ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๖ วิชาผนึกห้าธาตุ

.
                                                  

บทที่ ๓๖ วิชาผนึกห้าธาตุ

เสียงโขมงโฉงเฉงดังลั่นขึ้นในโรงครัว
พวกช่างสำนักบ้านเงินบ้านทองต่างร่วมวงกินอาหารมื้อเช้าด้วยความสุขใจ ต่างกินไปหยอกล้อกันไปด้วยความครื้นเครง มีเพียงแสงพรายที่นั่งกินข้าวเงียบๆ ตามนิสัยเฉพาะตัว

“อ้าว พี่พิไลลงมามีเรื่องอันใด หรือจะมาร่วมวงกินข้าวกับพวกฉัน” จุกกล่าวทักขึ้นทันทีที่พิไลปรากฏร่างยังโรงครัว
“ฉันแค่มาบอกแสงพรายว่าพ่อปู่จะให้ไปรับทองจากในวังกับพ่อพิธาน กินข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นไปหาพ่อปู่ซะ จะได้เจรจากัน”

ทองที่พิไลกล่าวถึงคือทองคำซึ่งองค์พ่อขุนโปรดให้ขุนวังนำมาพระราชทานต่อสำนักบ้านเงินบ้านทองและสำนักพุทธาไลยเพื่อหล่อแบบองค์พระในการประกวดรอบสุดท้าย

“ที่จริงพี่พรายก็ว่าจะขึ้นไปหาปู่หลวงอยู่แล้ว จะเอาผ้าแพรพรรณที่ได้รับพระราชทานมาไปไหว้ปู่หลวง นี่ก็หยิบยืมพานของน้าหมานใส่เตรียมไว้แล้ว” จุกรีบชิงพูดตามประสาเด็กช่างเจรจาและอวดรู้ “เอ...แต่มีอยู่ผืนหนึ่งเห็นว่าเป็นผ้าแพรพรรณสำหรับผู้หญิง พี่พรายจะให้ใครเอ่ย” จุกพูดไปก็แสร้งทำหน้าคล้ายซักไซ้กับแสงพราย

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่มีเสียงช่างคนหนึ่งดังขึ้น
“ผ้าเอาขึ้นไปบนเรือนใหญ่ หญิงสาวคนไหนอยู่บนเรือนก็รับไปสิ”

สิ้นคำเรียกเสียงหัวเราะดังทั้งโรงครัว แต่พิไลถึงกลับหน้าแดงเขินอาย กล่าวตอบโต้ทั้งรอยอมยิ้มบนใบหน้า
“นี่...พี่พรายเขายังไม่ได้พูดกระไรเลย พูดเองเออเองกันอยู่นั่นละ...ฉันจะไปกินข้าวละ” กล่าวแล้วก็หันกายจะจากไป

“เอ ทุกทีเวลาปู่หลวงให้มาสั่งความก็ต้องรอกินข้าวกับปู่หลวงให้เสร็จเสียก่อน วันนี้มาแปลก ลงมาก่อนจะกินข้าวเสียอีก” เสียงช่างคนเดิมกล่าวอีก
“ก็เดี๋ยวนี้คนเค้ากินข้าวไม่ลง ถ้าไม่ได้เห็นหน้ากันก่อน” เสียงหนึ่งตอบกลับ พร้อมกับเสียงเฮฮาลั่นโรงครัว

พิไลรีบเดินงุดๆ จากไป ใจนั้นสั่นรัว เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกว่าเสียงหยอกล้อของเหล่านายช่างทำให้นางประหม่าเขินอายได้ พลางคำนึงขึ้น...นี่ถ้าเราไม่รีบหันหลังเดินออกมา ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไร

ในโรงครัวมีเพียง ๓ คนที่ไม่ได้หัวเราะครื้นเครงร่วมกับคนอื่นๆ หนึ่งคือแสงพรายผู้มีวิสัยเงียบขรึมอมเศร้าเป็นปกติ สองคือคำแปงผู้พลาดโอกาสปั้นแบบองค์พระเพราะถูกสับเปลี่ยนกลับไปทำงานซ่อมซุ้มประตูวัดต่อหลังแสงพรายถูกคาดโทษที่พระตำหนักของพระองค์หญิง และคนสุดท้ายคือบุญจันที่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ออกอาการจนเด่นชัด

