ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๑๙ องค์พระใหญ่วัดพระพายหลวง

.
                                                  

บทที่ ๑๙ องค์พระใหญ่วัดพระพายหลวง

เสียงไก่ขันปลายยามสี่ใกล้รุ่งปลุกแสงพรายให้ตื่นขึ้น

ชายหนุ่มยังรู้สึกเพลียจากการเดินทางไกล อีกทั้งการหลับนอนในที่แห่งใหม่กลับไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท ยิ่งเดินทางห่างไกลออกจากแดนใต้เท่าไหร่ ความคิดคำนึงถึงเรื่องหนหลังยิ่งมากมายซับซ้อน

แสงพรายลุกขึ้นเดินออกจากเรือนไปล้างหน้าล้างตา ชำระร่างกาย แล้วเดินไปยังโรงครัวที่อยู่ท้ายเรือนใหญ่ของปู่หลวง เห็นควันโขมงปนกับเสียงโขลกสับดังออกมา ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ๔-๕ คนขมีขมันช่วยกันทำอาหาร ส่วนผู้ชายและเด็กอีก ๒ คนคอยช่วยตักน้ำและลำเลียงสิ่งของต่างๆ เข้าออกครัว ตนแม้จะออกปากอาสาช่วยเหลือแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ถูกสำทับให้กลับไปคอยท่าอยู่ที่เรือนพัก ได้เวลาอาหารแล้วจะไปตามมา
ดูเหมือนทุกคนพอจะรู้เรื่องการเข้ามาอยู่อาศัยของตนกันแล้วเพียงแต่สาละวนอยู่กับการเตรียมกับข้าวกับปลาไม่มีเวลาจะเอ่ยปากพูดจากัน ชายหนุ่มได้แต่กลับมายังห้องพัก นั่งสวดมนต์ภาวนาจนแสงอาทิตย์ส่องฟ้าจึงมีคนมาตามไปกินข้าวมื้อเช้าพร้อมกับทุกคนที่โรงครัว

ชานเรือนโรงครัวมิได้ว่างเปล่าเหมือนตอนเช้ามืด เห็นบรรดาคนทั้งหลายนั่งล้อมเป็นวงรอบสำรับกับข้าว นับได้ ๖ วง วงละ ๔-๕ คน ที่มิได้เห็นคือปู่หลวง ครูพิธานและพิไล ซึ่งเข้าใจว่าจัดสำรับนำขึ้นไปให้บนเรือนใหญ่

“มานั่งด้วยกันตรงนี้สิพี่ชาย” ต้นเสียงเป็นเด็กชายรุ่นกระทง ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม จำได้ว่าเป็นเด็กซึ่งเจอเมื่อหัวรุ่ง คอยช่วยตักน้ำอยู่ที่โรงครัว เห็นมีที่เว้นว่างเหมือนเตรียมไว้จึงเข้าไปนั่งแทรก
“ขอบใจนะ” แสงพรายเพียงกล่าวสั้นๆ

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ว่าแต่พี่ชื่อแสงพรายใช่ไหม ส่วนฉันชื่อจุก และนี่น้าหมานเป็นผัวของน้าผิน ที่อยู่โรงครัว”
“เมื่อวานเย็นเห็นเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ เลยให้คนจัดสำรับอาหารไปให้ หลังจากนี้ก็มากินข้าวที่โรงครัวนี้ด้วยกัน” น้าหมานที่จุกเอ่ยถึงกล่าวขึ้น แกเป็นชายอีกคนซึ่งแสงพรายเจอที่โรงครัวตอนรุ่งเช้าพร้อมจุก ที่แท้เพราะเมียแกคุมโรงครัวอยู่นั่นเอง จึงได้เป็นธุระจัดแจงคอยช่วยเหลืองานครัว

