่งทรงเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มมาค่อนวัน เมื่อได้รับสั่งสนทนากับหลานสาวแห่งสำนักช่างก็คลายความรู้สึกอึดอัดพระทัย อีกทั้งทรงรู้สึกถูกชะตากับพิไล จึงรับสั่งถามว่า
“แล้วเขาไม่รู้วิชาการต่อสู้บ้างหรือ”
“ไม่หรอกเพคะ เห็นเป็นชายร่างใหญ่อย่างนี้แต่เรี่ยวแรงไม่ได้ต่างจากผู้หญิงสักเท่าใด จะหยิบจะฉวยของหนักแต่ละทีดูอืดอาดยืดยาด เรื่องจะให้จับดาบฟาดอาวุธคงไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนตีบาดเจ็บขนาดนี้หรอกเพคะ”
องค์หญิงทรงขมวดพระขนงด้วยความครุ่นคิด รับสั่งเพียงว่า
“หรือเขาจะมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอยู่”
แต่พิไลกลับกราบทูลเรื่องสำคัญขึ้นว่า
“พระองค์หญิงเพคะ เรื่องที่ทรงให้นางข้าหลวงแจ้งไปที่สำนักว่าจะให้แสงพรายพักรักษาตัวอยู่ที่พระตำหนัก พ่อปู่ฝากให้เกล้ากระหม่อมฉันกราบทูลว่า... เกรงจะเป็นการรบกวนพระองค์หญิงและดูไม่งาม จึงจะขอพาตัวแสงพรายกลับไปรักษาตัวที่สำนัก เพคะ”
“พิไล... เจ้าก็เห็นอยู่ว่าเขาบาดเจ็บมากแค่ไหน จะเคลื่อนย้ายพาตัวไปคงกระทบกระเทือนบาดแผล อีกอย่างถ้าปู่ครูเห็นสภาพของเขาจะมิพลอยเป็นกังวลแย่หรือ เรื่องนี้เจ้าก็พูดเองมิใช่หรือ”
“แต่...”
“อีกอย่าง คนเจ็บก็นอนพักอยู่ในเรือนเล็กนี้ หาได้อยู่บนตำหนักเดียวกับเราไม่ เรื่องความควรหรือไม่ควร ไม่ต้องว่าแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเราเป็นสาเหตุ พิไลจงให้โอกาสเราได้ไถ่โทษเถิด หากแม้อาการเขาทรุดหนักลง เราจะเรียกหมอหลวงมาคอยดูอาการเอง อย่าได้ห่วงเลย”
“เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันจะเรียนพ่อปู่ตามที่พระองค์หญิงรับสั่ง”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒๓ ในพระตำหนักเจ้านาง
บทที่ ๒๓ ในพระตำหนักเจ้านาง
วันรุ่งขึ้น แสงพรายรีบออกจากสำนักแต่เช้าก่อนผู้ใด ด้วยมิต้องการร่วมทางกับเหล่าช่างแล้วค่อยแยกตัวออกไปพระตำหนักให้ถูกค่อนแคะ จากเรื่องที่เกิดขึ้นตนถูกต่อว่าอย่างหนักจากแทบทุกคนในสำนักว่านำความเสื่อมเสียมาให้และพลอยทำให้ปู่หลวงต้องเดือดร้อนเสียหาย...
