.
บทที่ ๖๓ แสงพรายกับสายน้ำ
รุ่งสาง วันออกพรรษา ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ปีมะเมีย...
เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ต่างพากันเสด็จไปร่วมพิธีทำบุญใหญ่ที่วัดมหาธาตุกลางกรุงสุโขทัย แต่องค์หญิงกัณฐิมาศกลับเสด็จไปยังวัดตระพังทองพร้อมนางข้าหลวงสายพินและทหารติดตาม
“นั่นแสงพรายและแม่พิไล เพคะ” นางสายพินชี้ไปยังสองหนุ่มสาวของสำนักบ้านเงินบ้านทองที่นางจดจำได้ ทั้งสองอยู่ท่ามกลางคนเฒ่าคนแก่และหญิงสาวที่มาไหว้พระตักบาตรทำบุญ
“อย่าไปรบกวนเขาเลย เราก็ไปตักบาตรของเราเถอะ” องค์หญิงกัณฐิมาศรับสั่งแล้วเดินต่อไปยังวิหารที่ตั้งบาตรรอรับภัตตาหาร
“แต่พวกเขาดูเหมือนจะเดินตรงมาหาเรานะ เพคะ”
ไม่นานแสงพรายและพิไล ก็เดินเข้ามาคุกเข่าถวายความเคารพแด่พระองค์หญิง
“พวกท่านมากันนานแล้วหรือ” รับสั่งถามหนุ่มสาวทั้งสอง
พิไลที่ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความสุข กราบทูลขึ้น “เกล้ากระหม่อมฉันและคนของสำนักบ้านเงินบ้านทองมาทำบุญที่วัดแต่เช้าตรู่แล้วเพคะ พ่อปู่และพ่อพิธานตอนนี้อยู่กับพระคุณเจ้าอาวาสในพระอุโบสถเพคะ”
“สำนักบ้านเงินบ้านทองเป็นผู้บูรณะซ่อมแซมวัดตระพังทองจนสวยงามหมดจด สมควรแล้วที่จะมาทำบุญกันในวัดนี้.. ถ้าเช่นนั้นเราขอไปตักบาตรก่อนแล้วค่อยมาพูดจากัน”
“เพคะ”
พอพระองค์หญิงทรงพระดำเนินต่อไป มิรู้เพราะเหตุใดนางข้าหลวงสายพินจึงยังหยุดชะงักอยู่ ณ ที่นั้น
“ท่านแสงพราย โปรดช่วยรับตะกร้าใบนี้แล้วถือตามพระองค์หญิงไปด้วยเถอะ..” นางกล่าวขึ้นเบาๆ ขณะที่องค์หญิงทรงสาวพระบาทออกห่างไป “เราจะขออยู่พูดจากับแม่พิไลที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน” แล้วยัดเยียดตะกร้าใบใหญ่ที่มีทั้งขันข้าว และใบตองห่ออาหารคาวหวานประเภทต่างๆ พร้อมพวงมาลัยดอกไม้ใส่ในมือชายหนุ่ม ก่อนจะจูงมือพิไลออกไปคุยอย่างสนิทสนม
แสงพรายมองดูตะกร้าในมือแล้วรีบตามเสด็จไปยังพระวิหาร
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เร่งตามมาทำให้พระองค์หญิงทรงหยุดและหันพระพักตร์มองมา เมื่อทรงเห็นเป็นแสงพรายจึงรับสั่งว่า
“ไม่ไปอยู่ดูแลพิไลเล่า มาถือตะกร้าอยู่ทำไม”
ภายใต้แสงเงาสีเทาขุ่นของรุ่งสางในวันที่ไอหมอกปกคลุมทั่วบริเวณ ขับเน้นพระพักตร์ที่งดงามบริสุทธิ์ พระปราง (แก้ม) นวลระเรื่อของอิสตรีแรกรุ่น ริมพระโอษฐ์เรียวบางสีแดงอ่อนเชิดรั้งขึ้นน้อยๆ ยามรับสั่ง เป็นภาพที่สะกดชายหนุ่มให้เผลอตัวเหม่อมอง มิได้กราบทูลสิ่งใดกลับไป...
เมื่อรู้พระองค์ว่าถูกสายตาของชายหนุ่มจับจ้อง พระพักตร์ถึงกับแดงซ่าน “ท่านมองเราเช่นนี้ทำไม..”
รับสั่งดุขึ้น
ไม่มีคำกราบทูลใดๆ.. แสงพรายเพียงก้มหน้า แล้วเดินติดตามพระองค์หญิงที่ทรงสาวพระบาทต่อไปยังพระวิหาร ผู้คนต่างจดจำองค์หญิงกัณฐิมาศได้ พากันหลีกทางให้ทรงพระดำเนิน บ้างก้มลงถวายบังคม บ้างหลบหลีกห่างด้วยเกรงพระบารมี.. เสียงชื่นชมพระสิริโฉมและพระสติปัญญาดังไปทั่ว
“เป็นบุญของปู่หลวงแล้ว ที่พระองค์ทรงสางคดีทองคำสูญหายให้.. มิเช่นนั้นป่านนี้สำนักจะเป็นเช่นไรไปแล้ว..”
“ทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศ พระสิริโฉมงดงาม...เป็นบุญของข้าแล้วที่ได้ชมพระบารมีในวันนี้”
“คนที่ติดตามนั่นไง หลานชายของปู่หลวงเป็นราชาสิบสองนักษัตรที่จะต่อสู้กับขุนปราบแม่ทัพใหญ่ของอโยธยา..”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเป็นจุดสนใจของทุกคนในวัดตระพังทอง พลอยทำให้แสงพรายที่เดินติดตามถูกกล่าวถึงไปด้วย..
ทรงรับขันข้าวจากตะกร้าออกมา แล้วทรงทัพพีตักข้าวลงยังบาตรในวิหารทีละใบ มีแสงพรายคอยยื่นตะกร้าที่มีใบตองห่ออาหารคาวอาหารหวานถวาย เมื่อทรงตักอาหารใส่ในบาตรใบสุดท้ายแล้วจึงพนมพระหัตถ์ขึ้น ทรงตั้งจิตอธิษฐาน นำพวงมาลัยดอกไม้ไปกราบไหว้องค์พระประธานภายในพระวิหาร
วัดตระพังทองเป็นวัดที่ล้อมรอบด้วยหนองน้ำที่เรียกกันว่าตระพัง พ้นจากกำแพงวัดก็คือถนน ภายในกำแพงวัดก็คือตระพัง..
องค์หญิงเสด็จออกจากพระวิหารไปยังต้นไม้ใหญ่ริมตระพังน้ำที่ไม่มีผู้คนมากนัก วันนี้เป็นวันออกพรรษาสมควรที่จะมีฝูงชนคึกคักตามวัดต่างๆ แต่ก็พลันเงียบเหงาลงด้วยมหรสพและงานรื่นเริงถูกงด ชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพและยกออกจากเมืองสุโขทัยไปเมื่อวันวาน ตามพระบรมราชโองการให้ขุนไกรหาญเคลื่อนทัพภายใน ๓ วัน.. รวมถึงคนของสำนักบ้านเงินบ้านทองกว่าครึ่งก็ไปทัพสังกัดอยู่ในกองทหารช่าง
“เรื่องที่เราอธิษฐานท่านอยากรู้หรือไม่”
แสงพรายที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องพระพักตร์ มีสีหน้างุนงง “เกล้ากระหม่อมคงมิบังอาจ..”
ทรงแย้มพระสรวลนุ่มนวลให้กับแสงพราย “ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรื่องที่เราอธิษฐานเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวท่าน”
ชายหนุ่มได้แต่มองพระพักตร์ด้วยความแปลกใจ แต่มิกล่าวกระไร
“เราอธิษฐานให้ท่านต่อสู้ชนะขุนปราบ นำชัยมาให้สุโขทัยเรา..”
แสงพรายนิ่งไป ทอดสายตาไปยังหนองน้ำของวัด ลมหนาวกระโชกเข้ามาจนผู้คนที่อยู่ริมตระพังต่างหนาวสั่นเดินหลบออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงแสงพรายและองค์หญิงกัณฐิมาศ
องค์หญิงทรงคลี่แถบผ้าคล้องพระศอมาห่มคลุมพระวรกาย
“ท่านคงได้ยินมาแล้วว่าทัพหลวงและทัพหน้าของอโยธยาเคลื่อนพลรวมกันกว่า ๗ หมื่น ทหารม้า ๑ หมื่น พลช้าง ๒ พัน.. ส่วนฝ่ายเราอาจจะระดมพลได้เพียงครึ่งหนึ่งของทัพอโยธยา เพราะพระเจ้าผากองพระเชษฐาธิราชอาจไม่ทรงส่งทัพมาช่วยรบ"
“ศึกครั้งก่อนทัพเมืองน่านบอบช้ำสูญเสียมากที่สุด ด้วยตั้งทัพอยู่นอกเมืองหวังตีขนาบทัพอโยธยาแต่สุดท้ายพลาดท่าต้องกล กลายเป็นถูกตีขนาบเสียเอง ตัวขุนปราบพร้อมกำลังพลที่เหนือกว่ายกเข้าตีทัพเมืองน่านจนแตกพ่ายถึงขั้นกระทำยุทธหัตถีกัน.. ถ้าเมืองน่านจะมิส่งทัพมาในครั้งนี้ เกล้ากระหม่อมก็มิแปลกใจ พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายกล่าวรำลึกถึงศึกครั้งก่อน ที่ตนแปรพักตร์เข้าช่วยแก้ไขกำลังพลเมืองน่านให้รอดพ้นจากการสิ้นทัพ...
“ท่านรู้หรือไม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราสำนึกในพระคุณของราชาสิบสองนักษัตรที่ช่วยพระเชษฐาธิราชของเรา.. และเรายังมิเคยได้ขอบใจท่านเลย” ทรงย่อพระวรกาย พนมพระหัตถ์ขึ้น.. แสงพรายรีบฉุดรั้งทันที สองมือจับกุมพระหัตถ์ไว้
“อย่าได้ทรงกระทำดังนี้เลย พระองค์มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าฟ้าเมืองน่าน หาสมควรกระทำดังนี้ไม่ พระเจ้าค่ะ”
ลมโชยพัด กลิ่นพระสุคนธ์ (เครื่องหอม) ที่อบร่ำพระวรกายหอมระรื่นรัญจวนใจ...