ในวงกับข้าว สิ่งที่ทุกคนสนใจนอกจากการเข้ามาอาศัยของแสงพรายแล้ว คือเรื่องที่ปู่หลวงถูกเชิญตัวเข้าวังตอนเย็น หลังจากปู่หลวงรับแสงพรายเข้ามาพำนักแล้ว พนักงานกรมวังได้มาเชิญปู่หลวงไปพบขุนวัง จนพลบค่ำจึงได้กลับมา ทำให้คนในสำนักไม่มีใครได้รับรู้ว่าเป็นเรื่องใด นอกจากครูพิธานที่ติดตามปู่หลวงเข้าวังไปด้วย ถ้าจะมีอีกคนที่รู้เรื่อง...คงเป็นพิไล

เมื่อเช้าตอนพิไลลงมาเตรียมสำรับกับข้าว ทุกคนเพียรถามแต่นางก็นิ่งคำ บอกสั้นๆว่า เดี๋ยวพอกินข้าวเช้าเสร็จแล้วให้ทุกคนขึ้นไปชุมนุมพร้อมกันบนเรือนใหญ่ ปู่หลวงมีเรื่องจะบอกกล่าวเอง

โถงชานกว้างระหว่าง “หอกลาง” ของปู่หลวงและ “หอหน้า” ซึ่งเป็นที่พำนักของครูพิธานและบุตรสาวดูแคบไปถนัดเมื่อลูกศิษย์ลูกหาราวสามสิบชีวิตขึ้นมานั่งราบอยู่กันเต็ม ปู่หลวงนั่งอยู่บนพื้นของหอกลางที่ยกสูง พร้อมครูพิธานที่นั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนพิไลนั้นนั่งอยู่กับพื้นชานกว้างเหมือนศิษย์ทั่วไปแต่อยู่ชิดติดเท้าของบิดา

“เอาล่ะ ทุกคนมากันพร้อมแล้วนะ... ที่เรียกทุกคนมานี่ เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าวสองเรื่อง เรื่องแรกหลายคนคงพอจะรู้เห็นบ้างแล้ว เมื่อวานข้าได้รับเจ้าหนุ่มชื่อแสงพรายเข้ามาอยู่ในสำนักเรา.. ไหนอยู่ตรงไหน ช่วยลุกขึ้นให้ทุกคนเห็นหน้าเห็นตาหน่อยซิ”

พลันที่ปู่หลวงกล่าว แสงพรายซึ่งนั่งขัดสมาธิในระนาบเดียวกับทุกคนก็เขยิบยืดตัวในท่าคุกเข่าขึ้นมา พร้อมพนมมือไหว้ทุกคน
“ข้าชื่อแสงพราย มาแต่เมืองนครศรีธรรมราช ขอฝากตัวกับทุกคนด้วย”  

“พ่อแสงพรายเขาเป็นหลานศิษย์ของพี่ชายคนเดียวของข้าที่ชื่อแสงใหญ่ เป็นนายกองใหญ่สำนักช่างหลวงเมืองนครศรีธรรมราช พี่ข้ากับข้านั้นเดิมเป็นช่างอยู่เชียงแสนแล้วย้ายมาอยู่สุโขทัย ตอนที่เมืองนครศรีธรรมราชขอนายช่างมีฝีมือจากสุโขทัย พี่ข้าอาสาไปอยู่สำนักเมืองนครฯ จนได้เป็นนายกองช่างหลวง พ่อแสงพรายเขาก็เป็นลูกหลานของช่างสกุลเชียงแสนที่ติดตามพี่ข้าไปอยู่ที่เมืองทางใต้ด้วย ตอนนี้ญาติพี่น้องทางโน้นเขาไม่มีแล้ว เลยจะย้ายกลับมาอยู่ทางเหนือ ก็เลยมาพักอยู่กับเราไปพลางก่อน พี่ชายข้าฝากฝังเขามา ยังไงพวกเจ้าก็ต้องดีกับเขาเหมือนเป็นหลานชายของข้าคนหนึ่ง จะได้ไหม”

สิ้นคำบอกกล่าวของปู่หลวง ทุกคนต่างออกเสียงรับรองเป็นทอด จะปฏิบัติด้วยดีต่อผู้มาใหม่ ทำให้แสงพรายอดสำนึกในความเมตตาของปู่หลวงที่มีต่อตนมิได้