คนที่ต่อว่ารุนแรงที่สุดคือคำแปงศิษย์รักของครูพิธาน ผู้ต้องกลับไปทำหน้าที่ซ่อมซุ้มประตูกำแพงวัดตระพังทอง หมดโอกาสได้แสดงฝีมือปั้นแบบองค์พระเข้าประกวดประขัน
คงมีเพียงน้าหมานกับจุกที่ยังปฏิบัติตัวเป็นปกติ ทั้งยังเล่าเรื่องของพระองค์หญิงกัณฐิมาศให้ตนฟัง... ว่าเป็นผู้มีพระสติปัญญาและปฏิภาณเป็นเลิศ ทรงเคยช่วยเหลือผู้คนไขคดีความต่างๆ มาแต่ครั้งทรงพระเยาว์ จนเป็นที่เคารพรักของชาวเมือง
เมื่อแสงพรายเดินมาถึงวัดสรศักดิ์ จึงได้รายงานตัวกับทหารรักษาการณ์แล้วเดินผ่านไปจนถึงพระตำหนักองค์ใหญ่ของพระองค์หญิงกัณฐิมาศ เดินวนอยู่ลานด้านล่างสักครู่จึงมีนางข้าหลวงตรงเข้ามาหา
“ท่านมาแล้วหรือ องค์หญิงกัณฐิมาศมีรับสั่งให้ข้ามาบอกงานท่าน... สิ่งแรกที่ท่านต้องทำทุกเช้าคือ ให้ทำความสะอาดตุ่มใส่น้ำสำหรับชำระเท้าผู้ขึ้นไปบนพระตำหนัก แล้วเติมน้ำให้เต็ม... ทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะบอกงานลำดับถัดไปของท่าน”
แสงพรายนึกไม่ถึงว่างานแรกและงานประจำวันที่ตนต้องทำคือเตรียมน้ำล้างเท้าให้กับคนที่มาเฝ้าพระนาง ถึงกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บแปลบ คิดในใจว่าพระนางคงคิดจะย่ำยีศักดิ์ศรีของตน แต่แล้วก็ระลึกว่า จะอย่างไรเราก็มิได้มีศักดิ์ศรีหรือสิ่งใดให้ต้องรักษา... ชีวิตนี้คงมีเพียงหน้าที่และคำสัตย์ที่ต้องรักษาไว้เท่านั้น
เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับงานต่างๆ ถูกเตรียมไว้พร้อม แต่ที่หนักหนาสำหรับชายหนุ่มคือการที่ต้องตักน้ำจากตระพังใหญ่ที่อยู่ด้านทิศใต้ของวัดสรศักดิ์ แล้วแบกหามมาใส่ตุ่ม
เหมือนพระนางจะรับรู้ถึงความยากลำบากของตน งานลำดับถัดไปยังคงเป็นงานตักน้ำใส่ภาชนะต่างๆ ภายในพระตำหนัก
แสงแดดเริ่มร้อน สะท้อนประกายระยิบระยับขึ้นบนผิวน้ำในตระพัง เช่นเดียวกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นแวววาวบนใบหน้าของชายหนุ่ม ดูไปมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นเพียงช่างฝีมือธรรมดา แสงพรายก้มตัวลงยังขอบตลิ่งริมน้ำ น้ำทุ่งภาชนะเครื่องจักสานทำจากไม้ไผ่ยาด้วยชันจนสนิทสำหรับใช้ตักน้ำถูกวาดสะบัดโกยน้ำเข้ามาเก็บ ชายหนุ่มรั้งหูหิ้วขึ้นมาด้วยสองมือสองแขน อาการเจ็บแปลบที่แขนขวาสะท้านขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องทิ้งน้ำทุ่งลงบนผืนน้ำ ก่อนจะกัดฟันดึงรั้งขึ้นมาอีกคราจนสำเร็จในที่สุด
เมื่อเดินกลับมาถึงลานหน้าพระตำหนัก เห็นทหารแต่งกายในชุดเครื่องแบบแปลกตาเพิ่มขึ้นมา ๓ คน ยืนอยู่รอบบริเวณ
