.
บทที่ ๒๔ ขึ้นแบบองค์พระ
“ยังไงข้าก็ต้องกำจัดไอ้คนแปลกถิ่นผู้นี้ให้พ้นไปจากเมืองให้จงได้”
ค่ำแล้ว แต่ความโกลาหลในบ้านพักของขุนทัพใหญ่แห่งเมืองสุโขทัยยังไม่จบสิ้น เมื่อหลานชายของท่านคือขุนกาฬเกือบก่อเรื่องขึ้นเป็นคำรบสอง
“เจ้านี่ช่างไม่รู้ความ ต่อให้แปลกถิ่นย้ายฐานอย่างไรแต่เมื่อเข้าไปอยู่ในพระตำหนักก็ต้องถือเป็นคนขององค์หญิงกัณฐิมาศ ครั้งก่อนเจ้าไปทุบทำร้ายคนถึงในเขตพระตำหนักจนพระนางกราบทูลฟ้องพระมเหสีและมีคำสั่งห้ามไม่ให้เจ้าเหยียบย่างเข้าสู่เขตพระตำหนัก... หนอย ค่ำนี้ยังจะกล้าก้าวล่วงเข้าไปอีก ดีนะที่ทหารมาแจ้งเรา จึงพาตัวเจ้าออกมาก่อน หาไม่ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงองค์พ่อขุน ตัวเจ้าจะโดนข้อหากบฏ” ขุนไกรหาญกล่าวบริภาษหลานชายด้วยความเดือดดาล
ตัวท่านเป็นขุนทัพใหญ่ผู้คุมอำนาจทหารทั้งหมดของกรุงสุโขทัยย่อมตระหนักดีถึงสิ่งที่หลานชายกระทำว่ามีโทษมหันต์เพียงใด การขัดขืนรับสั่งที่เพิ่งตกมาเพียง ๑๐ วัน โดยบุกรุกพระตำหนักของเจ้านางในยามวิกาลย่อมเท่ากับโทษกบฏ
“แล้วท่านอาจะให้ข้านิ่งดูดายอยู่กระนั้นหรือ ไอ้เจ้าลูกช่างจากเมืองนครฯ ตอนนี้มันนอนอยู่บนเรือนในหลังพระตำหนักใหญ่ มีแต่คนคอยประคบประหงม แม้แต่พระองค์หญิงเองก็ทรงเป็นห่วงเป็นใยมันเหลือเกิน” ขุนกาฬกล่าวเถียงไม่ลดละ
“ก็เจ้าเป็นคนก่อเรื่องไปทำร้ายเขาปางตาย จะไม่ให้พระนางทรงเป็นห่วงและดูแลได้อย่างไร อีกอย่างคนเจ็บก็เป็นคนของปู่หลวงที่พระนางทรงขอมาทำงานที่พระตำหนัก”
“ท่านอา ท่านไม่รู้หรอก มันเป็นเพียงคนโทษที่กระทำผิดต้องมาทำงานชดใช้ หาใช่เป็นคนดีแต่ที่ไหน ข้าไปสั่งสอนมันก็ถูกแล้ว แต่ตอนนี้มันมาทำสำออยเป็นเจ็บให้พระองค์หญิงทรงดูแลรักษา... พระนางเองก็ไม่น่าจะทรงลดพระองค์ไปดูแลมัน ถึงขนาดทรงอยู่เฝ้ายามวิกาล”
“นี่เจ้าอย่าได้พูดพล่อยๆ อย่างนี้ จะพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติยศของพระนางได้”
“ก็มันเป็นความจริง นางข้าหลวงที่ข้าคอยให้เบี้ยให้อัฐเลี้ยงไว้ส่งข่าวบอกกับคนของข้ามาว่าพระองค์หญิงทรงดูแลไอ้ช่างคนนี้เกินขนาด”
“ชะ.. เจ้าบังอาจเลี้ยงคนไปจนถึงพระตำหนักข้างในเลยหรือ... อย่าทำให้เรื่องต้องบานปลายมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นการที่หวังใจจะได้อภิเษกสมรสกับพระองค์หญิง เห็นทีจะต้องยุติลงเพราะการกระทำอันไร้ความคิดของเจ้า”
ขุนกาฬถึงกับหน้าถอดสีหยุดอาการคลุ้มคลั่ง เมื่อได้ยินว่าจะยุติการอภิเษกสมรสกับองค์หญิงที่ตนหมายปอง กล่าวเสียงเบาลงว่า
“ท่านอา...ท่านก็รู้ว่าข้ามีใจต่อพระองค์หญิง พอรู้ว่าพระนางเสด็จกลับเข้าเมืองมา ข้าก็รีบควบม้ามาจากชากังราวทันที ครั้งแรกข้าโกรธที่มีคนลบหลู่หมิ่นพระเกียรติยศของพระนางจึงได้พลั้งมือทำร้ายไป ส่วนวันนี้ข้าวู่วามเอง ข้าสัญญาจะไม่ประพฤติเช่นนี้อีกแล้ว”
ขุนพลใหญ่ผู้คุมกองทัพสุโขทัยเห็นหน้าและฟังน้ำเสียงคร่ำครวญของหลานรักก็อดเอ็นดูมิได้
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ระวังไว้... เจ้าออกจากเมืองชากังราวโดยไม่มีเหตุข้อราชการก็ผิดหนึ่ง ไปทำร้ายคนในอาณัติและในเขตพระตำหนักขององค์หญิงกัณฐิมาศก็ผิดอีกหนึ่ง... ต่อไปห้ามมิให้เกิดเรื่องอีก มิเช่นนั้นต่อให้ฝีมือเจ้าเป็นเลิศเหนือผู้ใด องค์พ่อขุนก็อาจทรงคลายพระเมตตาที่มีต่อเจ้าเป็นแน่”
“หลานจะจำคำของท่านอาไว้ให้มั่น จะไม่ทำให้ท่านอาผิดหวังเด็ดขาด”