“อีกเรื่องที่จะบอกกล่าวกับพวกเจ้า เมื่อวานนี้ท่านขุนวังได้เชิญข้าไปพบ...”
ทันทีที่ปู่หลวงกล่าวเกริ่นเข้าเรื่องที่สอง ทุกเสียงบนชานกว้างที่เพิ่งหัวร่อต่อกระซิกเป็นเชิงยินดีต้อนรับเจ้าหนุ่มหน้าใหม่เข้าร่วมสำนักก็พลันหยุดลง ทุกคนเพ่งความสนใจด้วยใคร่รับรู้เรื่องราวการเข้าวังของปู่หลวง

“ข้าไปพร้อมครูพิธาน เรื่องที่ท่านขุนวังแจ้งกับข้าคือเรื่องการสร้างพระใหญ่ประจำรัชกาล”
ยังไม่ทันที่ปู่หลวงจะกล่าวต่อ บรรดาศิษย์ต่างส่งเสียงยินดี บางคนก็ชิงกล่าวว่าคาดเดาไว้ต้องเป็นเรื่องนี้ บ้างก็ว่ายังไงเสียทางวังหลวงก็ต้องให้สำนักเราเป็นผู้สร้างพระใหญ่ประจำรัชกาล ต่างพากันพูดจาด้วยความดีใจ จนปู่หลวงต้องยกสองมือขึ้นห้ามแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

“เดี๋ยว เดี๋ยว...ฟังข้าว่าให้จบเสียก่อน... ที่ถูกเรียกเข้าไปพบขุนวังนอกจากสำนักเราแล้ว ก็มีสำนักศิลาจารกับสำนักพุทธาไลยด้วย”

ทุกคนต่างเงียบกริบเมื่อได้ยินชื่อของอีกสองสำนัก สำนักศิลาจารเป็นสำนักสกุลช่างเก่าแก่มาแต่โบราณ ก่อนที่สำนักบ้านเงินบ้านทองจะโดดเด่นด้วยฝีมือการปั้นและการหล่อเงินหล่อทองขึ้นมา แต่ระยะหลังเมื่อปู่หลวงชราภาพสำนักศิลาจารกลับมีเจ้าสำนักคนใหม่นามว่า “แก้วมารุน” ซึ่งมีฝีมือในการหล่อและการปั้นงดงามเป็นเอกลักษณ์

ส่วนสำนักพุทธาไลยเป็นสำนักตั้งใหม่ช่วงแรกก็คอยรับช่วงงานต่อจากสำนักบ้านเงินบ้านทอง โดยปู่หลวงคอยกำกับแนะนำสั่งสอน เจ้าสำนักชื่อ “ผาทิน” เป็นคนหนุ่มที่ฉลาดและมีพรสวรรค์จึงได้วิชาจากปู่หลวงไปเพิ่มพูนกับวิชาเดิมของตน มีอยู่ปีหนึ่งปู่หลวงล้มป่วยจึงไม่สามารถรับงานได้ งานต่างๆ จึงตกเป็นของสำนักพุทธาไลย เป็นโอกาสทำให้สำนักเติบใหญ่ขึ้นมา

ปู่หลวงมองลูกศิษย์หลานศิษย์ของตนซึ่งบัดนี้เปลี่ยนกิริยาจากลิงโลดดีใจมาเป็นนิ่งฉงนสงสัย ก่อนกล่าวต่อว่า
“เดิมมีประกาศออกไปให้บรรดาช่างต่างๆ ทั้งในเมืองและนอกเมืองก็ดี เข้าสมัครประกวดประขันหาผู้มีฝีมือเป็นช่างเอกปั้นและหล่อพระใหญ่.. ประกาศมาครบ ๗ วัน จนถึงเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายก็มิมีผู้ใดจะอาสาเข้าดำเนินการ ท่านขุนวังจึงนำเรื่องกราบทูลองค์พ่อขุน ที่สุดทรงมีพระบรมราชโองการให้สามสำนักใหญ่เข้ามาประกวดประขันกัน เพื่อคัดเลือกช่างเอกดำเนินการหล่อพระใหญ่ประจำรัชกาลของพระองค์ท่าน”