“เจ้าชื่อแสงพราย ใช่หรือไม่” ทหารคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามาถาม
แสงพรายมองด้วยอาการนิ่งสงบ ตอบสั้นๆ “ใช่”
“พระคุณ... คนที่ท่านต้องการเจอตัว กลับมาแล้ว”
ทหารคนเดิมตะโกนขึ้นไปบนพระตำหนัก คล้ายไม่สนใจว่าจะเป็นพระตำหนักของท่านผู้ใด เพียงมุ่งปฏิบัติตามที่นายของตนสั่งไว้อย่างเคร่งครัด
สักครู่จึงเห็นชายรูปร่างใหญ่ในชุดขุนทหาร โผล่กายออกมาจากด้านบนพระตำหนัก ใบหน้าสี่เหลี่ยม คิ้วดกหนา หน้าผากกว้างใหญ่ แววตาส่องประกายดุร้ายจ้องลงมายังแสงพราย
“เจ้าหรือที่บังอาจล่วงเกินองค์หญิง” ชี้หน้ากร้าวลงมา
เพียงครู่เดียวก็ลงมายืนประจันหน้ากับชายหนุ่มที่ถือน้ำทุ่งอยู่ด้านล่าง
“ขุนกาฬ ห้ามมิให้ท่านทำกระไรทั้งสิ้น”
พระสุรเสียงขององค์หญิงกัณฐิมาศดังขึ้น พร้อมกับพระวรองค์ที่ปรากฏขึ้นยังขอบชานด้านบนพระตำหนัก
“เกล้ากระหม่อมจะสั่งสอนมันให้หลาบจำ ต่อไปจะได้สำนึกตนไว้พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายยังคงยืนนิ่ง เชิดหน้ามิหวั่นไหว
“ข้าพเจ้ามีภาระต้องตักน้ำเติมใส่ตุ่ม ไม่มีเวลามายุ่งเกี่ยวกับพวกท่านหรอก” ว่าแล้วชายหนุ่มเตรียมเบี่ยงกายเดินพ้นไป
คำที่ว่า “ไม่..ยุ่งเกี่ยวกับพวกท่าน” ทำให้สีพระพักตร์ของพระองค์หญิงมึนตึงขึ้นมาทันที...
พระนางนั้นทรงพยายามขับไล่ขุนกาฬซึ่งรุกล้ำเข้ามาในพระตำหนัก หลังจากเจ้าตัวเพิ่งจะเร่งเดินทางมาจากชากังราวทันทีที่ทราบข่าวเรื่องพระนางเสด็จกลับสุโขทัย ทั้งยังสืบเสาะรู้ว่าพระนางเกิดเรื่องราวใดขึ้นกับชายผู้มาอาศัยยังสำนักช่าง นับว่าอิทธิพลและหูตาของขุนศึกผู้นี้มีมากมายจริงๆ
พลันทอดพระเนตรเห็นขุนกาฬกระชากน้ำทุ่งหลุดออกจากมือแสงพราย น้ำสาดซัดกระเซ็นไปทั่ว
“ขุนกาฬ... ท่านไม่กลัวหรือว่า เขาจะมีวิชาอาวุธติดตัว คนผู้นี้หยิ่งยโสนัก หาได้เกรงกลัวใครไม่ บางทีอาจจะเป็นขุนศึกจากแดนใต้ปลอมแปลงมาก็เป็นได้ ท่านอาจจะต้องระวังตัวไว้บ้าง”
พระองค์หญิงทรงเปลี่ยนท่าทีไปทันที จากที่ทรงห้ามปรามเมื่อครู่ก่อนหน้า บัดนี้คล้ายเตรียมทอดพระเนตรชมการดิ้นรนเอาตัวรอดของชายหนุ่ม
“หึหึ เกล้ากระหม่อมรู้แต่ว่ามันเป็นลูกไพร่ไร้พ่อแม่ แล้วมาตามหาญาติพี่น้องที่เมืองเหนือ น่าเสียดายปู่หลวงไม่น่าจะรับคนอย่างนี้ไว้ในสำนักเลย... ทหาร ส่งดาบให้มัน แล้วเอาหวายมาให้ข้า”
เสียงดาบถูกชักออกจากฝัก จากนั้นพุ่งปักลงมายังพื้นดินไม่ห่างจากปลายเท้าแสงพรายนัก ในขณะที่ทหารอีกคนนำหวายมามอบให้ผู้เป็นนาย
“เจ้าจงจับดาบขึ้นมาสู้ เราจะใช้เพียงมือซ้ายกับหวายนี้เท่านั้น”