“เป็นไรอ้ายจัน นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ยังกังวลเรื่องแม่ป่วยอยู่เหรอ” เพื่อนช่างทักขึ้น
“อือ” บุญจันสะบัดหน้าเชิดคางขึ้น ไม่อยากพูดอยากจา
“ไม่ใช่แม่ตัวหรอก... เป็นห่วงแม่นางมั้ง ที่อาการเริ่มจะไม่ค่อยดี” จุกปากไว
“ไอ้จุก เอ็งหุบปากหุบคำไว้บ้างดีกว่า” น้าหมานห้ามปรามขึ้นทันที
บุญจันตาลุกวาว แต่ไม่พูดกระไร


ปู่หลวง ครูพิธานและพิไลรับข้าวมื้อเช้าเสร็จแล้วจึงเรียกคนครัวให้ขึ้นมายกสำรับอาหารลงไปเก็บ สักครู่น้าศรีคนครัวกับหญิงสาวอีกคนเดินขึ้นมากระวีกระวาดเก็บภาชนะและอาหารทั้งหมดลงเรือนไป คล้อยหลังไม่นานแสงพรายจึงโผล่ขึ้นเรือนมา สองมือประคองพานที่วางไว้ด้วยแพรพรรณพร้อมอัฐเบี้ยพระราชทาน มีพวงดอกกระดังงาวางอยู่ด้านบน

“ไหว้พระเถอะพ่อ” ปู่หลวงกล่าวหลังแสงพรายวางพานลงตรงหน้าแล้วยกมือพนมไหว้ปู่หลวงและครูพิธาน
“แล้วนี่เอาของพวกนี้ใส่พานขึ้นมาทำไม” ปู่หลวงถามต่อเมื่อเห็นพานรองสิ่งของพระราชทาน

“ของพระราชทานพวกนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะนำมาไหว้ปู่หลวง ด้วยปู่ท่านมีพระคุณยิ่งนักให้ที่พักพิงและความรักเมตตา ครั้งนี้โชคดีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากองค์พ่อขุนข้าพเจ้าจึงอยากมอบสิ่งของทั้งหมดนี้เป็นอามิสบูชาแด่ปู่ครู”

ใบหน้าปู่หลวงแย้มยิ้มมีความสุข มือข้างหนึ่งจับไหล่แสงพรายไว้
“เจ้าเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ไม่เห่อเหิม สมแล้วที่เป็นศิษย์ในสำนักของพี่ชายข้า” พลางหยิบพวงดอกกระดังงาที่วางอยู่บนสุดขึ้นจากพาน “ข้าขอรับเพียงดอกกระดังงาของเจ้า จะนำไปไหว้บูชาพระพุทธ”

“แต่...” แสงพรายทักขึ้น
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว... ตัวเจ้าต่อไปในวันข้างหน้าคงต้องเข้าเฝ้าองค์พ่อขุนท่ามกลางหมู่มุขมนตรีอีกหลายเพลา เจ้าจงเก็บแพรพรรณนี้ไว้ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตัวเจ้าเถิด รวมทั้งเบี้ยอัฐก็จงเก็บไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัว... ข้าอายุปูนนี้แล้วทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งของกำนัลพระราชทานก็มากมาย มันไม่มีประโยชน์ใดกับข้าอีกแล้ว”

ปู่หลวงวางมือลงสัมผัสขอบริมของแพรพรรณทั้งสามผืนที่วางซ้อนทับอยู่บนพาน ดึงชายผ้าผืนตรงกลางพื้นสีชมพูออกมาคลี่ดู
ผ้าพื้นสีชมพูแต่เชิงผ้าเป็นสีฟ้าสดใส ปักดิ้นทองลายดอกพิกุลเด่นแวววาว

“ผืนนี้สำหรับอิสตรี เจ้าอย่าเพิ่งเก็บไว้เลย จงมอบให้กับสตรีผู้หนึ่งเถิด”
“สุดแท้แต่ปู่หลวงเถิด จะให้มอบต่อผู้ใดข้าพเจ้ายินดีกระทำทั้งสิ้น”

ปู่หลวงผงกศีรษะ “อืม ผ้าผืนนี้เจ้าจงนำไปถวายองค์หญิงกัณฐิมาศเถิด”
แสงพรายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยฉงนในใจ ส่วนพิไลหน้าเจื่อนไป