ชายหนุ่มที่แนบชิดสัมผัสพลันสำนึกในกิริยา ผงะกายถอยห่าง ปล่อยมือที่ยึดกุมพระหัตถ์ออก
“โปรดทรงอภัยให้เกล้ากระหม่อมด้วยเถิด.. พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงหันพระวรกายเบือนพระพักตร์ไปยังหนองน้ำทันที มิอาจเห็นสีพระพักตร์ว่าทรงขุ่นเคืองหรือเป็นเช่นไร
สักครู่ได้ยินรับสั่งแหบพร่าว่า
“ท่านอยู่เมืองนครฯ ฝักใฝ่ในตัวพระราชธิดาองค์เจ้าเมือง อยู่สุพรรณภูมิก็กระทำหยาบช้า ตอนนี้ท่านอยู่สุโขทัย...ได้ล่วงเกินบุตรสาวครูช่างสำนักบ้านเงินบ้านทองหรือยัง..”
แสงพรายยืนนิ่งทันทีที่ได้ยินรับสั่ง...
“เกล้ากระหม่อมมิเคยมีความคิดที่จะล่วงเกินพิไลแม้แต่น้อย ท่านตาแสงคำรักพิไลดั่งหลานสาวแท้ๆ ของท่าน ตัวเกล้ากระหม่อมเองก็เห็นและเอ็นดูนางเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง มิเคยคิดพิสวาสฉันชู้สาวเลย พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์(ด้านหลัง) เห็นเพียงพระองค์หญิงทรงกระชับปลายภูษาที่คลุมพระวรกายขึ้นซับบริเวณพระพักตร์ รับสั่งขึ้น
“ช่างเถอะ...” พระสุรเสียงเบา แหบพร่า “เรื่องสำคัญตอนนี้คือ องค์พ่อขุนอาจทรงตัดสินพระทัยขอทำพิธีประลองขุนศึก วัดผลแพ้ชนะของสงครามด้วยการต่อสู้ของขุนทัพตัวต่อตัว.. หากถึงวันนั้นท่านยังไม่หายบาดเจ็บดี เราเกรงว่า...”
“เกรงเป็นดั่งคำที่ชาวสุโขทัยเล่าลือกันตอนนี้ใช่หรือไม่ พระเจ้าค่ะ”
ทรงหันพระวรกายกลับมาทันที...
สีพระพักตร์และขอบพระเนตรปรากฏเป็นรอยแดง
“ท่านอย่าได้สนใจในคำเล่าลือของชาวเมืองเลยได้หรือไม่.. เราสืบรู้มาว่าเป็นขุนกาฬที่ให้ทหารเที่ยวกระจายปล่อยเรื่องชั่วร้ายออกมา ด้วยหวังจะเป็นผู้เข้าประลองแทนท่าน”
แสงพรายถอนหายใจ สายตาเหม่อไกลไปยังหนองน้ำ รำพึงขึ้น... “ทิพราชาเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง อยู่แห่งใดที่แห่งนั้นก็พินาศ อยู่เมืองนครฯ ก็ก่อกบฏจนราชาเมืองนครวางวาย.. อยู่อโยธยาก็เผาทำลายเสบียงหมดกองทัพ.. มาอยู่สุโขทัย คงพ่ายขุนปราบจนเสียบ้านเสียเมือง”
“นั่นคือวลีคำกล่าวที่ขุนกาฬให้คนลอบออกป่าวประกาศ.. ท่านอย่าได้ใส่ใจหลงกล”
“แต่ข้อความทั้งหมดคือความจริง.. เกล้ากระหม่อมเกิดมาด้วยชะตาเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง อยู่ที่ใดที่นั้นก็พินาศ แม้นสู้อุตส่าห์ตามหาองค์ตุมพะทะนานทองหวังแก้คำสาป แต่ก็มิพบเจอ...” แสงพรายกล่าวออกมาด้วยความเศร้าในหัวใจ
ตอนนี้เดินทางไปแห่งหนใดก็มีผู้กล่าวถึงเรื่องตนเป็นคนอัปมงคล เป็นภูตพรายที่ขึ้นมาจากสายน้ำ.. สุดท้ายถอนหายใจกราบทูลต่อว่า
“พระองค์มิต้องสนพระทัยหรอกว่าเป็นผู้ใดกล่าว...เพราะมันคือถ้อยความจริง พระเจ้าค่ะ”
“ช่วงนี้ท่านคงไปคัดหาม้าศึกตามที่ต่างๆ และได้ยินได้ฟังมา..” ทรงจ้องตาแสงพราย แววพระเนตรแข็งกล้า “ท่านห้ามท้อแท้เด็ดขาด ท่านคือความหวังของสุโขทัย ท่านต้องจำไว้”
แสงพรายฝืนยิ้มเศร้าๆ มิรู้จะกราบทูลเช่นไรอีก...