แสงพรายก้มมองดูดาบที่เปลือยคมปักอยู่ตรงหน้า กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าพเจ้ามาทำงานเป็นบ่าวชั่วคราวของพระองค์หญิง หาได้มาทำตัวเป็นนักเลงเที่ยวหาเรื่องวิวาทกับผู้ใดไม่ ท่านเองก็เป็นแขกผู้มาเยือนจะกระทำสิ่งใดก็ควรกราบทูลถามพระองค์ผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักเสียก่อน”
“เจ้านี่มันช่างปากดีนัก จงหยิบดาบขึ้นมา อย่าให้เราต้องทำร้ายคนไม่มีอาวุธเลย”
ขณะที่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย พระนางผู้เป็นเจ้าของพระตำหนักพลันรับสั่งดังกังวานขึ้น
“ท่านกล่าวว่า มาเป็นบ่าวชั่วคราวในตำหนักเรา.. ถ้ากระนั้นจงกระทำตามคำสั่งเราอย่าได้บิดพลิ้ว...” พระสุรเสียงช่วงท้ายหนักแน่นเด็ดขาด ก่อนจะมีพระบัญชาว่า
“จงหยิบดาบขึ้นมา”
แสงพรายเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งตกใจทั้งเจ็บปวดใจระคนกัน...
ชายหนุ่มหลับตาลง สูดลมหายใจลึก มือขวาค่อยๆ เอื้อมไปยังด้ามดาบที่ปักอยู่ตรงหน้า...
“เรารู้ว่าท่านมีวิชาอาวุธติดตัว ลำพังมือซ้ายและไม้หวายคงไม่พอมือของท่านหรอก จงจับดาบไล่ขุนกาฬไปให้พ้นจากตำหนักเรา”
เพียงวูบหนึ่งแห่งความคิดผุดขึ้น... พระนางทรงต้องการขับไล่ขุนกาฬ หรือทรงปรารถนาให้เราบาดเจ็บกันแน่...
ดาบถูกดึงขึ้นจากพื้นด้วยมือขวา...
ทันใดนั้น ไม้หวายพลันหวดสะบัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสงพรายยกดาบขึ้นรับ แรงปะทะจากไม้หวายรุนแรงนักจนดาบที่ถือแทบปลิวหลุดมือ แขนแสงพรายเจ็บแปลบแต่ยังพยายามกุมดาบไว้ให้มั่น
ปลายท่อนหวายวกกลับมากระแทกเข้าใส่ลิ้นปี่ของชายหนุ่ม แล้วดีดงัดขึ้นตีปลายคางจนเลือดสาดกระเด็น
อาการจุกกลางลำตัวและความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านตรงคาง แทบทำให้สติของชายหนุ่มดับไป แต่แล้วพลันรู้สึกปวดชาที่มือเมื่อถูกไม้หวายฟาดใส่จนดาบหลุดลอยออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” พระสุรเสียงดังลั่น
แต่ช้าไปแล้ว ท่อนหวายโหมตีกระหน่ำ ทั้งกกหูและลำตัวจนแสงพรายล้มคว่ำไปกับพื้น
ขุนปราบยังมิหนำใจ ยืนคร่อมร่างแล้วหวดฟาดลงซ้ำๆ ที่ลำตัวและศีรษะของชายหนุ่ม
เสียงต่อสู้วุ่นวายได้ชักนำทหารรักษาความปลอดภัยบริเวณพระตำหนักให้รุดมา แต่เมื่อเห็นเป็นขุนกาฬ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของเมือง ต่างก็มิกล้ากระทำสิ่งใด
ในช่วงเวลาแห่งความบ้าคลั่ง... ปลายดาบซึ่งหลุดกระเด็นไปจากมือของแสงพรายพลันชี้พุ่งตรงมายังใบหน้าของขุนกาฬ...