ปากแม้กล่าววาจา แต่ใจนั้นยังคงริษยาแสงพรายที่นอนรักษาตัวอยู่ในเรือนหลังพระตำหนักเจ้านางมิได้
-----------------------------------
เช้าแล้ว เสียงพิไลทักทายอยู่กับนางข้าหลวงสายพิน สักครู่จึงขึ้นเรือนมาพร้อมหม้อใส่ข้าวต้ม ขึ้นมาแล้วก็ไม่พูดกระไร ก้มๆ เงยๆ พิจารณาดูหน้าและอาการคนเจ็บที่นอนอยู่กลางเรือน แล้วก็เดินไปหยิบถ้วยชามและช้อนที่อยู่บนเรือนมาตักข้าวต้มออกจากหม้อ ไอความร้อนโชยมาพร้อมกลิ่นหอมของข้าวต้มสุก
“ขอบใจแม่พิไลมากที่มาคอยดูแล ครั้งนี้บาดเจ็บจนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนไปกันหมด” เสียงของชายหนุ่มกล่าวทั้งที่ยังนอนอยู่
“ไม่ต้องมาขอบใจ ที่ต้องเทียวมานี่ก็เพราะพ่อปู่สั่ง... รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ดีแล้ว ทีหลังจะได้ไม่ทำยโสโอหังไม่ประมาณตน”
พิไลกล่าวไม่มีหางเสียงเช่นเคยแถมถือโอกาสติเตียน พลางยื่นถ้วยอาหารมาวางอยู่ข้างตัวแสงพราย
“เอ้า จะกินเมื่อไหร่ก็กินนะ” แล้วฉากตัวออกไปนั่งอยู่ห่างๆ
แสงพรายค่อยๆ ทรงตัวขึ้นนั่ง ความร้อนบนผิวชามข้าวต้มสัมผัสผ่านสองมือที่ประคอง ปลุกสติให้ตื่นตัว นอกจากความรู้สึกอ่อนแรงแล้ว อาการเจ็บปวดบริเวณแขนและลำตัวคล้ายจะหายไป ไม่รู้สึกแล้ว
เมื่อรับอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว นางข้าหลวงสายพินก็ขึ้นมาบนเรือน ถามว่า
“พระองค์หญิงรับสั่งให้มาถามว่า อาการของท่านเป็นอย่างไร ยังมีเจ็บปวดตรงไหนอยู่อีกบ้าง”
“ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก แทบจะไม่มีอาการเจ็บปวดแผลหรือกล้ามเนื้อภายในเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว พระองค์หญิงจะได้ทรงหมดห่วง... เดี๋ยวพิไลตามฉันไปพบพระนางด้วยนะ”
“จ้ะ” พิไลรับคำ แล้วเดินตามกันลงจากเรือนไป
ทุกเช้าพิไลจะรีบตื่นมาจัดแจงหุงข้าวต้มให้แสงพรายที่นอนซม หลังจากตัวเองรับอาหารเช้าที่สำนักบ้านเงินบ้านทองเสร็จก็จะรีบนำอาหารมาให้คนเจ็บ ทั้งอยู่ดูแลจนเย็นจึงกลับ
“มาแล้วหรือพิไล” องค์หญิงกัณฐิมาศทรงทักขึ้น เมื่อหญิงสาวถวายความเคารพ
“เพคะ มาได้สักครู่หนึ่งแล้ว”
“วันก่อนที่คุยกันเรื่องจะให้พิไลสอนปั้นรูป เช้านี้เราให้คนเตรียมสิ่งของไว้พร้อมแล้วนะ”
รับสั่งพลางทรงชำเลืองไปยังถาดซึ่งมีใบตองรองอยู่ ในถาดจัดวางไว้ด้วยสีผึ้งอย่างดีหลายก้อน
“องค์หญิงทรงต้องการที่จะเรียนปั้นรูปจริงๆ หรือเพคะ”
“ก็ใช่นะสิ ไม่อย่างนั้นจะให้คนเตรียมหาก้อนสีผึ้งมาหรือ อย่างไรพิไลก็ห้ามบิดพลิ้ว ต้องสอนเราแล้ว”
“ได้เพคะ” พิไลยิ้มระรื่นรับพระดำรัส แล้วคลานไปหยิบถาดซึ่งทรงเตรียมไว้มา
สายพินนั้นเมื่อขึ้นบนพระตำหนักมาก็ไม่เห็นพระองค์หญิงจะทรงถามไถ่เรื่องที่รับสั่งให้ตนไปกระทำ ครั้นเห็นพระนางทรงเริ่มจับก้อนสีผึ้งขึ้นมาพร้อมพิไล จึงรีบคลานเข้าไปนำผ้าดิบสะอาดมาห่มคลุมภูษาทรงบริเวณพระเพลา (ตัก) จนถึงข้อพระบาท (ข้อเท้า) ถวาย แล้วกราบทูลว่า
“องค์หญิงเพคะ ที่รับสั่งให้หม่อมฉันไปถามอาการของแสงพราย เจ้าตัวบอกว่าอาการบาดเจ็บหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว เพคะ”
ทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้ แล้วทรงเพลินอยู่กับการรับฟังเรื่องการขึ้นรูปที่จะปั้นจากพิไล ทั้งพระนางและหญิงสาวดูเหมือนจะไม่สนใจอาการของคนป่วยกระไรเลย จนสายพินต้องคำนึงอยู่ในใจ...