“เจ้าคงสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงบอกให้นำแพรพรรณพระราชทานผืนนี้ไปถวายแด่องค์หญิงกัณฐิมาศ ทั้งนี้เพราะคำว่าคุณและโทษ...” ปู่หลวงเพ่งจับประกายตาของชายหนุ่ม “เรื่องโทษ เจ้าได้ล่วงเกินพระนางไว้ควรต้องทำงานไถ่โทษที่พระตำหนักถึง ๑๐ วัน แต่เพราะเจ้าบาดเจ็บตั้งแต่วันแรก จึงแทบมิได้กระทำสิ่งใดเป็นการไถ่โทษเลย ครั้นครบกำหนด ๑๐ วัน พระนางก็ทรงพระกรุณาละตัวเจ้า ทำให้เจ้ามีโอกาสได้มาปั้นแบบองค์พระ จนสร้างชื่อให้กับตัวเจ้าในวันนี้”

แสงพรายนั่งฟังความนิ่ง ได้แต่ระบายลมหายใจเบาๆ ปู่หลวงกล่าวต่ออีกประเด็น
“ส่วนพระคุณ ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่พระนางละโทษให้เจ้า จนเรื่องราวไม่ลุกลามถึงพระตำรวจของวังหลวง มิเช่นนั้นป่านนี้เจ้าอาจถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงก็เป็นได้ แค่ตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บข้าได้ยินมาว่าพระนางทรงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ทรงดูแลรักษาอาการของเจ้าอย่างใกล้ชิด หาได้รังเกียจหรือถือพระองค์แต่อย่างใด... ข้าได้ยินมาว่าขุนกาฬนั้นลงได้ลุแก่โทสะแล้วทำร้ายคน ถ้าไม่พิการก็ต้องนอนซมเป็นแรมเดือน ครั้งนี้เป็นเพราะพระเมตตา ทรงไปนิมนต์พระเถระผู้เชี่ยวชาญมารักษาอาการบาดเจ็บจนเจ้าหายเป็นปกติในเวลาอันสั้น”

“ข้าพเจ้าเห็นตามคำของปู่หลวง ผ้าแพรพรรณผืนนี้สมควรถวายแด่พระองค์หญิง... ข้าพเจ้าจะหาโอกาสนำไปถวายในเร็ววันนี้”

“ถ้าจะถวาย ก็จงไปแต่ในวันนี้เลย อย่าได้ผัดผ่อน” แล้วปู่หลวงก็หันมาทางหญิงสาว “พิไล เจ้าช่วยพาแสงพรายไปเข้าเฝ้าพระนางเถิด เจ้าสนิทคุ้นเคยกับทหารและข้าหลวงนางในพระตำหนัก อีกอย่างจะได้ช่วยกำกับไม่ให้เจ้าหนุ่มนี้ไปแสดงกิริยากระด้างกระเดื่องให้เป็นที่ระคายเคืองพระทัยอีก”

“ได้จ้ะ” พิไลรับคำ แม้วันนี้จะไม่ใช่วันที่เจ้าตัวต้องเข้าเฝ้าถวายงาน แต่ก็ยินดีจะได้เข้าเฝ้าพระนาง อีกทั้งยินดีไปกับแสงพราย
“ส่วนเรื่องผ้าแพรพรรณที่จะให้พี่พรายตัดเย็บเป็นชุดไว้นุ่งห่มเข้าเฝ้าในวัง ฉันว่าเขาคงไม่มีเวลามาทำหรอก แค่ยุ่งกับเรื่องหล่อแบบองค์พระก็หมดเวลาแล้ว... ฉันว่า..ฉันตัดเย็บให้เองดีกว่า”
พิไลแม้อ้ำอึ้งในตอนท้าย แต่ก็ตัดใจกล่าวไปต่อหน้าชายหนุ่มและบิดาของตน

...และก็โล่งใจทันทีที่ปู่หลวงสนับสนุน

“อืม ดีเหมือนกัน.. เจ้าเป็นคนที่มีฝีมือทางตัดเย็บก็ช่วยจัดทำให้ “พี่” เขาสักชุดสองชุดก็แล้วกัน” ปู่หลวงใช้คำ “พี่” ตามคำที่พิไลเริ่มเปลี่ยนคำเรียกหาต่อชายหนุ่ม

ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาว สายตาราบเรียบสงบนิ่งแต่น้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบใจแม่พิไลที่กรุณาต่อข้า”

พิไลยิ้มเขินอายในใบหน้า แต่พยายามปั้นหน้าให้ดูนิ่งไว้ หัวใจนั้นพองโตไปกับคำกล่าวขอบใจของชายหนุ่ม จากนั้นจึงได้ยินบิดาของตนสั่งความต่อแสงพรายและนัดหมายกันไปรับทองจากขุนวัง จนเมื่อเงยหน้ามองเต็มตาอีกครั้ง จึงเห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มก้าวเดินลงเรือนใหญ่ไป
พลันยินเสียงปู่หลวงกล่าวรำพึงออกมา

“เป็นคนหนุ่มที่แปลกมาก... เรื่องเกียรติยศชื่อเสียงที่กำลังได้รับก็ดูไม่ใคร่ใส่ใจ คล้ายไม่ต้องการสิ่งใดในชีวิต แม้เมื่อข้าพูดพาดพิงถึงขุนกาฬที่ทำร้ายเขาเจียนตาย ก็ไม่มีท่าทีขุ่นเคืองหรือติดใจอาฆาต”

พิไลหันไปมองพ่อปู่ เห็นทอดสายตาไปยังชานบันไดเรือน จุดที่แสงพรายลับหายไป...

“อืม...ก็จริงอย่างพ่อปู่ว่า ข้าว่าดูๆ ไปคล้ายคนหมดอาลัยในชีวิต ดูแววตาแล้วบางครั้งก็ดูเลื่อนลอยพิกลๆ แต่บางครั้งก็ดูมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง...บอกไม่ถูกเหมือนกัน” เสียงพ่อพิธานตั้งข้อสังเกต

“ข้าไม่รู้ว่าชีวิตของเจ้าหนุ่มคนนี้ผ่านเจออะไรมาบ้าง แต่หวังว่าความสำเร็จในการหล่อแบบองค์พระจะจุดประกายแห่งชีวิตของเขากลับมาอีกครั้ง”

ความสำเร็จในการหล่อแบบองค์พระ... คำนี้กลับเสียดแทงใจครูพิธานประหลาดนัก
ในขณะผู้เป็นบุตรสาวเพียงรู้สึกสะท้อนใจในคำเอ่ยอ้างถึงชายหนุ่มที่ว่า... หมดอาลัยในชีวิต

นางเห็นปู่หลวงมองพวงดอกกระดังงาที่อยู่ในมือ กล่าวถ้อยคำด้วยเสียงแหบพร่า

“แสงพรายเอย ขอให้เจ้าประสบความรุ่งเรือง มีชื่อเสียงขจรไกลดุจดอกกระดังงาที่เจ้ามอบให้ข้านี้ด้วยเถิด...”

-----------------------------------

พิไลนำแสงพรายเข้าสู่บริเวณสวนข้างพระตำหนัก

องค์หญิงกัณฐิมาศประทับบนพระแท่นใต้ร่มไม้ อาทิตย์อบอุ่นยามเช้าสอดแสงรำไรมาทางเบื้องพระปฤษฎางค์ (หลัง) กระทบรอบเรียวพระศอและปลายไรพระศก (ไรผม) ที่ปรกลงมาจากข้างพระกรรณ ด้วยทรงรวบพระเกศาขึ้นผูกไว้กับรัดเกล้า ยิ่งขับเน้นพระฉวีที่นวลผุดผ่องและพระพักตร์งามพิลาสล้ำ แต่สิ่งตรึงใจผู้ได้พบเห็นคือดวงพระเนตรสุกใสและรอยแย้มพระโอษฐ์เรียวบาง ยามรับสั่งนุ่มนวล

“มาหาเรามีกระไรหรือ วันนี้มิใช่วันที่เจ้าจะมาสอนเรานี่” พระสุรเสียงกังวานไพเราะดังขึ้นเบาๆ
“เพคะ ครั้งนี้มิใช่มาถวายงานพระองค์ แต่มีคนจะขอทูลถวายสิ่งของสำคัญบางสิ่งแด่พระองค์เพคะ” พิไลกราบทูล หลังจากได้ทรุดนั่งลงบนพื้นลานแผ่นหินเล็กๆ หน้าพระแท่น และถวายความเคารพพร้อมกับแสงพราย