คนเราจะเป็นความหวังให้ผู้อื่นได้อย่างไร หากแม้นชะตาชีวิตของตนเองมีแต่ต่ำทรามลง...
ทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ สายลมโชยพัดชายผ้าคลุมพระวรกายปลิวไหว องค์หญิงทรงฉวยจับไว้ แสงพรายมองข้อพระกรพลันนึกถึงสิ่งหนึ่งได้ จึงล้วงมือเข้าไปในชายพก หยิบวัตถุจำนวนสองชิ้นออกมา...
“เกล้ากระหม่อมมีของสิ่งหนึ่งจะถวาย พระเจ้าค่ะ”
กราบทูลแล้วชูกำไลทองคำงามแวววาวขึ้นมาคู่หนึ่ง ตัวเรือนกำไลใหญ่เท่าลำนิ้วหัวแม่มือสลักลวดลายช้างสารเกาะเกี่ยวเดินตามกันรายรอบวงกำไล รูปสลักช้างแต่ละเชือกผิดแผกแตกต่างกันทั้งลักษณะรูปร่างและท่าทางการเยื้องกาย
“ช่างสวยงามนัก ท่านทำเองหรือ”
“พระเจ้าค่ะ คราใดที่กลับสำนักก็ใช้เวลาขึ้นแบบแกะลาย จนสุดท้ายนำทองคำจากค่าปรับสินไหมมาหล่อขึ้นวง พระเจ้าค่ะ”
“เรานึกว่ามีแต่พิไลที่ได้ทองจากท่าน”
ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตนมอบทองคำกำนัลแก่พิไล...พระองค์หญิงก็ทรงล่วงรู้
“ในเมื่อท่านจะมอบถวายให้เรา ก็จงสวมให้เราด้วยเถิด”
รับสั่งพลางทรงชูสองพระหัตถ์ขึ้นมารอ
แสงพรายลังเล แล้วในที่สุดก็ค่อยๆ ประคองพระหัตถ์สวมทองพระกร (กำไลมือ) ถวาย
“ทั้งหมดมีรูปช้างพลาย ๑๒ เชือก อยู่วงละ ๖ เชือก พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงชูพระหัตถ์ขึ้นข้างหนึ่ง แล้วหมุนทองพระกรรอบข้อพระหัตถ์ ตัวช้างคล้ายเดินวนตามกันไปราวมีชีวิต ไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านเป็นราชาสิบสองนักษัตร ทำไมไม่ทำเป็นลวดลายรูปสัตว์ ๑๒ ชนิดเหล่านั้น...” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัย “อีกอย่างช้างก็มิได้ถูกนับอยู่ในเหล่านักษัตร”
“เพราะ.. ช้างเป็นสัตว์ซึ่งองค์หญิงโปรดที่สุด เกล้ากระหม่อมจึงทำถวาย พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเหม่อมองลายช้างพลายที่สลักบนทองพระกร ทรงรำพึงขึ้นเบาๆ “เราปั้นช้างได้หลากหลายลักษณะอาการแล้ว.. ความจริงท่านน่าจะตั้งชื่อว่าแสงพลาย พลายที่แปลว่าช้าง”
------------------------------
แสงพรายควบม้าออกไปนอกเมืองฝั่งตะวันออก ลัดเลาะไปตามริมฝั่งน้ำยม...
“ข้ามาหาซื้อม้า ขอดูม้าของท่านหน่อยเถิด” แสงพรายตะโกนบอกกล่าวกับหญิงกลางคนซึ่งกำลังป้อนหญ้าให้กับม้าสามตัวอยู่ใต้ถุนเรือน
เมื่อลงจากหลังม้าที่ขี่มา ผูกไว้กับต้นไม้หน้าเรือนดีแล้ว จึงเดินเข้าไปหายังใต้เรือน
“ม้าดีๆ พวกทหารเขามาซื้อเอาไปรบหมดแล้ว เหลือเจ้าสามตัวนี้ เป็นม้าแก่กับม้าอ่อนอายุไม่กี่เดือน” หญิงกลางคนเจ้าของม้ากล่าวขึ้น
ชายหนุ่มยกสองมือลูบไล้แผงคอม้า เจ้าม้าพลันดีดตัวตะกุยขาหน้า ส่ายหัวส่งเสียงร้องฮี้ดังลั่น
“แปลกดี มันไม่ได้ร้องมาสองหรือสามวันแล้ว ตั้งแต่ข้าขายคู่ของมันให้กองทัพไป” นางกล่าวขึ้นพลางยิ้มร่าด้วยความยินดี “เป็นอะไร ร้องทำไมล่ะ...ดีใจอะไรเหรอ”
หลังจากกล่าวหยอกเย้าม้าของตนแล้ว ก็กล่าวถามแสงพรายขึ้น
“ท่านทำไมถึงไม่ไปรบ สามีข้าก็ไปทัพเมื่อวานนี้แล้ว”
“ข้ามีอาการบาดเจ็บ กำลังรักษาตัวอยู่ ทอดเวลาให้อาการทุเลาสักระยะหนึ่งก็จะรีบติดตามทัพไป”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๖๓ แสงพรายกับสายน้ำ
บทที่ ๖๓ แสงพรายกับสายน้ำ
รุ่งสาง วันออกพรรษา ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ปีมะเมีย...
เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ต่างพากันเสด็จไปร่วมพิธีทำบุญใหญ่ที่วัดมหาธาตุกลางกรุงสุโขทัย แต่องค์หญิงกัณฐิมาศกลับเสด็จไปยังวัดตระพังทองพร้อมนางข้าหลวงสายพินและทหารติดตาม
“นั่นแสงพรายและแม่พิไล เพคะ” นางสายพินชี้ไปยังสองหนุ่มสาวของสำนักบ้านเงินบ้านทองที่นางจดจำได้ ทั้งสองอยู่ท่ามกลางคนเฒ่าคนแก่และหญิงสาวที่มาไหว้พระตักบาตรทำบุญ
“อย่าไปรบกวนเขาเลย เราก็ไปตักบาตรของเราเถอะ” องค์หญิงกัณฐิมาศรับสั่งแล้วเดินต่อไปยังวิหารที่ตั้งบาตรรอรับภัตตาหาร
“แต่พวกเขาดูเหมือนจะเดินตรงมาหาเรานะ เพคะ”
ไม่นานแสงพรายและพิไล ก็เดินเข้ามาคุกเข่าถวายความเคารพแด่พระองค์หญิง
“พวกท่านมากันนานแล้วหรือ” รับสั่งถามหนุ่มสาวทั้งสอง
พิไลที่ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความสุข กราบทูลขึ้น “เกล้ากระหม่อมฉันและคนของสำนักบ้านเงินบ้านทองมาทำบุญที่วัดแต่เช้าตรู่แล้วเพคะ พ่อปู่และพ่อพิธานตอนนี้อยู่กับพระคุณเจ้าอาวาสในพระอุโบสถเพคะ”
“สำนักบ้านเงินบ้านทองเป็นผู้บูรณะซ่อมแซมวัดตระพังทองจนสวยงามหมดจด สมควรแล้วที่จะมาทำบุญกันในวัดนี้.. ถ้าเช่นนั้นเราขอไปตักบาตรก่อนแล้วค่อยมาพูดจากัน”
“เพคะ”
พอพระองค์หญิงทรงพระดำเนินต่อไป มิรู้เพราะเหตุใดนางข้าหลวงสายพินจึงยังหยุดชะงักอยู่ ณ ที่นั้น
“ท่านแสงพราย โปรดช่วยรับตะกร้าใบนี้แล้วถือตามพระองค์หญิงไปด้วยเถอะ..” นางกล่าวขึ้นเบาๆ ขณะที่องค์หญิงทรงสาวพระบาทออกห่างไป “เราจะขออยู่พูดจากับแม่พิไลที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน” แล้วยัดเยียดตะกร้าใบใหญ่ที่มีทั้งขันข้าว และใบตองห่ออาหารคาวหวานประเภทต่างๆ พร้อมพวงมาลัยดอกไม้ใส่ในมือชายหนุ่ม ก่อนจะจูงมือพิไลออกไปคุยอย่างสนิทสนม
แสงพรายมองดูตะกร้าในมือแล้วรีบตามเสด็จไปยังพระวิหาร
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เร่งตามมาทำให้พระองค์หญิงทรงหยุดและหันพระพักตร์มองมา เมื่อทรงเห็นเป็นแสงพรายจึงรับสั่งว่า
“ไม่ไปอยู่ดูแลพิไลเล่า มาถือตะกร้าอยู่ทำไม”
ภายใต้แสงเงาสีเทาขุ่นของรุ่งสางในวันที่ไอหมอกปกคลุมทั่วบริเวณ ขับเน้นพระพักตร์ที่งดงามบริสุทธิ์ พระปราง (แก้ม) นวลระเรื่อของอิสตรีแรกรุ่น ริมพระโอษฐ์เรียวบางสีแดงอ่อนเชิดรั้งขึ้นน้อยๆ ยามรับสั่ง เป็นภาพที่สะกดชายหนุ่มให้เผลอตัวเหม่อมอง มิได้กราบทูลสิ่งใดกลับไป...
เมื่อรู้พระองค์ว่าถูกสายตาของชายหนุ่มจับจ้อง พระพักตร์ถึงกับแดงซ่าน “ท่านมองเราเช่นนี้ทำไม..”
รับสั่งดุขึ้น
ไม่มีคำกราบทูลใดๆ.. แสงพรายเพียงก้มหน้า แล้วเดินติดตามพระองค์หญิงที่ทรงสาวพระบาทต่อไปยังพระวิหาร ผู้คนต่างจดจำองค์หญิงกัณฐิมาศได้ พากันหลีกทางให้ทรงพระดำเนิน บ้างก้มลงถวายบังคม บ้างหลบหลีกห่างด้วยเกรงพระบารมี.. เสียงชื่นชมพระสิริโฉมและพระสติปัญญาดังไปทั่ว
“เป็นบุญของปู่หลวงแล้ว ที่พระองค์ทรงสางคดีทองคำสูญหายให้.. มิเช่นนั้นป่านนี้สำนักจะเป็นเช่นไรไปแล้ว..”
“ทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศ พระสิริโฉมงดงาม...เป็นบุญของข้าแล้วที่ได้ชมพระบารมีในวันนี้”
“คนที่ติดตามนั่นไง หลานชายของปู่หลวงเป็นราชาสิบสองนักษัตรที่จะต่อสู้กับขุนปราบแม่ทัพใหญ่ของอโยธยา..”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเป็นจุดสนใจของทุกคนในวัดตระพังทอง พลอยทำให้แสงพรายที่เดินติดตามถูกกล่าวถึงไปด้วย..
ทรงรับขันข้าวจากตะกร้าออกมา แล้วทรงทัพพีตักข้าวลงยังบาตรในวิหารทีละใบ มีแสงพรายคอยยื่นตะกร้าที่มีใบตองห่ออาหารคาวอาหารหวานถวาย เมื่อทรงตักอาหารใส่ในบาตรใบสุดท้ายแล้วจึงพนมพระหัตถ์ขึ้น ทรงตั้งจิตอธิษฐาน นำพวงมาลัยดอกไม้ไปกราบไหว้องค์พระประธานภายในพระวิหาร
วัดตระพังทองเป็นวัดที่ล้อมรอบด้วยหนองน้ำที่เรียกกันว่าตระพัง พ้นจากกำแพงวัดก็คือถนน ภายในกำแพงวัดก็คือตระพัง..
องค์หญิงเสด็จออกจากพระวิหารไปยังต้นไม้ใหญ่ริมตระพังน้ำที่ไม่มีผู้คนมากนัก วันนี้เป็นวันออกพรรษาสมควรที่จะมีฝูงชนคึกคักตามวัดต่างๆ แต่ก็พลันเงียบเหงาลงด้วยมหรสพและงานรื่นเริงถูกงด ชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพและยกออกจากเมืองสุโขทัยไปเมื่อวันวาน ตามพระบรมราชโองการให้ขุนไกรหาญเคลื่อนทัพภายใน ๓ วัน.. รวมถึงคนของสำนักบ้านเงินบ้านทองกว่าครึ่งก็ไปทัพสังกัดอยู่ในกองทหารช่าง
“เรื่องที่เราอธิษฐานท่านอยากรู้หรือไม่”
แสงพรายที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องพระพักตร์ มีสีหน้างุนงง “เกล้ากระหม่อมคงมิบังอาจ..”
ทรงแย้มพระสรวลนุ่มนวลให้กับแสงพราย “ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรื่องที่เราอธิษฐานเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวท่าน”
ชายหนุ่มได้แต่มองพระพักตร์ด้วยความแปลกใจ แต่มิกล่าวกระไร
“เราอธิษฐานให้ท่านต่อสู้ชนะขุนปราบ นำชัยมาให้สุโขทัยเรา..”
แสงพรายนิ่งไป ทอดสายตาไปยังหนองน้ำของวัด ลมหนาวกระโชกเข้ามาจนผู้คนที่อยู่ริมตระพังต่างหนาวสั่นเดินหลบออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงแสงพรายและองค์หญิงกัณฐิมาศ
องค์หญิงทรงคลี่แถบผ้าคล้องพระศอมาห่มคลุมพระวรกาย
“ท่านคงได้ยินมาแล้วว่าทัพหลวงและทัพหน้าของอโยธยาเคลื่อนพลรวมกันกว่า ๗ หมื่น ทหารม้า ๑ หมื่น พลช้าง ๒ พัน.. ส่วนฝ่ายเราอาจจะระดมพลได้เพียงครึ่งหนึ่งของทัพอโยธยา เพราะพระเจ้าผากองพระเชษฐาธิราชอาจไม่ทรงส่งทัพมาช่วยรบ"
“ศึกครั้งก่อนทัพเมืองน่านบอบช้ำสูญเสียมากที่สุด ด้วยตั้งทัพอยู่นอกเมืองหวังตีขนาบทัพอโยธยาแต่สุดท้ายพลาดท่าต้องกล กลายเป็นถูกตีขนาบเสียเอง ตัวขุนปราบพร้อมกำลังพลที่เหนือกว่ายกเข้าตีทัพเมืองน่านจนแตกพ่ายถึงขั้นกระทำยุทธหัตถีกัน.. ถ้าเมืองน่านจะมิส่งทัพมาในครั้งนี้ เกล้ากระหม่อมก็มิแปลกใจ พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายกล่าวรำลึกถึงศึกครั้งก่อน ที่ตนแปรพักตร์เข้าช่วยแก้ไขกำลังพลเมืองน่านให้รอดพ้นจากการสิ้นทัพ...
“ท่านรู้หรือไม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราสำนึกในพระคุณของราชาสิบสองนักษัตรที่ช่วยพระเชษฐาธิราชของเรา.. และเรายังมิเคยได้ขอบใจท่านเลย” ทรงย่อพระวรกาย พนมพระหัตถ์ขึ้น.. แสงพรายรีบฉุดรั้งทันที สองมือจับกุมพระหัตถ์ไว้
“อย่าได้ทรงกระทำดังนี้เลย พระองค์มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าฟ้าเมืองน่าน หาสมควรกระทำดังนี้ไม่ พระเจ้าค่ะ”
ลมโชยพัด กลิ่นพระสุคนธ์ (เครื่องหอม) ที่อบร่ำพระวรกายหอมระรื่นรัญจวนใจ...