“อย่างไรเสีย ปู่หลวงก็ต้องได้รับการคัดเลือกเป็นช่างเอกอยู่แล้ว ผลงานต่างๆ ของพ่อปู่ก็มีมากมายเป็นที่ประจักษ์อยู่”
น้าหมานที่เป็นคนกล้าพูดเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก พลอยให้ศิษย์คนอื่นออกปากว่าตามกันทันที

ปู่หลวงจึงรีบทักท้วงขึ้น
“การคัดเลือก ตัดสินจากงานที่จะให้ออกแบบและปั้นขึ้นใหม่ มิใช่จากผลงานเก่าๆ ที่ทำกันมา”
ทุกเสียงกลางโถงชานกว้างพลันเงียบลง...

“เฮ้อ... พวกเจ้าก็รู้กันอยู่ เรานั้นชราหูตาฝ้าฟาง ความคิดความอ่านก็ไม่คล่องแคล่วชัดเจนเหมือนสมัยก่อน เราจึงไม่คิดที่จะอาสาเข้าไปคัดเลือกเป็นช่างเอก... คิดไม่ถึงเลยว่าอีกสองสำนักเพราะเกรงจะข้ามหน้าเราจึงไม่ได้อาสาด้วย สุดท้ายต้องไปประกวดประขันกันตามพระบรมราชโองการ...” กล่าวแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

เป็นลมหายใจที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจออกมา เป็นลมหายใจที่หยุดอาการเริงร่าของบรรดาศิษย์ให้หยุดลง เพราะท่านกล่าวไว้ชัดเจน เป็นการคัดเลือกโดยตัดสินจากฝีมือ มิได้ตัดสินจากเกียรติภูมิ
แต่เกียรติภูมิของปู่หลวงกลับอยู่ที่ผลการตัดสินคัดเลือกในครั้งนี้...

พวกศิษย์พวกช่างต่างลงจากเรือนไปจนหมดแล้ว ต่างแยกย้ายไปตามหน้าที่ของตน เหลือแต่แสงพรายซึ่งถูกรั้งไว้บนเรือนกับพิธานและพิไล
“พิไล วันนี้เจ้าจะไปที่ตลาดปสานใช่ไหม”
“ใช่จ๊ะพ่อปู่ ไปกับน้าหมานกับจุก จะไปเลือกซื้อพวกเครื่องมือช่าง พวกปูนขาว หนังสัตว์ที่จะเอามาเคี่ยวทำวัสดุประสาน น้ำตาลปึก รังผึ้งป่า น้ำผึ้ง ยาต่างๆ และก็พวกของใช้ของกินในครัวด้วย”

“ดีแล้ว พาแสงพรายไปด้วย เขาจะได้คุ้นเคยกับเมืองกับตลาด วันหลังใช้ให้ไปไหนมาไหนจะได้รู้หนทาง”
พิไลทำหน้าบอกบุญไม่รับทันที
“ค่อยให้คนอื่นพาไปวันหลังไม่ดีกว่าหรือพ่อปู่ วันนี้ต้องซื้อของมากมายหลายอย่าง กว่าจะเสร็จก็คงเกือบเที่ยง”
“ก็เพราะซื้อของเยอะนะ ดีแล้ว จะได้พาเดินให้ทั่วตลาด ของไหนอยู่ตรงไหน มีดไม้ต้องซื้อกับใคร ก็อย่าลืมแนะนำให้พ่อแสงพรายรู้ด้วย” ครูพิธานกล่าวเสริมขึ้น จนพิไลไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไร ได้แต่พยักหน้ารับคำบิดา

“พ่อปู่หลวง ข้าพเจ้ามาที่สุโขทัยเป็นวันที่สองแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปกราบไหว้พระใหญ่ของเมืองนี้เลย เห็นวัดพระพายหลวงอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาด ข้าอยากจะขออนุญาตพ่อปู่แวะเข้าไปไหว้พระในอุโบสถ” แสงพรายกล่าวขอสิ่งที่ตนหมายไว้
“เออดี เข้าเมืองมาก็ต้องไปไหว้พระฝากเนื้อฝากตัวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์... พิไล เจ้าเป็นธุระพาพ่อแสงพรายเขาไปที่วัดด้วยนะ” คำหลังปู่หลวงกล่าวสั่งกับพิไล ก่อนหันกลับมากล่าวกำชับแสงพรายอีกครั้งว่า