องค์หญิงกัณฐิมาศทรงชำเลืองไปดูแสงพรายที่นั่งในลำดับถัดไป มิรับสั่งกระไร รอให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยวาจา แต่ชายหนุ่มกลับนั่งก้มหน้านิ่ง
พิไลเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า
“เมื่อวานแสงพรายได้เข้าเฝ้าองค์พ่อขุน ได้รับพระราชทานแพรพรรณมา มีผืนหนึ่งเป็นแพรพรรณมีค่าสำหรับอิสตรี จึงขอนำมาถวายแด่พระองค์เพคะ”

หญิงสาวเขยิบเบี่ยงตัวออกเพื่อให้แสงพรายขยับตำแหน่งเข้ามา มือนั้นก็กระตุกไปที่ปลายแขนเสื้อกึ่งดึงรั้งเข้ามายังตำแหน่งแทนตน
แสงพรายเคลื่อนตัวไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ สองมือประคองพานที่วางไว้ด้วยผ้าไหมสีชมพูแถบชายสีฟ้าปักลายดอกพิกุลดิ้นทองงดงาม

“ท่านบอกเหตุผลก่อน ทำไมจึงคิดนำแพรพระราชทานนี้มาถวายเรา” รับสั่งราบเรียบ แต่นุ่มนวล

แสงพรายเงยหน้าสบสายพระเนตรซึ่งคล้ายจะหยั่งลึกมาถึงจิตใจของตน

“เดิมเกล้ากระหม่อมนำสิ่งของพระราชทานทั้งหมดยกเว้นพระธำมรงค์ไปไหว้แด่ปู่หลวง แต่ปู่หลวงไม่ยอมรับไว้ ทั้งกำชับให้เกล้ากระหม่อมนำแพรพรรณสำหรับอิสตรีผืนนี้มาถวายแด่พระองค์ ด้วยเห็นว่าเกล้ากระหม่อมติดค้างโทษทัณฑ์ที่ได้กระทำไว้ อีกทั้งติดค้างพระกรุณาธิคุณที่มีต่อเกล้ากระหม่อม พระเจ้าค่ะ”

พิไลหน้าเผือดทันทีที่ได้ยินแสงพรายกราบทูลว่าไม่คิดจะนำแพรพรรณมาถวายแต่เดิม หากแต่ถูกกะเกณฑ์มา เช่นเดียวกับองค์หญิงกัณฐิมาศที่ทรงผิดหวังในพระทัยแต่ยังเก็บพระอาการไว้ สีพระพักตร์ประดับด้วยรอยแย้มพระสรวล รับสั่งว่า

“ท่านเป็นคนรู้กตัญญูนัก การที่นำสิ่งของพระราชทานไปไหว้ปู่ครูแต่เดิมเป็นการสมควรยิ่ง... พานนี้ท่านจงวางลงก่อน” ทรงหันมารับสั่งกับหญิงสาว “พิไล เราขอสนทนาตามลำพังกับแสงพรายสักครู่หนึ่งเถิด”

พิไลมองพระพักตร์แล้วหันมามองสีหน้าที่เรียบสงบของชายหนุ่ม ได้แต่รับสนองพระดำรัสด้วยความงุนงง “เพคะ”

จนเมื่อพิไลลับไปแล้ว องค์หญิงกัณฐิมาศจึงรับสั่งขึ้น
“เรารู้ว่าท่านมีวิชาอาวุธติดตัว และฝีมือของท่านก็เหนือกว่าคนทั่วไป.. ท่านช่วยตอบคำถามเราตามความจริงสักข้อหนึ่งจะได้หรือไม่”

แสงพรายมองพระเนตรคมวาวของพระนาง กราบทูลว่า
“สิ่งใดที่เกล้ากระหม่อมสามารถกราบทูลได้ ก็จะกราบทูลถวายทั้งสิ้น พระเจ้าค่ะ”

“แสดงว่าถ้ามีเหตุให้ไม่สามารถกระทำ เช่นมีความจำเป็นต้องปกปิด ก็จะไม่ทูลต่อเราละสิ”

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่