“
แปลกทีเดียว ตอนที่แสงพรายสลบพระองค์หญิงทรงไปเฝ้าดูอยู่จนดึกดื่น แม้แต่เช็ดตัวก็คอยรับสั่งให้ทหารขึ้นมากระทำให้เป็นระยะ ขณะที่พระเถระชรามารักษาอาการก็ทรงห่วงใยซักถามอยู่ตลอดเวลา ครั้นแสงพรายฟื้นได้สติมาเมื่อ ๓ วันก่อนก็คล้ายมิทรงใส่พระทัยแล้ว ทรงขึ้นไปดูอาการและรับสั่งด้วยเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ทรงก้าวขึ้นไปบนเรือนคนเจ็บอีกเลย แค่รับสั่งถามอาการจากคนรอบข้างเอา.. เฮ้อ ช่างคาดเดาน้ำพระทัยไม่ได้เลยจริงๆ... ส่วนแม่พิไลก็ไม่ต่างกันนักพอคนเจ็บฟื้นขึ้นมากิริยาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่รายนี้ยังพอจับเค้าได้ว่าแสร้งทำปั้นปึ่งกับแสงพราย...”
สายพินเฝ้าดูเจ้านายของตนทรงเรียนวิชากับพิไล ในใจก็คิดไปต่างๆ นานา สักครู่ได้ยินเสียงคนถวายงานสอนร้องทักขึ้นมา
“แปลกจัง.. องค์หญิงทรงเคยฝึกเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่าเพคะ จึงทรงจับขึ้นรูปช้างได้คล่องแคล่วชำนาญเพคะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงหยุดพระหัตถ์ รอยแย้มพระสรวลคลายลงทันที
“มีคนเคยสอนเรานานมาแล้ว แต่ก็สอนได้แค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเอง”
ทรงลงปลายดรรชนีบนก้อนสีผึ้ง ซึ่งบัดนี้ปรากฏเป็นรูปช้างยืน
“แล้วทรงเรียนปั้นรูปอะไรมาบ้างเพคะ”
“รูปช้าง รูปตุ๊กตาหญิง ชาย และรูป...”
ยังไม่ทันที่พระนางจะทรงตอบคำครบถ้วน ก็ทรงเห็นนางข้าหลวงอีกคนรีบร้อนขึ้นมาบนพระตำหนัก
“องค์หญิงเพคะ ปู่หลวงแสงคำจากสำนักบ้านเงินบ้านทองมาขอเข้าเฝ้า เพคะ”
“ไปรีบเชิญท่านปู่ครูขึ้นมาเถิด”
รับสั่งแล้วพระองค์หญิงก็ทรงจุ่มพระหัตถ์ลงในขันน้ำใหญ่ที่เตรียมไว้ ชำระเศษสีผึ้งออกจนสะอาดแล้วซับด้วยภูษา
ปู่หลวงนั้นเคยมาเยี่ยมดูอาการของแสงพรายครั้งยังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ และเคยขอรับตัวคนเจ็บกลับไปรักษาต่อที่สำนัก แต่พระองค์หญิงทรงท้วงว่าแสงพรายอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของพระนางอยู่ ๑๐ วัน ถ้าจะมอบกลับไปเกรงผู้คนจะตำหนิว่าไม่ดูแลคนในสังกัดเมื่อเจ็บป่วยได้ยาก จึงขอให้พักความคิดที่จะพาตัวแสงพรายกลับไปยังสำนักก่อน ต่อเมื่อครบ ๑๐ วันแล้วค่อยมาเจรจากันใหม่ ปู่หลวงจำต้องทิ้งศิษย์ในสำนักของตนไว้ยังเรือนด้านในของพระตำหนักต่อไป
ครั้งนี้ปู่หลวงขึ้นมาบนพระตำหนักด้วยสีหน้าแจ่มใสกว่าครั้งก่อน คาดว่าคงเพราะพิไลคอยรายงานอาการของคนเจ็บที่หายวันหายคืนนั่นเอง
“เชิญเถิดท่านปู่ครู” พระนางตรัสต้อนรับขึ้นก่อนอย่างไม่ถือพระองค์และธรรมเนียม
“ขอเดชะ ด้วยพระเมตตาของพระองค์หญิง ครั้งก่อนได้ละโทษมหันต์ของแสงพรายไว้ บัดนี้ยังทรงพระกรุณารักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นของเจ้าตัวจนทุเลาฟื้นคืนสติ เกล้ากระหม่อมเห็นว่าบัดนี้ครบกำหนด ๑๐ วันที่แสงพรายต้องมาอยู่ในอาณัติของพระองค์แล้ว จึงอยากจะกราบทูลขอตัวคนเจ็บไปดูแลต่อยังสำนักของเกล้ากระหม่อม เพื่อไม่ให้เป็นภาระของพระองค์ต่อไป พระเจ้าค่ะ”