ชายหนุ่มที่แนบชิดสัมผัสพลันสำนึกในกิริยา ผงะกายถอยห่าง ปล่อยมือที่ยึดกุมพระหัตถ์ออก
“โปรดทรงอภัยให้เกล้ากระหม่อมด้วยเถิด.. พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงหันพระวรกายเบือนพระพักตร์ไปยังหนองน้ำทันที มิอาจเห็นสีพระพักตร์ว่าทรงขุ่นเคืองหรือเป็นเช่นไร
สักครู่ได้ยินรับสั่งแหบพร่าว่า
“ท่านอยู่เมืองนครฯ ฝักใฝ่ในตัวพระราชธิดาองค์เจ้าเมือง อยู่สุพรรณภูมิก็กระทำหยาบช้า ตอนนี้ท่านอยู่สุโขทัย...ได้ล่วงเกินบุตรสาวครูช่างสำนักบ้านเงินบ้านทองหรือยัง..”
แสงพรายยืนนิ่งทันทีที่ได้ยินรับสั่ง...
“เกล้ากระหม่อมมิเคยมีความคิดที่จะล่วงเกินพิไลแม้แต่น้อย ท่านตาแสงคำรักพิไลดั่งหลานสาวแท้ๆ ของท่าน ตัวเกล้ากระหม่อมเองก็เห็นและเอ็นดูนางเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง มิเคยคิดพิสวาสฉันชู้สาวเลย พระเจ้าค่ะ”
แสงพรายอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์(ด้านหลัง) เห็นเพียงพระองค์หญิงทรงกระชับปลายภูษาที่คลุมพระวรกายขึ้นซับบริเวณพระพักตร์ รับสั่งขึ้น
“ช่างเถอะ...” พระสุรเสียงเบา แหบพร่า “เรื่องสำคัญตอนนี้คือ องค์พ่อขุนอาจทรงตัดสินพระทัยขอทำพิธีประลองขุนศึก วัดผลแพ้ชนะของสงครามด้วยการต่อสู้ของขุนทัพตัวต่อตัว.. หากถึงวันนั้นท่านยังไม่หายบาดเจ็บดี เราเกรงว่า...”
“เกรงเป็นดั่งคำที่ชาวสุโขทัยเล่าลือกันตอนนี้ใช่หรือไม่ พระเจ้าค่ะ”
ทรงหันพระวรกายกลับมาทันที...
สีพระพักตร์และขอบพระเนตรปรากฏเป็นรอยแดง
“ท่านอย่าได้สนใจในคำเล่าลือของชาวเมืองเลยได้หรือไม่.. เราสืบรู้มาว่าเป็นขุนกาฬที่ให้ทหารเที่ยวกระจายปล่อยเรื่องชั่วร้ายออกมา ด้วยหวังจะเป็นผู้เข้าประลองแทนท่าน”
แสงพรายถอนหายใจ สายตาเหม่อไกลไปยังหนองน้ำ รำพึงขึ้น... “ทิพราชาเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง อยู่แห่งใดที่แห่งนั้นก็พินาศ อยู่เมืองนครฯ ก็ก่อกบฏจนราชาเมืองนครวางวาย.. อยู่อโยธยาก็เผาทำลายเสบียงหมดกองทัพ.. มาอยู่สุโขทัย คงพ่ายขุนปราบจนเสียบ้านเสียเมือง”
“นั่นคือวลีคำกล่าวที่ขุนกาฬให้คนลอบออกป่าวประกาศ.. ท่านอย่าได้ใส่ใจหลงกล”
“แต่ข้อความทั้งหมดคือความจริง.. เกล้ากระหม่อมเกิดมาด้วยชะตาเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง อยู่ที่ใดที่นั้นก็พินาศ แม้นสู้อุตส่าห์ตามหาองค์ตุมพะทะนานทองหวังแก้คำสาป แต่ก็มิพบเจอ...” แสงพรายกล่าวออกมาด้วยความเศร้าในหัวใจ
ตอนนี้เดินทางไปแห่งหนใดก็มีผู้กล่าวถึงเรื่องตนเป็นคนอัปมงคล เป็นภูตพรายที่ขึ้นมาจากสายน้ำ.. สุดท้ายถอนหายใจกราบทูลต่อว่า
“พระองค์มิต้องสนพระทัยหรอกว่าเป็นผู้ใดกล่าว...เพราะมันคือถ้อยความจริง พระเจ้าค่ะ”
“ช่วงนี้ท่านคงไปคัดหาม้าศึกตามที่ต่างๆ และได้ยินได้ฟังมา..” ทรงจ้องตาแสงพราย แววพระเนตรแข็งกล้า “ท่านห้ามท้อแท้เด็ดขาด ท่านคือความหวังของสุโขทัย ท่านต้องจำไว้”
แสงพรายฝืนยิ้มเศร้าๆ มิรู้จะกราบทูลเช่นไรอีก... คนเราจะเป็นความหวังให้ผู้อื่นได้อย่างไร หากแม้นชะตาชีวิตของตนเองมีแต่ต่ำทรามลง...
ทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ สายลมโชยพัดชายผ้าคลุมพระวรกายปลิวไหว องค์หญิงทรงฉวยจับไว้ แสงพรายมองข้อพระกรพลันนึกถึงสิ่งหนึ่งได้ จึงล้วงมือเข้าไปในชายพก หยิบวัตถุจำนวนสองชิ้นออกมา...
“เกล้ากระหม่อมมีของสิ่งหนึ่งจะถวาย พระเจ้าค่ะ”
กราบทูลแล้วชูกำไลทองคำงามแวววาวขึ้นมาคู่หนึ่ง ตัวเรือนกำไลใหญ่เท่าลำนิ้วหัวแม่มือสลักลวดลายช้างสารเกาะเกี่ยวเดินตามกันรายรอบวงกำไล รูปสลักช้างแต่ละเชือกผิดแผกแตกต่างกันทั้งลักษณะรูปร่างและท่าทางการเยื้องกาย
“ช่างสวยงามนัก ท่านทำเองหรือ”
“พระเจ้าค่ะ คราใดที่กลับสำนักก็ใช้เวลาขึ้นแบบแกะลาย จนสุดท้ายนำทองคำจากค่าปรับสินไหมมาหล่อขึ้นวง พระเจ้าค่ะ”
“เรานึกว่ามีแต่พิไลที่ได้ทองจากท่าน”
ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตนมอบทองคำกำนัลแก่พิไล...พระองค์หญิงก็ทรงล่วงรู้
“ในเมื่อท่านจะมอบถวายให้เรา ก็จงสวมให้เราด้วยเถิด”
รับสั่งพลางทรงชูสองพระหัตถ์ขึ้นมารอ
แสงพรายลังเล แล้วในที่สุดก็ค่อยๆ ประคองพระหัตถ์สวมทองพระกร (กำไลมือ) ถวาย
“ทั้งหมดมีรูปช้างพลาย ๑๒ เชือก อยู่วงละ ๖ เชือก พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงชูพระหัตถ์ขึ้นข้างหนึ่ง แล้วหมุนทองพระกรรอบข้อพระหัตถ์ ตัวช้างคล้ายเดินวนตามกันไปราวมีชีวิต ไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านเป็นราชาสิบสองนักษัตร ทำไมไม่ทำเป็นลวดลายรูปสัตว์ ๑๒ ชนิดเหล่านั้น...” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัย “อีกอย่างช้างก็มิได้ถูกนับอยู่ในเหล่านักษัตร”
“เพราะ.. ช้างเป็นสัตว์ซึ่งองค์หญิงโปรดที่สุด เกล้ากระหม่อมจึงทำถวาย พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงเหม่อมองลายช้างพลายที่สลักบนทองพระกร ทรงรำพึงขึ้นเบาๆ “เราปั้นช้างได้หลากหลายลักษณะอาการแล้ว.. ความจริงท่านน่าจะตั้งชื่อว่าแสงพลาย พลายที่แปลว่าช้าง”
------------------------------
แสงพรายควบม้าออกไปนอกเมืองฝั่งตะวันออก ลัดเลาะไปตามริมฝั่งน้ำยม...
“ข้ามาหาซื้อม้า ขอดูม้าของท่านหน่อยเถิด” แสงพรายตะโกนบอกกล่าวกับหญิงกลางคนซึ่งกำลังป้อนหญ้าให้กับม้าสามตัวอยู่ใต้ถุนเรือน
เมื่อลงจากหลังม้าที่ขี่มา ผูกไว้กับต้นไม้หน้าเรือนดีแล้ว จึงเดินเข้าไปหายังใต้เรือน
“ม้าดีๆ พวกทหารเขามาซื้อเอาไปรบหมดแล้ว เหลือเจ้าสามตัวนี้ เป็นม้าแก่กับม้าอ่อนอายุไม่กี่เดือน” หญิงกลางคนเจ้าของม้ากล่าวขึ้น
ชายหนุ่มยกสองมือลูบไล้แผงคอม้า เจ้าม้าพลันดีดตัวตะกุยขาหน้า ส่ายหัวส่งเสียงร้องฮี้ดังลั่น
“แปลกดี มันไม่ได้ร้องมาสองหรือสามวันแล้ว ตั้งแต่ข้าขายคู่ของมันให้กองทัพไป” นางกล่าวขึ้นพลางยิ้มร่าด้วยความยินดี “เป็นอะไร ร้องทำไมล่ะ...ดีใจอะไรเหรอ”
หลังจากกล่าวหยอกเย้าม้าของตนแล้ว ก็กล่าวถามแสงพรายขึ้น
“ท่านทำไมถึงไม่ไปรบ สามีข้าก็ไปทัพเมื่อวานนี้แล้ว”
“ข้ามีอาการบาดเจ็บ กำลังรักษาตัวอยู่ ทอดเวลาให้อาการทุเลาสักระยะหนึ่งก็จะรีบติดตามทัพไป”
(มีต่อ)