ผู้ที่ทรงกุมดาบเล่มนั้น คือองค์หญิงกัณฐิมาศซึ่งรีบเสด็จลงมาจากพระตำหนัก
“ท่านจะหยุด หรือจะให้เราคืนดาบเล่มนี้ไว้กับร่างของท่าน”
ขุนกาฬก้าวพ้นออกไปจากร่างที่คร่อมอยู่ พร้อมยื่นมือขวาไปจับสันดาบไว้
“พระองค์น่าจะทรงขอบใจเกล้ากระหม่อมที่ช่วยสั่งสอนไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ให้นะพระเจ้าค่ะ”
“ท่านออกไปจากตำหนักเราได้แล้ว”
พระสุรเสียงกระแทกกระทั้น ทั้งทรงสลัดพระหัตถ์ปล่อยด้ามดาบคืนไป
ขุนกาฬรับดาบไว้ ปราดมองร่างที่จมอยู่กับกองเลือด สีหน้ายิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ก่อนจะพาทหารจากไปได้ทิ้งคำกราบทูลว่า...
“แล้วเกล้ากระหม่อมจะกลับมาเฝ้าพระองค์ใหม่ พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงทรุดพระวรองค์ลงกับร่างที่หมดสติ ทรงช้อนพระหัตถ์รองศีรษะชายหนุ่ม เลือดแดงข้นยังคงไหลทะลักจากศีรษะสู่ใบหน้า
พระองค์หญิงคล้ายทรงสำนึกเสียพระทัยในสิ่งที่เกิดขึ้น...
ริมพระโอษฐ์สั่นระริก น้ำพระเนตรหยดหยาดลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม แม้จะเพียงไม่กี่หยดแต่ก็รดเป็นสายรวมไปกับเลือดคาวข้น...
-----------------------------------
“คนเจ็บถูกพาขึ้นไปรักษาอยู่บนเรือนด้านหลัง”
เสียงนางข้าหลวงบอกตำแหน่งของแสงพราย
พิไลรีบวิ่งนำหน้านางข้าหลวงที่ชี้นิ้วบอกทางไปยังเรือนเล็กด้านหลังพระตำหนัก พอขึ้นบันไดไปจนถึงขั้นบนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างแสงพรายนอนอยู่บนฟูกกลางเรือน มีองค์หญิงกัณฐิมาศประทับอยู่ด้านข้าง
หญิงสาวหันรีหันขวาง สุดท้ายคลานเข้าไปหา ก้มกราบแล้วจึงกราบทูลว่า
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉันพิไลมาจากสำนักบ้านเงินบ้านทอง เกล้ากระหม่อมฉันฟังว่าแสงพรายอยู่บนเรือนนี้จึงได้ผลุนผลันขึ้นมา ต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย เพคะ” พลางชำเลืองตาไปทางนางข้าหลวงที่ตามขึ้นมาทีหลัง เป็นเชิงซัดทอด
“ไม่เป็นไรหรอก พิไล” พระนางรับสั่งด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา พระเนตรจับจ้องอยู่แต่ดวงหน้าของชายหนุ่มซึ่งบัดนี้มีผ้าพันแผลรอบศีรษะและปลายคาง
“แสงพรายเป็นอย่างไรมากไหมเพคะ พระองค์”
“หมอหลวงมารักษาอาการตั้งแต่เที่ยงแล้ว เป็นบาดแผลทางผิวกายที่ปริแตกเป็นส่วนใหญ่ จะมีก็เพียงศีรษะที่กระทบกระเทือนเพราะแรงฟาดตี ท่านหมอบอกว่าบางทีกลางดึกคืนนี้อาจจะได้สติ”