พระองค์หญิงทรงชำเลืองดูพิไลที่ตอนนี้หรุบตาลงต่ำหลบสายพระเนตร ทรงดำริในพระทัย มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าปู่ครูหัวหน้าสำนักจะตามมาเข้าเฝ้าเพื่อขอตัวแสงพรายในช่วงสาย... ทรงแย้มพระสรวล รับสั่งขึ้น
“ปู่ครูอย่าได้เกรงใจเราไปเลย คนของปู่ครูเมื่อมาอยู่กับเราก็นับเป็นคนของเรา บาดเจ็บอย่างไรก็ต้องดูแลรักษาจนหาย ก็เมื่อครบกำหนด ๑๐ วันแล้ว เราก็ขอคืนคนให้ปู่ครูท่านแล้วกัน... แต่เราจะขอตัวพิไลไว้ จะพอได้หรือไม่”
ทั้งปู่หลวงและพิไลถึงกับงงงัน
“พระองค์จะทรงขอตัวพิไลไว้ทำอะไรหรือ พระเจ้าค่ะ”
“ท่านปู่ครูอย่าลืมเสียสิ แสงพรายนั้นแต่เดิมต้องมาอยู่ทำงานรับใช้เราเป็นเวลา ๑๐ วัน แต่แล้วก็เกิดเหตุเสียก่อนต้องบาดเจ็บล้มป่วย หาได้ทำงานหรือธุระสิ่งใดให้เราไม่ เมื่อท่านรับตัวศิษย์ของท่านกลับไป เราจึงอยากจะขอรั้งตัวพิไลไว้แทน โดยให้อยู่สอนเราปั้นรูปหล่อ และมาที่ตำหนักวันเว้นวัน จนครบ ๑๐ วัน เราจะมอบเบี้ยอัฐให้ ถือเป็นค่าจ้าง”
ปู่หลวงรับฟังแล้วก็เห็นจริงตามที่พระองค์หญิงรับสั่ง อีกทั้งเป็นการสอนมิใช่งานหนักใช้แรงกายแต่อย่างใด จึงยินยอม
“เป็นพระกรุณาพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมจะให้พิไลมาถวายงานสอนพระองค์ที่พระตำหนักตามพระประสงค์ ส่วนเบี้ยอัฐนั้นไม่ขอรับ พระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจท่านปู่ครูที่กรุณา ส่วนเบี้ยอัฐเราต้องให้กับพิไลเพราะเขามาสอนเรา มิได้เหมือนแสงพรายที่ทำผิดแล้วมาทำงานไถ่โทษ”
เมื่อตกลงกันแล้ว ปู่หลวงจึงกราบลา แล้วพาแสงพรายกลับสำนักไป
-----------------------------------
“เจ้านี่เก่งจริงๆ นะ เจ็บขนาดนี้ยังเดินกลับมาได้”
ครูพิธานทักแสงพรายขึ้นทันทีที่เห็นมีเพียงคนประคองพาเดินเข้าสำนักมา ปล่อยให้ช่างซึ่งติดตามปู่หลวงไปอีก ๒ คนต้องหิ้วแคร่เปล่ากลับมา
“จะเอาขึ้นนอนแคร่หามก็ไม่ยอม ก็เลยต้องประคองเดินมาอย่างนี้แหละ... เอ้า พาไปนอนที่ห้องพักเขาเถอะ” ปู่หลวงทั้งกล่าวกับครูพิธาน และทั้งสั่งกับช่างที่ติดตามไป
“เดี๋ยวพ่อปู่พักให้หายเหนื่อยก่อนนะ ข้ามีแบบร่างองค์พระอันใหม่จะให้ดู” ในมือถือแผ่นกระดานชนวน สีหน้ายิ้มย่องระคนตื่นเต้นดีใจ
“เฮ้อ.. ไหนเอามาดูเลยสิ” ปู่หลวงถอนหายใจ แล้วเดินนำไปยังโรงช่าง
แสงพรายผละออกจากคนที่ประคองมา “เดี๋ยวข้าเดินไปเอง ขอบใจท่านมากนะ” แต่เมื่อหลุดออกจากวงแขนที่ประคอง กลับเดินตามปู่หลวงและครูพิธานเข้าไปในโรงช่าง
“อ้าว มานี่ทำไม ไปนอนพักเถอะ ให้อาการเจ็บป่วยมันหายดีก่อน” ปู่หลวงขับไล่ด้วยใจเมตตา
“ข้าพเจ้าขออยู่รับฟังแบบองค์พระที่พ่อครูร่างไว้ด้วยคนได้ไหม เพื่อเป็นบุญได้ศึกษาหาความรู้ใส่ตัว”
“เอ้าๆ อยากดูอยากฟังก็ตามใจ”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒๔ ขึ้นแบบองค์พระ
บทที่ ๒๔ ขึ้นแบบองค์พระ
“ยังไงข้าก็ต้องกำจัดไอ้คนแปลกถิ่นผู้นี้ให้พ้นไปจากเมืองให้จงได้”
ค่ำแล้ว แต่ความโกลาหลในบ้านพักของขุนทัพใหญ่แห่งเมืองสุโขทัยยังไม่จบสิ้น เมื่อหลานชายของท่านคือขุนกาฬเกือบก่อเรื่องขึ้นเป็นคำรบสอง