“ดีเหมือนกัน เจ้าจงไปไหว้พระใหญ่ภายในวิหาร แล้วลองเพ่งดู... จากนั้นจงกลับมาตอบคำถามเรา”

พิไลพาแสงพรายลงจากเรือนไปพบน้าหมานกับจุก ทั้งสองต่างเตรียมรถเข็น ตะกร้ากระสอบและภาชนะไว้ครบถ้วนแล้ว แต่ก็ต้องไปจัดดอกไม้ธูปเทียนเพิ่มให้ทุกคนนำไปไหว้พระ

---------------------------------------

วัดพระพายหลวงเป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาแต่ครั้งก่อนกรุงสุโขทัยจะได้ตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่เหนือเมืองทั้งปวง บริเวณโดยรอบขุดคูล้อมสามชั้น กว้างยาวด้านละ ๑๕ เส้น (๖๐๐ เมตร) ชั้นนอกสุดเรียกกันว่าคูแม่โจน แท้จริงแล้วคือคูเมืองเดิมแต่โบราณครั้งยังเป็นชุมชนเล็กๆ

เมื่อพิไลและสองผู้ติดตามพาแสงพรายเดินมาตามถนนพระร่วงแล้วข้ามสะพานทอดข้ามคูแม่โจนเข้าเขตวัดทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศหน้าวัด เห็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมก่อเป็นชั้นๆ ไล่ระดับย่อส่วนขึ้นไปจนถึงปลายยอดแหลม ดูสวยแปลกตา เมื่อเดินอ้อมผ่านเจดีย์จึงเห็นพระวิหารหลังใหญ่ มีกำแพงรายรอบ ด้านหลังวิหารเป็นพระปรางค์ขนาดใหญ่ ๓ องค์ แม้เสาวิหารจะยกชั้นหลังคาขึ้นสูงแต่ขนาดและความสูงของพระปรางค์ใหญ่มากเกินกว่าขนาดของพระวิหารจะบดบังได้ ปรากฏเป็นฉากหลังงดงามอลังการ ดูประหนึ่งยอดภูเขาหินซึ่งถูกสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงสามลูกชูตระหง่านขึ้นตัดกับขอบฟ้าใสเบื้องตะวันตก

ทั้งหมดเดินผ่านประตูกำแพงเข้ามา หลังแนวกำแพงด้านในมีเจดีย์รายศิลาแลงทรงระฆังอยู่ฝั่งละไม่ต่ำกว่าสิบองค์ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ในบริเวณมีชาวเมืองเข้ามารอไหว้พระอยู่ขวักไขว่ เสียงพระสงฆ์สาธยายมนต์ดังออกมาจากพระวิหาร ทำให้ทุกคนต้องรออยู่ด้านนอกให้เสร็จวัตรเช้า

ช่วงที่รอ มักมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาทักทายพิไลและน้าหมานด้วยความคุ้นเคย นอกจากสารทุกข์สุขดิบที่ไต่ถามกันแล้ว ก็เป็นเรื่องการจัดประกวดแข่งขันหาผู้ปั้นพระใหญ่ประจำรัชกาลพ่อขุนองค์ปัจจุบัน แสงพรายเลี่ยงเดินออกมายืนห่างด้วยไม่อยากให้ต้องมีการแนะนำตนกับคนอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนพิไลเองก็มิสู้จะสนใจ มีเพียงน้าหมานและจุกที่ชะเง้อชะแง้ชี้มือมา เหมือนกล่าวเล่าเรื่องของตนกับคู่สนทนา

จนเมื่อเสร็จการทำวัตรเช้า คณะสงฆ์ทยอยก้าวข้ามธรณีประตูวิหารออกมา พิไลก็พาคณะรีบไปออนั่งไหว้รอส่งพระสงฆ์อยู่ข้างประตู ด้วยอาการร้อนรนจะเร่งไปทำธุระที่ตลาดปสานต่อเป็นหลัก

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่