“โถ ไม่น่าเลย...” พิไลรำพึง สีหน้าพลอยเศร้าขึ้นเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่ม กราบทูลว่า
“พอพ่อปู่หลวงรู้เรื่องจากนางข้าหลวงที่พระองค์รับสั่งให้ไปส่งข่าวที่สำนักก็กังวลใจ เกล้ากระหม่อมฉันจึงอาสามาดูอาการ เพราะไม่อยากให้พ่อปู่มาเห็นสภาพด้วยตนเอง เกรงท่านจะเสียใจ... พ่อปู่รักเอ็นดูเขามาก แม้จะเพิ่งมาอยู่ด้วยเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม”
“คนอย่างเขา ไปไหนน่าจะมีแต่คนรัก แต่เขาก็ทำตัวเองให้น่ารังเกียจ” พระองค์หญิงทรงพึมพำขึ้น
พิไลแม้จะรู้สึกพิศวงในพระดำรัสของพระนางแต่ก็เห็นพ้องด้วย จึงกราบทูลไปว่า
“ใช่เพคะ เขาเป็นคนหยิ่งยโสจนน่ารังเกียจ แค่มีฝีมือช่างติดตัวก็ทะนงเกินตัวแล้วเพคะ”
พระนางซึ่งทรงเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มมาค่อนวัน เมื่อได้รับสั่งสนทนากับหลานสาวแห่งสำนักช่างก็คลายความรู้สึกอึดอัดพระทัย อีกทั้งทรงรู้สึกถูกชะตากับพิไล จึงรับสั่งถามว่า
“แล้วเขาไม่รู้วิชาการต่อสู้บ้างหรือ”
“ไม่หรอกเพคะ เห็นเป็นชายร่างใหญ่อย่างนี้แต่เรี่ยวแรงไม่ได้ต่างจากผู้หญิงสักเท่าใด จะหยิบจะฉวยของหนักแต่ละทีดูอืดอาดยืดยาด เรื่องจะให้จับดาบฟาดอาวุธคงไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนตีบาดเจ็บขนาดนี้หรอกเพคะ”
องค์หญิงทรงขมวดพระขนงด้วยความครุ่นคิด รับสั่งเพียงว่า
“หรือเขาจะมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอยู่”
แต่พิไลกลับกราบทูลเรื่องสำคัญขึ้นว่า
“พระองค์หญิงเพคะ เรื่องที่ทรงให้นางข้าหลวงแจ้งไปที่สำนักว่าจะให้แสงพรายพักรักษาตัวอยู่ที่พระตำหนัก พ่อปู่ฝากให้เกล้ากระหม่อมฉันกราบทูลว่า... เกรงจะเป็นการรบกวนพระองค์หญิงและดูไม่งาม จึงจะขอพาตัวแสงพรายกลับไปรักษาตัวที่สำนัก เพคะ”
“พิไล... เจ้าก็เห็นอยู่ว่าเขาบาดเจ็บมากแค่ไหน จะเคลื่อนย้ายพาตัวไปคงกระทบกระเทือนบาดแผล อีกอย่างถ้าปู่ครูเห็นสภาพของเขาจะมิพลอยเป็นกังวลแย่หรือ เรื่องนี้เจ้าก็พูดเองมิใช่หรือ”
“แต่...”
“อีกอย่าง คนเจ็บก็นอนพักอยู่ในเรือนเล็กนี้ หาได้อยู่บนตำหนักเดียวกับเราไม่ เรื่องความควรหรือไม่ควร ไม่ต้องว่าแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเราเป็นสาเหตุ พิไลจงให้โอกาสเราได้ไถ่โทษเถิด หากแม้อาการเขาทรุดหนักลง เราจะเรียกหมอหลวงมาคอยดูอาการเอง อย่าได้ห่วงเลย”
“เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันจะเรียนพ่อปู่ตามที่พระองค์หญิงรับสั่ง”
(มีต่อ)