“เจ้านี่ช่างไม่รู้ความ ต่อให้แปลกถิ่นย้ายฐานอย่างไรแต่เมื่อเข้าไปอยู่ในพระตำหนักก็ต้องถือเป็นคนขององค์หญิงกัณฐิมาศ ครั้งก่อนเจ้าไปทุบทำร้ายคนถึงในเขตพระตำหนักจนพระนางกราบทูลฟ้องพระมเหสีและมีคำสั่งห้ามไม่ให้เจ้าเหยียบย่างเข้าสู่เขตพระตำหนัก... หนอย ค่ำนี้ยังจะกล้าก้าวล่วงเข้าไปอีก ดีนะที่ทหารมาแจ้งเรา จึงพาตัวเจ้าออกมาก่อน หาไม่ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงองค์พ่อขุน ตัวเจ้าจะโดนข้อหากบฏ” ขุนไกรหาญกล่าวบริภาษหลานชายด้วยความเดือดดาล
ตัวท่านเป็นขุนทัพใหญ่ผู้คุมอำนาจทหารทั้งหมดของกรุงสุโขทัยย่อมตระหนักดีถึงสิ่งที่หลานชายกระทำว่ามีโทษมหันต์เพียงใด การขัดขืนรับสั่งที่เพิ่งตกมาเพียง ๑๐ วัน โดยบุกรุกพระตำหนักของเจ้านางในยามวิกาลย่อมเท่ากับโทษกบฏ
“แล้วท่านอาจะให้ข้านิ่งดูดายอยู่กระนั้นหรือ ไอ้เจ้าลูกช่างจากเมืองนครฯ ตอนนี้มันนอนอยู่บนเรือนในหลังพระตำหนักใหญ่ มีแต่คนคอยประคบประหงม แม้แต่พระองค์หญิงเองก็ทรงเป็นห่วงเป็นใยมันเหลือเกิน” ขุนกาฬกล่าวเถียงไม่ลดละ
“ก็เจ้าเป็นคนก่อเรื่องไปทำร้ายเขาปางตาย จะไม่ให้พระนางทรงเป็นห่วงและดูแลได้อย่างไร อีกอย่างคนเจ็บก็เป็นคนของปู่หลวงที่พระนางทรงขอมาทำงานที่พระตำหนัก”
“ท่านอา ท่านไม่รู้หรอก มันเป็นเพียงคนโทษที่กระทำผิดต้องมาทำงานชดใช้ หาใช่เป็นคนดีแต่ที่ไหน ข้าไปสั่งสอนมันก็ถูกแล้ว แต่ตอนนี้มันมาทำสำออยเป็นเจ็บให้พระองค์หญิงทรงดูแลรักษา... พระนางเองก็ไม่น่าจะทรงลดพระองค์ไปดูแลมัน ถึงขนาดทรงอยู่เฝ้ายามวิกาล”
“นี่เจ้าอย่าได้พูดพล่อยๆ อย่างนี้ จะพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติยศของพระนางได้”
“ก็มันเป็นความจริง นางข้าหลวงที่ข้าคอยให้เบี้ยให้อัฐเลี้ยงไว้ส่งข่าวบอกกับคนของข้ามาว่าพระองค์หญิงทรงดูแลไอ้ช่างคนนี้เกินขนาด”
“ชะ.. เจ้าบังอาจเลี้ยงคนไปจนถึงพระตำหนักข้างในเลยหรือ... อย่าทำให้เรื่องต้องบานปลายมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นการที่หวังใจจะได้อภิเษกสมรสกับพระองค์หญิง เห็นทีจะต้องยุติลงเพราะการกระทำอันไร้ความคิดของเจ้า”
ขุนกาฬถึงกับหน้าถอดสีหยุดอาการคลุ้มคลั่ง เมื่อได้ยินว่าจะยุติการอภิเษกสมรสกับองค์หญิงที่ตนหมายปอง กล่าวเสียงเบาลงว่า
“ท่านอา...ท่านก็รู้ว่าข้ามีใจต่อพระองค์หญิง พอรู้ว่าพระนางเสด็จกลับเข้าเมืองมา ข้าก็รีบควบม้ามาจากชากังราวทันที ครั้งแรกข้าโกรธที่มีคนลบหลู่หมิ่นพระเกียรติยศของพระนางจึงได้พลั้งมือทำร้ายไป ส่วนวันนี้ข้าวู่วามเอง ข้าสัญญาจะไม่ประพฤติเช่นนี้อีกแล้ว”
ขุนพลใหญ่ผู้คุมกองทัพสุโขทัยเห็นหน้าและฟังน้ำเสียงคร่ำครวญของหลานรักก็อดเอ็นดูมิได้
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ระวังไว้... เจ้าออกจากเมืองชากังราวโดยไม่มีเหตุข้อราชการก็ผิดหนึ่ง ไปทำร้ายคนในอาณัติและในเขตพระตำหนักขององค์หญิงกัณฐิมาศก็ผิดอีกหนึ่ง... ต่อไปห้ามมิให้เกิดเรื่องอีก มิเช่นนั้นต่อให้ฝีมือเจ้าเป็นเลิศเหนือผู้ใด องค์พ่อขุนก็อาจทรงคลายพระเมตตาที่มีต่อเจ้าเป็นแน่”
“หลานจะจำคำของท่านอาไว้ให้มั่น จะไม่ทำให้ท่านอาผิดหวังเด็ดขาด”
ปากแม้กล่าววาจา แต่ใจนั้นยังคงริษยาแสงพรายที่นอนรักษาตัวอยู่ในเรือนหลังพระตำหนักเจ้านางมิได้
-----------------------------------
เช้าแล้ว เสียงพิไลทักทายอยู่กับนางข้าหลวงสายพิน สักครู่จึงขึ้นเรือนมาพร้อมหม้อใส่ข้าวต้ม ขึ้นมาแล้วก็ไม่พูดกระไร ก้มๆ เงยๆ พิจารณาดูหน้าและอาการคนเจ็บที่นอนอยู่กลางเรือน แล้วก็เดินไปหยิบถ้วยชามและช้อนที่อยู่บนเรือนมาตักข้าวต้มออกจากหม้อ ไอความร้อนโชยมาพร้อมกลิ่นหอมของข้าวต้มสุก
“ขอบใจแม่พิไลมากที่มาคอยดูแล ครั้งนี้บาดเจ็บจนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนไปกันหมด” เสียงของชายหนุ่มกล่าวทั้งที่ยังนอนอยู่
“ไม่ต้องมาขอบใจ ที่ต้องเทียวมานี่ก็เพราะพ่อปู่สั่ง... รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ดีแล้ว ทีหลังจะได้ไม่ทำยโสโอหังไม่ประมาณตน”
พิไลกล่าวไม่มีหางเสียงเช่นเคยแถมถือโอกาสติเตียน พลางยื่นถ้วยอาหารมาวางอยู่ข้างตัวแสงพราย
“เอ้า จะกินเมื่อไหร่ก็กินนะ” แล้วฉากตัวออกไปนั่งอยู่ห่างๆ
แสงพรายค่อยๆ ทรงตัวขึ้นนั่ง ความร้อนบนผิวชามข้าวต้มสัมผัสผ่านสองมือที่ประคอง ปลุกสติให้ตื่นตัว นอกจากความรู้สึกอ่อนแรงแล้ว อาการเจ็บปวดบริเวณแขนและลำตัวคล้ายจะหายไป ไม่รู้สึกแล้ว
เมื่อรับอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว นางข้าหลวงสายพินก็ขึ้นมาบนเรือน ถามว่า
“พระองค์หญิงรับสั่งให้มาถามว่า อาการของท่านเป็นอย่างไร ยังมีเจ็บปวดตรงไหนอยู่อีกบ้าง”
“ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก แทบจะไม่มีอาการเจ็บปวดแผลหรือกล้ามเนื้อภายในเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว พระองค์หญิงจะได้ทรงหมดห่วง... เดี๋ยวพิไลตามฉันไปพบพระนางด้วยนะ”
“จ้ะ” พิไลรับคำ แล้วเดินตามกันลงจากเรือนไป
ทุกเช้าพิไลจะรีบตื่นมาจัดแจงหุงข้าวต้มให้แสงพรายที่นอนซม หลังจากตัวเองรับอาหารเช้าที่สำนักบ้านเงินบ้านทองเสร็จก็จะรีบนำอาหารมาให้คนเจ็บ ทั้งอยู่ดูแลจนเย็นจึงกลับ
“มาแล้วหรือพิไล” องค์หญิงกัณฐิมาศทรงทักขึ้น เมื่อหญิงสาวถวายความเคารพ
“เพคะ มาได้สักครู่หนึ่งแล้ว”
“วันก่อนที่คุยกันเรื่องจะให้พิไลสอนปั้นรูป เช้านี้เราให้คนเตรียมสิ่งของไว้พร้อมแล้วนะ”
รับสั่งพลางทรงชำเลืองไปยังถาดซึ่งมีใบตองรองอยู่ ในถาดจัดวางไว้ด้วยสีผึ้งอย่างดีหลายก้อน
“องค์หญิงทรงต้องการที่จะเรียนปั้นรูปจริงๆ หรือเพคะ”
“ก็ใช่นะสิ ไม่อย่างนั้นจะให้คนเตรียมหาก้อนสีผึ้งมาหรือ อย่างไรพิไลก็ห้ามบิดพลิ้ว ต้องสอนเราแล้ว”
“ได้เพคะ” พิไลยิ้มระรื่นรับพระดำรัส แล้วคลานไปหยิบถาดซึ่งทรงเตรียมไว้มา
สายพินนั้นเมื่อขึ้นบนพระตำหนักมาก็ไม่เห็นพระองค์หญิงจะทรงถามไถ่เรื่องที่รับสั่งให้ตนไปกระทำ ครั้นเห็นพระนางทรงเริ่มจับก้อนสีผึ้งขึ้นมาพร้อมพิไล จึงรีบคลานเข้าไปนำผ้าดิบสะอาดมาห่มคลุมภูษาทรงบริเวณพระเพลา (ตัก) จนถึงข้อพระบาท (ข้อเท้า) ถวาย แล้วกราบทูลว่า
“องค์หญิงเพคะ ที่รับสั่งให้หม่อมฉันไปถามอาการของแสงพราย เจ้าตัวบอกว่าอาการบาดเจ็บหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว เพคะ”
ทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้ แล้วทรงเพลินอยู่กับการรับฟังเรื่องการขึ้นรูปที่จะปั้นจากพิไล ทั้งพระนางและหญิงสาวดูเหมือนจะไม่สนใจอาการของคนป่วยกระไรเลย จนสายพินต้องคำนึงอยู่ในใจ...
“แปลกทีเดียว ตอนที่แสงพรายสลบพระองค์หญิงทรงไปเฝ้าดูอยู่จนดึกดื่น แม้แต่เช็ดตัวก็คอยรับสั่งให้ทหารขึ้นมากระทำให้เป็นระยะ ขณะที่พระเถระชรามารักษาอาการก็ทรงห่วงใยซักถามอยู่ตลอดเวลา ครั้นแสงพรายฟื้นได้สติมาเมื่อ ๓ วันก่อนก็คล้ายมิทรงใส่พระทัยแล้ว ทรงขึ้นไปดูอาการและรับสั่งด้วยเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ทรงก้าวขึ้นไปบนเรือนคนเจ็บอีกเลย แค่รับสั่งถามอาการจากคนรอบข้างเอา.. เฮ้อ ช่างคาดเดาน้ำพระทัยไม่ได้เลยจริงๆ... ส่วนแม่พิไลก็ไม่ต่างกันนักพอคนเจ็บฟื้นขึ้นมากิริยาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่รายนี้ยังพอจับเค้าได้ว่าแสร้งทำปั้นปึ่งกับแสงพราย...”
สายพินเฝ้าดูเจ้านายของตนทรงเรียนวิชากับพิไล ในใจก็คิดไปต่างๆ นานา สักครู่ได้ยินเสียงคนถวายงานสอนร้องทักขึ้นมา
“แปลกจัง.. องค์หญิงทรงเคยฝึกเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่าเพคะ จึงทรงจับขึ้นรูปช้างได้คล่องแคล่วชำนาญเพคะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงหยุดพระหัตถ์ รอยแย้มพระสรวลคลายลงทันที
“มีคนเคยสอนเรานานมาแล้ว แต่ก็สอนได้แค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเอง”
ทรงลงปลายดรรชนีบนก้อนสีผึ้ง ซึ่งบัดนี้ปรากฏเป็นรูปช้างยืน
“แล้วทรงเรียนปั้นรูปอะไรมาบ้างเพคะ”
“รูปช้าง รูปตุ๊กตาหญิง ชาย และรูป...”
ยังไม่ทันที่พระนางจะทรงตอบคำครบถ้วน ก็ทรงเห็นนางข้าหลวงอีกคนรีบร้อนขึ้นมาบนพระตำหนัก
“องค์หญิงเพคะ ปู่หลวงแสงคำจากสำนักบ้านเงินบ้านทองมาขอเข้าเฝ้า เพคะ”
“ไปรีบเชิญท่านปู่ครูขึ้นมาเถิด”
รับสั่งแล้วพระองค์หญิงก็ทรงจุ่มพระหัตถ์ลงในขันน้ำใหญ่ที่เตรียมไว้ ชำระเศษสีผึ้งออกจนสะอาดแล้วซับด้วยภูษา
ปู่หลวงนั้นเคยมาเยี่ยมดูอาการของแสงพรายครั้งยังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ และเคยขอรับตัวคนเจ็บกลับไปรักษาต่อที่สำนัก แต่พระองค์หญิงทรงท้วงว่าแสงพรายอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของพระนางอยู่ ๑๐ วัน ถ้าจะมอบกลับไปเกรงผู้คนจะตำหนิว่าไม่ดูแลคนในสังกัดเมื่อเจ็บป่วยได้ยาก จึงขอให้พักความคิดที่จะพาตัวแสงพรายกลับไปยังสำนักก่อน ต่อเมื่อครบ ๑๐ วันแล้วค่อยมาเจรจากันใหม่ ปู่หลวงจำต้องทิ้งศิษย์ในสำนักของตนไว้ยังเรือนด้านในของพระตำหนักต่อไป
ครั้งนี้ปู่หลวงขึ้นมาบนพระตำหนักด้วยสีหน้าแจ่มใสกว่าครั้งก่อน คาดว่าคงเพราะพิไลคอยรายงานอาการของคนเจ็บที่หายวันหายคืนนั่นเอง
“เชิญเถิดท่านปู่ครู” พระนางตรัสต้อนรับขึ้นก่อนอย่างไม่ถือพระองค์และธรรมเนียม
“ขอเดชะ ด้วยพระเมตตาของพระองค์หญิง ครั้งก่อนได้ละโทษมหันต์ของแสงพรายไว้ บัดนี้ยังทรงพระกรุณารักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นของเจ้าตัวจนทุเลาฟื้นคืนสติ เกล้ากระหม่อมเห็นว่าบัดนี้ครบกำหนด ๑๐ วันที่แสงพรายต้องมาอยู่ในอาณัติของพระองค์แล้ว จึงอยากจะกราบทูลขอตัวคนเจ็บไปดูแลต่อยังสำนักของเกล้ากระหม่อม เพื่อไม่ให้เป็นภาระของพระองค์ต่อไป พระเจ้าค่ะ”
พระองค์หญิงทรงชำเลืองดูพิไลที่ตอนนี้หรุบตาลงต่ำหลบสายพระเนตร ทรงดำริในพระทัย มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าปู่ครูหัวหน้าสำนักจะตามมาเข้าเฝ้าเพื่อขอตัวแสงพรายในช่วงสาย... ทรงแย้มพระสรวล รับสั่งขึ้น
“ปู่ครูอย่าได้เกรงใจเราไปเลย คนของปู่ครูเมื่อมาอยู่กับเราก็นับเป็นคนของเรา บาดเจ็บอย่างไรก็ต้องดูแลรักษาจนหาย ก็เมื่อครบกำหนด ๑๐ วันแล้ว เราก็ขอคืนคนให้ปู่ครูท่านแล้วกัน... แต่เราจะขอตัวพิไลไว้ จะพอได้หรือไม่”
ทั้งปู่หลวงและพิไลถึงกับงงงัน
“พระองค์จะทรงขอตัวพิไลไว้ทำอะไรหรือ พระเจ้าค่ะ”
“ท่านปู่ครูอย่าลืมเสียสิ แสงพรายนั้นแต่เดิมต้องมาอยู่ทำงานรับใช้เราเป็นเวลา ๑๐ วัน แต่แล้วก็เกิดเหตุเสียก่อนต้องบาดเจ็บล้มป่วย หาได้ทำงานหรือธุระสิ่งใดให้เราไม่ เมื่อท่านรับตัวศิษย์ของท่านกลับไป เราจึงอยากจะขอรั้งตัวพิไลไว้แทน โดยให้อยู่สอนเราปั้นรูปหล่อ และมาที่ตำหนักวันเว้นวัน จนครบ ๑๐ วัน เราจะมอบเบี้ยอัฐให้ ถือเป็นค่าจ้าง”
ปู่หลวงรับฟังแล้วก็เห็นจริงตามที่พระองค์หญิงรับสั่ง อีกทั้งเป็นการสอนมิใช่งานหนักใช้แรงกายแต่อย่างใด จึงยินยอม
“เป็นพระกรุณาพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมจะให้พิไลมาถวายงานสอนพระองค์ที่พระตำหนักตามพระประสงค์ ส่วนเบี้ยอัฐนั้นไม่ขอรับ พระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจท่านปู่ครูที่กรุณา ส่วนเบี้ยอัฐเราต้องให้กับพิไลเพราะเขามาสอนเรา มิได้เหมือนแสงพรายที่ทำผิดแล้วมาทำงานไถ่โทษ”
เมื่อตกลงกันแล้ว ปู่หลวงจึงกราบลา แล้วพาแสงพรายกลับสำนักไป
-----------------------------------
“เจ้านี่เก่งจริงๆ นะ เจ็บขนาดนี้ยังเดินกลับมาได้”
ครูพิธานทักแสงพรายขึ้นทันทีที่เห็นมีเพียงคนประคองพาเดินเข้าสำนักมา ปล่อยให้ช่างซึ่งติดตามปู่หลวงไปอีก ๒ คนต้องหิ้วแคร่เปล่ากลับมา
“จะเอาขึ้นนอนแคร่หามก็ไม่ยอม ก็เลยต้องประคองเดินมาอย่างนี้แหละ... เอ้า พาไปนอนที่ห้องพักเขาเถอะ” ปู่หลวงทั้งกล่าวกับครูพิธาน และทั้งสั่งกับช่างที่ติดตามไป
“เดี๋ยวพ่อปู่พักให้หายเหนื่อยก่อนนะ ข้ามีแบบร่างองค์พระอันใหม่จะให้ดู” ในมือถือแผ่นกระดานชนวน สีหน้ายิ้มย่องระคนตื่นเต้นดีใจ
“เฮ้อ.. ไหนเอามาดูเลยสิ” ปู่หลวงถอนหายใจ แล้วเดินนำไปยังโรงช่าง
แสงพรายผละออกจากคนที่ประคองมา “เดี๋ยวข้าเดินไปเอง ขอบใจท่านมากนะ” แต่เมื่อหลุดออกจากวงแขนที่ประคอง กลับเดินตามปู่หลวงและครูพิธานเข้าไปในโรงช่าง
“อ้าว มานี่ทำไม ไปนอนพักเถอะ ให้อาการเจ็บป่วยมันหายดีก่อน” ปู่หลวงขับไล่ด้วยใจเมตตา
“ข้าพเจ้าขออยู่รับฟังแบบองค์พระที่พ่อครูร่างไว้ด้วยคนได้ไหม เพื่อเป็นบุญได้ศึกษาหาความรู้ใส่ตัว”
“เอ้าๆ อยากดูอยากฟังก็ตามใจ”
(มีต่อ)